ผมฝึกสติมาได้สักระยะใหญ่ๆเเล้วครับเเต่มีคำถามที่ต้องการทราบอยู่ คือเวลาที่มีอารมณ์หนึ่งๆเกิดขึ้น ตามหลักแล้วหากนำสตินั้นไปจับอารมณ์นั้นดูจะหายไปทันที เเต่ของผมมันไม่หาย ทั้งๆที่ไม่ได้มีความต้องการเพลิดเพลินหรือหลงไหลได้เสียกับอารมณ์นั้นๆ อยากทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดครับ
ปัญหาสติปัฏฐาน
เริ่มโดย usr37290, Oct 31 2010 08:35 PM
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 08:35 PM
#2
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 08:57 PM
เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ วันนี้ยังไม่ดับ เดี๋ยววันต่อๆไปก็ดับไปเอง จนวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งหลายได้
ที่สำคัญคือต้องไม่ให้ใจตก รักษาใจของตัวเองให้ได้ตลอดเวลา ตามหลักวิชานะครับ
ที่สำคัญคือต้องไม่ให้ใจตก รักษาใจของตัวเองให้ได้ตลอดเวลา ตามหลักวิชานะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 09:07 PM
อ๋อ... คือเป็นธรรมดาของใจที่มันเคยชินมาใช้ใหมครับ
#4
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 09:14 PM
อารมที่ว่านั้นมีลักษณะเป็นอย่างไรครับ เป็นรูปของเวทนา หรือวิตก หรือวิจาร หรืออย่างไรครับ
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็อย่าไปสนใจนะครับค่อยๆเอาสติกับสบาย ประคับประคองใจเดี๋ยวใจก็นิ่งได้เอง
ไม่ว่าจะฝึกสติด้วยวิธีไหน ล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกใจให้หยุดนิ่งอย่างละมุนละม่อม ด้วยกันทั้งสิ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็อย่าไปสนใจนะครับค่อยๆเอาสติกับสบาย ประคับประคองใจเดี๋ยวใจก็นิ่งได้เอง
ไม่ว่าจะฝึกสติด้วยวิธีไหน ล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกใจให้หยุดนิ่งอย่างละมุนละม่อม ด้วยกันทั้งสิ้น
#5
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 09:22 PM
ขอบคุณครับ แล้วหากมีสัมผัสเกิดขึ้นพร้อมกัน อย่างเช่น การได้ยิน กับ อาการคัน เราควรจะกำหนดอย่างไรครับ หากใช้วิธีกากำหนดแบบพูดในใจ แบบยุบหนอ พองหนอ
#6
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 09:34 PM
ขอบคุณครับ แล้วหากมีสัมผัสเกิดขึ้นพร้อมกัน อย่างเช่น การได้ยิน กับ อาการคัน เราควรจะกำหนดอย่างไรครับ หากใช้วิธีกากำหนดแบบพูดในใจ แบบยุบหนอ พองหนอ
ก็ไม่ต้องไปเครียดถึงขนาดที่ว่า คันแล้วเกาไม่ได้ เมื่อยแล้วขยับไม่ได้ ถ้าเครียดขนาดนั้นนั่งไปก็ทำให้สภาพใจอึดอัดป่าวๆ ถ้าเมื่อยก็ค่อยๆขยับ คันก็เกาเบาๆ เอามือเขี่ยไล่ยุงไปเบาๆก็พอ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเสี่ยงบารมีตั้งสัจจะว่าจะไม่ขยับกาย ไม่ลุกจนกว่าจะถึงตอนนั้นๆๆ ถ้าตั้งสัจจะเสี่ยงบารมีก็เอาแบบพอดีๆอย่าให้ถึงขนาดที่ตั้งแล้วต้องเกิดคำถามลึกๆในใจว่า (ตูจะไหวมั้ยเนี่ย)
ส่วนเสียงดังรอบด้านก็ไม่ต้องไปสนใจครับ เป็นเรื่องธรรมดาเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อใจเป็นสมาธิอยู่ภายในระดับหนึ่ง จะไม่ได้ยินไปเองครับ
ผมเคยนั่งธรรมะ กลางเสียงเครื่องไฟงานแต่งงานของเพื่อนบ้าน ประมาณ 1 ชม.ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย พอออกจากสมาธิจึงได้รู้ว่า ภายนอกเสียงเพลงรำวงกระหน่ำเปิดกันมันระเบิด ไม่รู้เหมือนกันว่านั่งไปได้ยังไง
ก็ไม่ต้องไปเครียดถึงขนาดที่ว่า คันแล้วเกาไม่ได้ เมื่อยแล้วขยับไม่ได้ ถ้าเครียดขนาดนั้นนั่งไปก็ทำให้สภาพใจอึดอัดป่าวๆ ถ้าเมื่อยก็ค่อยๆขยับ คันก็เกาเบาๆ เอามือเขี่ยไล่ยุงไปเบาๆก็พอ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเสี่ยงบารมีตั้งสัจจะว่าจะไม่ขยับกาย ไม่ลุกจนกว่าจะถึงตอนนั้นๆๆ ถ้าตั้งสัจจะเสี่ยงบารมีก็เอาแบบพอดีๆอย่าให้ถึงขนาดที่ตั้งแล้วต้องเกิดคำถามลึกๆในใจว่า (ตูจะไหวมั้ยเนี่ย)
ส่วนเสียงดังรอบด้านก็ไม่ต้องไปสนใจครับ เป็นเรื่องธรรมดาเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อใจเป็นสมาธิอยู่ภายในระดับหนึ่ง จะไม่ได้ยินไปเองครับ
ผมเคยนั่งธรรมะ กลางเสียงเครื่องไฟงานแต่งงานของเพื่อนบ้าน ประมาณ 1 ชม.ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย พอออกจากสมาธิจึงได้รู้ว่า ภายนอกเสียงเพลงรำวงกระหน่ำเปิดกันมันระเบิด ไม่รู้เหมือนกันว่านั่งไปได้ยังไง
#7
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 09:44 PM
อ๋อ คือไม่ต้องไปกำหนดทุกขณะจิตแบบเป๊ะๆว่าขณะนี้มีอาการอะไรเกิดขึ้นจะกลายเป็นการเพ่งใช่ใหมครับ
#8
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 09:56 PM
สวัสดีครับ
อยากทราบ ภูมิหลังและความเข้าใจ ในการปฏิบัติธรรมของท่าน usr37290 ด้วยนะครับ
....................................................
และไม่ทราบว่าท่านได้ฝึกปฏิบัติแบบวิชชาธรรมกายหรือไม่เพียงใดครับ
....................................................
ท่านเข้าใจในหลักสมถะวิปัสสนา สติปัฏฐาน บารมี 10 มากน้อยเพียงใดครับ
...................................................
สาธุกับการเสวนาธรรมนะครับ คือแบบว่าจะได้แนะนำการปฏิบัติกันได้ดีขึ้นครับ
อยากทราบ ภูมิหลังและความเข้าใจ ในการปฏิบัติธรรมของท่าน usr37290 ด้วยนะครับ
....................................................
และไม่ทราบว่าท่านได้ฝึกปฏิบัติแบบวิชชาธรรมกายหรือไม่เพียงใดครับ
....................................................
ท่านเข้าใจในหลักสมถะวิปัสสนา สติปัฏฐาน บารมี 10 มากน้อยเพียงใดครับ
...................................................
สาธุกับการเสวนาธรรมนะครับ คือแบบว่าจะได้แนะนำการปฏิบัติกันได้ดีขึ้นครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 01 November 2010 - 07:43 AM
ตามที่น้องสิริปโภบอกนั่นแหละครับ คุณเจ้าของกระทู้
ซึ่งความจริงการที่เจ้าของกระทู้ถามเช่นนี้ มันก็ไม่แปลก เหมือนคนฝึกหัดขับรถใหม่ๆ อะไรๆ ก็จะเกร็งไปหมด ซึ่งเกิดจากความตั้งใจมากเกินไป เพราะกลัวว่า อาจจะขับผิดพลาด แล้วเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น หากใครที่หัดขับรถใหม่ๆ จะต้องเรียนรู้ความรู้ทางทฤษฎีว่า
สายตาจะต้องมองไปข้างหน้า แต่ทุกๆ 8 วินาที สายตาจะต้องละจากภาพข้างหน้ามาดูกระจกหลัง และกระจกข้าง เพื่อดูเหตุการณ์รอบตัวรถทั้งหมด ทั้งหน้า หลัง ซ้าย ขวา เป็นต้น
ทีนี้ผู้ฝึกหัดใหม่ก็เกร็งน่ะสิครับ เพราะจะกังวลว่า เอะนี่ 8 วินาทีหรือยังนะ คง 8 วินาทีแล้วมั้ง ว่าแล้วก็เหลียวไปดูกระจกทีหนึ่ง ดูไปก็กลัวภัย เพราะสายตาละมาจากหน้ารถ ก็เลยต้องรีบย้อนกลับไปมองหน้ารถ เป็นอย่างนี้ไปหลายวัน ด้วยความทุกข์ทรมานทีเดียว
แต่ขับรถเก่งขึ้นๆ เก่งขึ้น อาการเกร็งที่เกิดจากการตั้งใจมากเกินไป ก็จะหายไป กลายเป็นขับรถด้วยอาการที่เป็นธรรมชาติไปแทน แทนที่จะเป็นว่า ต้องละสายตาไปดูกระจกทุกๆ 8 วินาที ผู้ขับรถที่ชำนาญก็จะละสายตาไปดูกระจกในจังหวะที่เหมาะสมกันเอง โดยไม่รู้สึกเกร็งแต่อย่างใด
ซึ่งความจริงการที่เจ้าของกระทู้ถามเช่นนี้ มันก็ไม่แปลก เหมือนคนฝึกหัดขับรถใหม่ๆ อะไรๆ ก็จะเกร็งไปหมด ซึ่งเกิดจากความตั้งใจมากเกินไป เพราะกลัวว่า อาจจะขับผิดพลาด แล้วเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น หากใครที่หัดขับรถใหม่ๆ จะต้องเรียนรู้ความรู้ทางทฤษฎีว่า
สายตาจะต้องมองไปข้างหน้า แต่ทุกๆ 8 วินาที สายตาจะต้องละจากภาพข้างหน้ามาดูกระจกหลัง และกระจกข้าง เพื่อดูเหตุการณ์รอบตัวรถทั้งหมด ทั้งหน้า หลัง ซ้าย ขวา เป็นต้น
ทีนี้ผู้ฝึกหัดใหม่ก็เกร็งน่ะสิครับ เพราะจะกังวลว่า เอะนี่ 8 วินาทีหรือยังนะ คง 8 วินาทีแล้วมั้ง ว่าแล้วก็เหลียวไปดูกระจกทีหนึ่ง ดูไปก็กลัวภัย เพราะสายตาละมาจากหน้ารถ ก็เลยต้องรีบย้อนกลับไปมองหน้ารถ เป็นอย่างนี้ไปหลายวัน ด้วยความทุกข์ทรมานทีเดียว
แต่ขับรถเก่งขึ้นๆ เก่งขึ้น อาการเกร็งที่เกิดจากการตั้งใจมากเกินไป ก็จะหายไป กลายเป็นขับรถด้วยอาการที่เป็นธรรมชาติไปแทน แทนที่จะเป็นว่า ต้องละสายตาไปดูกระจกทุกๆ 8 วินาที ผู้ขับรถที่ชำนาญก็จะละสายตาไปดูกระจกในจังหวะที่เหมาะสมกันเอง โดยไม่รู้สึกเกร็งแต่อย่างใด
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร