หน้าแตก
เริ่มโดย บ่าวอุบล, Aug 02 2010 07:39 PM
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 02 August 2010 - 07:39 PM
วันนี้มีผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกมารับการรักษา และเอาของมาฝากให้พี่บ่าวช่วยเอาไปทำบุญให้ด้วย พี่บ่าวอยากให้แกได้ถวายกับพระโดยตรง จะได้ปลื้มในผลบุญ จึงพาไปวัดป่าใกล้ รพ. หลวงพ่อท่านปฏิบัติธรรมสายหลวงปู่ชา
ผู้ป่วยไม่อยากไปเท่าไหร่ เนื่องจากขึ้นลงรถลำบาก เดินลำบาก ยังเดินเองไม่ได้ พี่บ่าวบอกว่าสบายใจได้ พี่บ่าวมีวิธี
ว่าแล้วตอนพักเที่ยงเลยพาผู้ป่วยไป หลวงพ่อนั่งอยู่ศาลา พี่บ่าวบอกให้ผู้ป่วยรอบนรถ แล้วไปกราบนิมนต์หลวงพ่อว่า
"ขอรบกวนนิมนต์หลวงพ่อ ไปรับสังฆทานกับผู้ป่วยที่รถหน่อยครับ ผู้ป่วยอัมพาตลงมาไม่ได้ "
สิ้นเสียงนิมนต์ หลวงพ่อท่านใส่ชุดใหญ่ เรื่องการทำทานต้องเคารพในพระพุทธเจ้า ไปให้ก็ได้ แต่มันไม่เป็นการเคารพการให้ทาน
พี่บ่าวเลยขออภัยหลวงพ่อ แล้วไปพาผู้ป่วยมาพบท่านที่ศาลา
หลวงพ่อเมตตาซักถามผู้ป่วยและให้คำแนะนำเรื่องกฏแห่งกรรม ท่านบอกว่า จะว่าถวายสังฆทานก็ไม่ได้ เพราะที่นำมา(เทียนคู่แท่งใหญ่ ยาสามัญประจำบ้าน ข้าวสาร ปลากระป๋อง รองเท้า ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ) เป็นบริวาร สังฆทานต้องมีอาหาร และถวายให้พระฉันได้ก่อนเที่ยง พี่บ่าวสงสัยเลยถามท่านว่า ข้างในมี่ปลากระป๋องและข้าวสาร ถือว่าเป็นสังฆทานได้ไหม
ท่านตอบว่า ก็ยังไม่ใช่สังฆทาน อาหารต้องเป็นอาหารคาวหวาน พระฉันได้ทันที
ก็เป็นความรู้ใหม่ของพี่บ่าว จึงนำมาแบ่งปันกับทุกท่านครับ
จะได้ไม่หน้าแตกเหมือนพี่บ่าว ไปวัดนี้บ่อยๆ อายอีหลี อิ อิ
ผู้ป่วยไม่อยากไปเท่าไหร่ เนื่องจากขึ้นลงรถลำบาก เดินลำบาก ยังเดินเองไม่ได้ พี่บ่าวบอกว่าสบายใจได้ พี่บ่าวมีวิธี
ว่าแล้วตอนพักเที่ยงเลยพาผู้ป่วยไป หลวงพ่อนั่งอยู่ศาลา พี่บ่าวบอกให้ผู้ป่วยรอบนรถ แล้วไปกราบนิมนต์หลวงพ่อว่า
"ขอรบกวนนิมนต์หลวงพ่อ ไปรับสังฆทานกับผู้ป่วยที่รถหน่อยครับ ผู้ป่วยอัมพาตลงมาไม่ได้ "
สิ้นเสียงนิมนต์ หลวงพ่อท่านใส่ชุดใหญ่ เรื่องการทำทานต้องเคารพในพระพุทธเจ้า ไปให้ก็ได้ แต่มันไม่เป็นการเคารพการให้ทาน
พี่บ่าวเลยขออภัยหลวงพ่อ แล้วไปพาผู้ป่วยมาพบท่านที่ศาลา
หลวงพ่อเมตตาซักถามผู้ป่วยและให้คำแนะนำเรื่องกฏแห่งกรรม ท่านบอกว่า จะว่าถวายสังฆทานก็ไม่ได้ เพราะที่นำมา(เทียนคู่แท่งใหญ่ ยาสามัญประจำบ้าน ข้าวสาร ปลากระป๋อง รองเท้า ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ) เป็นบริวาร สังฆทานต้องมีอาหาร และถวายให้พระฉันได้ก่อนเที่ยง พี่บ่าวสงสัยเลยถามท่านว่า ข้างในมี่ปลากระป๋องและข้าวสาร ถือว่าเป็นสังฆทานได้ไหม
ท่านตอบว่า ก็ยังไม่ใช่สังฆทาน อาหารต้องเป็นอาหารคาวหวาน พระฉันได้ทันที
ก็เป็นความรู้ใหม่ของพี่บ่าว จึงนำมาแบ่งปันกับทุกท่านครับ
จะได้ไม่หน้าแตกเหมือนพี่บ่าว ไปวัดนี้บ่อยๆ อายอีหลี อิ อิ
#3
โพสต์เมื่อ 02 August 2010 - 08:01 PM
ถ้าเข้าใจผิดก็แก้ใหม่ได้ (ก่อนเชื่อว่าสิ่งใดถูกหรือผิดโปรดศึกษาพิจารณาให้ดีก่อนนำไปขยายผล)
มาดูกัน " สังฆทาน" ในวิถีพุทธตามลิงค์นี้ค่ะ
http://www.dmc.tv/pa.../episode27.html
ปล. การถวายภัตตาหาร และบริวารทั้งหลายทำได้ก่อนเที่ยงวัน หรือก่อนฉันเพลก็เป็นการถวายสังฆทาน
แต่การถวายสังฆทานที่มิใช่ภัตตาหารที่ต้องฉันทันที หรือถวาย เป็นพวกของแห้ง หรือยา ยาสีฟัน ยาสระผม
อาหารกระป๋องฯลฯ พวกของกินของใช้ที่จำเป็นต่อพระภิกษุ สามเณร คิดว่าทำได้นะคะ เป็นการถวายสังฆทาน
เช่นกันแม้จะไม่มีอาหารขบฉันทันทีไปถวายพระเพราะเป็นเวลาหลังเที่ยงไปแล้วค่ะ
ปล. .ขอความกรุณาผู้รู้จริงช่วยให้ความกระจ่างแจ้งด้วยค่ะ แก้ความสับสนของหมู่เฮาที่ยังไม่เคลีย
คัดชัดเจนแต่ก็ชอบทำบุญกันนะคะ
#4
โพสต์เมื่อ 02 August 2010 - 09:18 PM
...เท่าที่อ่าน ผมว่าต้องแบ่งเป็นภัตตาหาร กับสังฆทานแล้วล่ะ ในตระกูลของบริโภค คือ ภัตตาหาร ในตระกูลของอุปโภค คือ มักเรียกสังฆทาน แต่ทว่า สังฑทานโดยแท้ไม่ใช่สิ่งของแบบเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง แต่เป็นทานที่ไม่จำเพาะเจาะจง แต่เจตนามอบแด่พระภิกษุนั้นเป็นผู้รับไว้ จึงสำเร็จถือเป็นสังฆทาน หากเจาะจงแล้วจะเรียกว่า "ปาติบุคคลิกทาน" แปลว่าทานที่เจาะจงแด่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจำเพาะ ซึ่งมีอานิสงค์น้อยกว่าสังฆทานอย่างเทียบไม่ได้เลยทีเดียว อ้อ..แต่ก็มีอีกลักษณะหนึ่งที่เรียกว่า ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ส่วนนี้มักเกิดขึ้นตอนใส่บาตรไงครับ รูปไหนมาใส่หมด แบบนี้บุญใหญ่มาก จะฉันท์ทันทีหรือไม่ก็ตาม หรือแบบถวายในวงฉันท์ก็เช่นกัน แต่ก็ยังได้ชื่อว่าแยกเป็น "ภัตตาหาร" เป็นสังฆทาน อยู่ดี ดังนั้น ทานใดที่ให้แด่ภิกษุโดยไม่เจาะจง จึงจัดเรียกได้ว่าเป็นสังฆทานได้ทั้งสิ้น
...การฉันท์ภัตตาหารจะทันทีหรือไม่นั้น อาหารนั้นก็มิได้กลายเป็นของอื่น ก็ยังคงเป็นภัตตาหารเช่นเดิม หากแต่ว่ามีเจตนาจะฉันท์แต่ไม่ได้ฉันท์ทันที หรือกลัวจะเน่าเสียก็อาจเอ่ยได้ว่าภัตตาหารนั้นรับไม่ได้ หรือเลยเวลาแล้ว ถึงจะถูกที่สุด
...การฉันท์ภัตตาหารจะทันทีหรือไม่นั้น อาหารนั้นก็มิได้กลายเป็นของอื่น ก็ยังคงเป็นภัตตาหารเช่นเดิม หากแต่ว่ามีเจตนาจะฉันท์แต่ไม่ได้ฉันท์ทันที หรือกลัวจะเน่าเสียก็อาจเอ่ยได้ว่าภัตตาหารนั้นรับไม่ได้ หรือเลยเวลาแล้ว ถึงจะถูกที่สุด
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....
#5
โพสต์เมื่อ 02 August 2010 - 10:19 PM
เห็นที่วัดพระธรรมกายก็ถวายหลังเพลน่ะ วันคุ้มครองโลกก็บ่ายๆนิ
#6
โพสต์เมื่อ 03 August 2010 - 07:30 AM
สรุป หลวงพ่อท่านเข้าใจผิด แม่นบ่
การถวายสังฆทาน หมายถึงการถวายแก่สงฆ์
จะถวายตอนไหน ถวายอะไร ได้หมด
เว้นแต่การถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน
ต้องถวายก่อนเพล พระจึงจะรับได้
การถวายสังฆทาน หมายถึงการถวายแก่สงฆ์
จะถวายตอนไหน ถวายอะไร ได้หมด
เว้นแต่การถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน
ต้องถวายก่อนเพล พระจึงจะรับได้
#7
โพสต์เมื่อ 03 August 2010 - 07:52 PM
ท่านพี่ ศัลยกรรมได้ ไม่มีแผลเป็นหรอก
#8
โพสต์เมื่อ 04 August 2010 - 02:19 AM
....ไปกันใหญ่เลย.ครับ...นี่แหละ..ทำไมเราต้องฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมา
....ถวายอะไรก็ได้ครับ..ให้ครบองค์สงค์ครับ (พระ 4 รูป ไม่เจาะจงผู้รับ)
....ถวายอะไรก็ได้ครับ..ให้ครบองค์สงค์ครับ (พระ 4 รูป ไม่เจาะจงผู้รับ)
#9
โพสต์เมื่อ 04 August 2010 - 02:27 AM
.....หากท่านรับถวายไว้แทนแล้วนำไปถวายสงฆ์ต่อหลังฉันเพล ก็เป็นสังฆทานได้ครับ
#10
โพสต์เมื่อ 04 August 2010 - 10:13 AM
แล้วก็จะมีคำถามตามมา
แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะครับ ที่จะทำให้เข้าใจถูกกันทุกฝ่าย
บวชล้านรูปจะช่วยได้ไหมเอ่ยยยย...
แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะครับ ที่จะทำให้เข้าใจถูกกันทุกฝ่าย
บวชล้านรูปจะช่วยได้ไหมเอ่ยยยย...
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ .....
ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน .....
ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ .....
อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ
#11
โพสต์เมื่อ 05 August 2010 - 12:07 AM
ถวายโดยไม่เจาะจง โดยตั้งใจว่า "จักถวายทานแด่พระภิกษุผู้มาจาก 4 ทิศ" ก็เป็นสังฆทานแล้วครับ แม้จะถวายเพียงแค่รูปเดียว Only one
การถวายทานในพระพุทธศาสนามี 2 อย่าง
1. ปาฏิบุคลิกทาน หมายถึง ทานที่ถวายเจาะจงพระภิกษุ สามเณรรูปใดรูปหนึ่ง
2. สังฆทาน หมายถึง ทานที่ถวายไม่เจาะจงน้อมถวายเป็นสงฆ์ ให้สงฆ์เฉลี่ยกันใช้สอย หรือ เป็นของส่วนรวมภายในวัด
แต่ถ้าสามารถถวายแก่พระภิกษุ 4 รูปขึ้นไป เรียกได้ว่า คณะสงฆ์ หมู่สงฆ์
ต่างก็ล้วนมีอานิสงส์มากมายครับ
ทานนั้น ควรเลือกให้นะครับ แต่อย่าเจาะจง เป็นพระพุทธพจน์นะครับ ทานที่เลือกให้แล้ว มีอานิสงส์มาก
การถวายทานในพระพุทธศาสนามี 2 อย่าง
1. ปาฏิบุคลิกทาน หมายถึง ทานที่ถวายเจาะจงพระภิกษุ สามเณรรูปใดรูปหนึ่ง
2. สังฆทาน หมายถึง ทานที่ถวายไม่เจาะจงน้อมถวายเป็นสงฆ์ ให้สงฆ์เฉลี่ยกันใช้สอย หรือ เป็นของส่วนรวมภายในวัด
แต่ถ้าสามารถถวายแก่พระภิกษุ 4 รูปขึ้นไป เรียกได้ว่า คณะสงฆ์ หมู่สงฆ์
ต่างก็ล้วนมีอานิสงส์มากมายครับ
ทานนั้น ควรเลือกให้นะครับ แต่อย่าเจาะจง เป็นพระพุทธพจน์นะครับ ทานที่เลือกให้แล้ว มีอานิสงส์มาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 334
๑๒. เรื่องอังกุรเทพบุตร [๒๕๑]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลา ทรงปรารภ
อังกุรเทพบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ติณโทสานิ เขตฺตานิ "
เป็นต้น.
ทานที่เลือกให้พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญ
ข้าพเจ้าทำเรื่องให้พิสดารแล้วแล ในพระคาถาว่า " เย ฌานปฺปสุตา
ธีรา" เป็นต้น. สมจริงดังคำที่ข้าพเจ้าปรารภอินทกเทพบุตรกล่าวไว้ใน
เรื่องนั้นดังนี้ว่า : " ได้ยินว่า อินทกเทพบุตรนั้นยังภิกษาทัพพีหนึ่ง ที่เขา
นำมาเพื่อตน ให้ถึงแล้วแก่พระอนุรุทธเถระผู้เข้าไปสู่ภายในหมู่บ้านเพื่อ
บิณฑบาต. บุญนั้นของอินทกเทพบุตรนั้น มีผลมากกว่าทานที่อังกุร-
เทพบุตร ทำระเบียบแห่งเตาประมาณ ๑๒ โยชน์ ถวายแล้วสิ้นหมื่นปี"
เพราะเหตุนั้น อินทกเทพบุตร จึงกล่าวอย่างนั้น. เมื่ออินทกเทพบุตร
กล่าวอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า " อังกุระ ชื่อว่าการเลือกให้ทาน
ย่อมควร, ทาน (ของอินทกะ) นั้น เป็นของมีผลมาก ดังพืชที่หว่านดีแล้ว
ในนาดี อย่างนั้น, แต่ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้น, เพราะฉะนั้น ทานของท่าน
จึงไม่มีผลมาก " เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงตรัสว่า :-
" บุคคลควรเลือกให้ทาน ในเขตที่ตนให้แล้ว
จะมีผลมาก. เพราะการเลือกให้ พระสุคตทรง
สรรเสริญแล้ว: ทานที่ให้ในท่านผู้เป็นทิกขิไณย-
บุคคลในชีวโลกนี้ เป็นของมีผลมากเหมือนพืชที่
หว่านในนาดีฉะนั้น."
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 335
เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่า
นี้ว่า :-
๑๒. ติณโทสานิ เขตฺตานิ โทสโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโทเสสุ ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ.
ติณโทสานิ เขตฺตานิ โมหโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโมเหสุ ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ.
ติณโทสานิ เขตฺตานิ อิจฺฉาโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีคติจฺเฉสุ ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ.
" นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ, หมู่สัตว์นี้ก็มีราคะ
เป็นโทษ; ฉะนั้นแล ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจาก
ราคะ จึงมีผลมาก. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ,
หมู่สัตว์นี้มีโทสะเป็นโทษ; ฉะนั้นแล ทานที่ให้ใน
ท่านผู้ปราศจากโทสะ จึงมีผลมาก. นาทั้งหลายมี
หญ้าเป็นโทษ, หมู่สัตว์นี้ก็มีโมหะเป็นโทษ; ฉะนั้น
แล ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากโมหะ จึงมีผลมาก.
นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ, หมู่สัตว์นี้ก็มีความอยาก
เป็นโทษ; ฉะนั้นแล ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจาก
ความอยาก จึงมีผลมาก."
๑๒. เรื่องอังกุรเทพบุตร [๒๕๑]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลา ทรงปรารภ
อังกุรเทพบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ติณโทสานิ เขตฺตานิ "
เป็นต้น.
ทานที่เลือกให้พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญ
ข้าพเจ้าทำเรื่องให้พิสดารแล้วแล ในพระคาถาว่า " เย ฌานปฺปสุตา
ธีรา" เป็นต้น. สมจริงดังคำที่ข้าพเจ้าปรารภอินทกเทพบุตรกล่าวไว้ใน
เรื่องนั้นดังนี้ว่า : " ได้ยินว่า อินทกเทพบุตรนั้นยังภิกษาทัพพีหนึ่ง ที่เขา
นำมาเพื่อตน ให้ถึงแล้วแก่พระอนุรุทธเถระผู้เข้าไปสู่ภายในหมู่บ้านเพื่อ
บิณฑบาต. บุญนั้นของอินทกเทพบุตรนั้น มีผลมากกว่าทานที่อังกุร-
เทพบุตร ทำระเบียบแห่งเตาประมาณ ๑๒ โยชน์ ถวายแล้วสิ้นหมื่นปี"
เพราะเหตุนั้น อินทกเทพบุตร จึงกล่าวอย่างนั้น. เมื่ออินทกเทพบุตร
กล่าวอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า " อังกุระ ชื่อว่าการเลือกให้ทาน
ย่อมควร, ทาน (ของอินทกะ) นั้น เป็นของมีผลมาก ดังพืชที่หว่านดีแล้ว
ในนาดี อย่างนั้น, แต่ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้น, เพราะฉะนั้น ทานของท่าน
จึงไม่มีผลมาก " เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงตรัสว่า :-
" บุคคลควรเลือกให้ทาน ในเขตที่ตนให้แล้ว
จะมีผลมาก. เพราะการเลือกให้ พระสุคตทรง
สรรเสริญแล้ว: ทานที่ให้ในท่านผู้เป็นทิกขิไณย-
บุคคลในชีวโลกนี้ เป็นของมีผลมากเหมือนพืชที่
หว่านในนาดีฉะนั้น."
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 335
เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่า
นี้ว่า :-
๑๒. ติณโทสานิ เขตฺตานิ โทสโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโทเสสุ ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ.
ติณโทสานิ เขตฺตานิ โมหโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโมเหสุ ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ.
ติณโทสานิ เขตฺตานิ อิจฺฉาโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีคติจฺเฉสุ ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ.
" นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ, หมู่สัตว์นี้ก็มีราคะ
เป็นโทษ; ฉะนั้นแล ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจาก
ราคะ จึงมีผลมาก. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ,
หมู่สัตว์นี้มีโทสะเป็นโทษ; ฉะนั้นแล ทานที่ให้ใน
ท่านผู้ปราศจากโทสะ จึงมีผลมาก. นาทั้งหลายมี
หญ้าเป็นโทษ, หมู่สัตว์นี้ก็มีโมหะเป็นโทษ; ฉะนั้น
แล ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากโมหะ จึงมีผลมาก.
นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ, หมู่สัตว์นี้ก็มีความอยาก
เป็นโทษ; ฉะนั้นแล ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจาก
ความอยาก จึงมีผลมาก."
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#12
โพสต์เมื่อ 05 August 2010 - 12:12 AM
ยิ่งทำบุญกับหมู่คณะของเรา นอกจาถูกเนื้อนาบุญแล้ว อานิสงส์ยังทับทวี วิชชาธรรมกายเรียกว่า "บุญเป็น"
อานิสงส์ส่งผลตลอดเวลา วัดได้จาก ศีลาจารวัตร วิชชาและจรณะ ของพระภิกษุ สามเณร บุคลากร เหล่าศาสนิก และกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อเหล่าสรรพสัตว์นั่นเอง วินาทีนี้หาที่ใดเทียบได้ยาก
อิอิ พระธรรมบทโพสต์ด้านบน วัดเราชอบนำมาสอนมากนะครับ คนบางพวกไม่ศึกษาให้ดีพอ ก้อวดรู้ หาว่าพวกเราสอนสั่งให้ทำบุญหวังผลเอาหน้า อยากจะนั่งด้านหน้า ด้านหลัง มันคนละเรื่องเล้ย มันเป็นเรื่องของผู้มีปัญญาใคร่ครวญแล้วจึงกระทำ และทำให้ได้ผลดีที่สุด ตามธรรมนั่นเอง ยิ่งใกล้พระศาสดา ก็ยิ่งใกล้ธรรมะ
ไม่มีครูไม่ใหญ่ ไม่มีเราในวันนี้ ครับ กิ้วๆ
อานิสงส์ส่งผลตลอดเวลา วัดได้จาก ศีลาจารวัตร วิชชาและจรณะ ของพระภิกษุ สามเณร บุคลากร เหล่าศาสนิก และกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อเหล่าสรรพสัตว์นั่นเอง วินาทีนี้หาที่ใดเทียบได้ยาก
อิอิ พระธรรมบทโพสต์ด้านบน วัดเราชอบนำมาสอนมากนะครับ คนบางพวกไม่ศึกษาให้ดีพอ ก้อวดรู้ หาว่าพวกเราสอนสั่งให้ทำบุญหวังผลเอาหน้า อยากจะนั่งด้านหน้า ด้านหลัง มันคนละเรื่องเล้ย มันเป็นเรื่องของผู้มีปัญญาใคร่ครวญแล้วจึงกระทำ และทำให้ได้ผลดีที่สุด ตามธรรมนั่นเอง ยิ่งใกล้พระศาสดา ก็ยิ่งใกล้ธรรมะ
ไม่มีครูไม่ใหญ่ ไม่มีเราในวันนี้ ครับ กิ้วๆ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย