เป็นข้อสงสัยมานานพอสมควร ได้ยินในคำอธิฐานและให้พรบ่อยๆ
เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ขอท่านผู้รู้ ได้อธิบายด้วยครับ
ช่วงนี้บุญเข้า เรื่องส่วนตัวเลยต้องวางอุเบกขา
มีดวงตาเห็นธรรม กับ เข้าถึงพระธรรมกาย
เริ่มโดย Rynex, Oct 31 2010 09:52 PM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 31 October 2010 - 09:52 PM
______________________________________
DHAMMA FORCE 072
Special Dhamma Team of The Element Space
Special Dhamma Team of The Element Space
THUNDER FORCE 222
Special Combat Team of The Earth Side
Special Combat Team of The Earth Side
#2
โพสต์เมื่อ 01 November 2010 - 01:55 AM
ขออธิบายด้วยความเข้าใจของตนเองที่ได้ร่ำเรียนฟังมาจากครูบาอาจารย์และมาปฏิบัติด้วยตนเอง
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา รูปกับนาม ขันธ์5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
สัตว์ บุคคล ประกอบด้วยรูปกับนาม มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และมีความแปรปรวนไป ที่สุดก็มีแต่ความแตกสลายเป็นธรรมดา
วิปัสนาปัญญา ซึ่งเห็นความเกิดขึ้นความดับไปของรูปนาม ทุกขณะจิต ว่ามีความเกิดดับอยู่ทุกเวลา นี้คือดวงตาเห็นธรรม
ลองหาบทธรรมจักรฯ ที่แปลมาอ่านดูก็ได้ครับมีอธิบายเรื่องนี้อยู่ในนั้น
ส่วนเข้าถึงพระธรรมกายเหมือนกันครับ เมื่อถึงขั้นวิปัสนาก็จะมีดวงตาเห็นธรรม แต่เป็นทางปฏิบัติต่างกันไปตามสำนัก
ต้องเข้าใจก่อนว่า ในขั้นต้นๆของวิชชาธรรมกาย เป็นขั้นสมถะยังไม่เกิดดวงตาเห็นธรรมได้ซะทีเดียว แต่เกิดความสงบ จนละจากนิวรณ์ทั้ง 5
ใจที่ดิ้นรน ทำให้มาหยุดมานิ่งกับดวงแก้ว หรือองค์พระใสๆ ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว ^^
ถ้าจำไม่ผิดที่หลวงปู่สอนไว้ น่าจะเป็นกายที่ 8 ขึ้นไป จึงเป็นขั้น วิปัสนา (ถ้าผิดขออภัยด้วยครับ)
ขอเพิ่มตรงนี้นิดนะครับ ในนี้ในด้านของเหตุว่าทำไมเป็นวิปัสนาได้ยังไง
หลายๆคนที่ชอบบอกว่านั่งแบบนี้มันจะขึ้นวิปัสสนาได้ยังไง ก็ลองไปรู้ไปเห็นบางสิ่งด้วยวิชชาธรรมกาย
เอาเป็นว่า ฝันในฝันไปรู้ไปเห็น นรกสวรรค์ เห็นเทวดา เปรต สัตว์นรก เห็นการเวียนว่ายตายเกิด
เช่น เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของตนเองมานับพันชาติ แล้วพิจรณาเห็น ภัยในการที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
แม้จะได้กลับมาเกิดเป็นเศรษฐี ก็ต้องเริ่มจากเป็นเด็ก มาเป็นผู้ใหญ่ ต้องผ่านการเจ็บ ป่วย อุบัตติเหตุ ถ้าใช้ชีวิตพลาดก็ไปอบาย
ใช่ว่าจะมีความสุข ไอที่สุข ก็สุขเวทนา คือ กินอิ่ม ได้สิ่งอันเป็นที่รัก แต่ล้วนก็หมดไป ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นธรรมดา
เห็นว่าร่างกายนี้เหมือนยืมโลกมาใช้วันนึงก็ต้องคืนไป บางทีก็เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นหญิง เป็นชาย ฯลฯ
ตัวร่างกายเราแท้จริงเหมือนไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเรา เกิดมาเปลี่ยนกายใหม่ก็ลืมทุกอย่าง
เมื่อพิจรณาเห็นไตรลักษณ์ เห็นทุกอย่างตามความจริงเมื่อรู้เห็นด้วยตนเองเชื่อว่าผู้ที่เข้าถึงทุกคน ย่อมมีดวงตาเห็นธรรม
ขออธิบายล้อมคอกนิดนึงนะครับเดี๋ยวจะมีคนเข้าใจบางอย่างผิด
ถ้าจากคำตอบข้างบน อาจมีคำถามว่า แล้วจะมาเกิดอีกทำไม ไม่ไปนิพพาน ทำไมถึงจะไป ดุสิตบุรี
อันนี้ละไว้ในอีกทางนึงครับ คือทางนักสร้างบารมี ผู้มีความเสียสละเด็ดเดี่ยวร่วมกับหมู่คณะ ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์
เพราะฉะนั้น คำอธิฐานก็เหมือนการวางผังชีวิตในภพต่อไปจึงมีความจำเป็นด้วยความไม่ประมาทและแน่วแน่เพื่อจะไปถึงที่สุดแห่งธรรม
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา รูปกับนาม ขันธ์5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
สัตว์ บุคคล ประกอบด้วยรูปกับนาม มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และมีความแปรปรวนไป ที่สุดก็มีแต่ความแตกสลายเป็นธรรมดา
วิปัสนาปัญญา ซึ่งเห็นความเกิดขึ้นความดับไปของรูปนาม ทุกขณะจิต ว่ามีความเกิดดับอยู่ทุกเวลา นี้คือดวงตาเห็นธรรม
ลองหาบทธรรมจักรฯ ที่แปลมาอ่านดูก็ได้ครับมีอธิบายเรื่องนี้อยู่ในนั้น
ส่วนเข้าถึงพระธรรมกายเหมือนกันครับ เมื่อถึงขั้นวิปัสนาก็จะมีดวงตาเห็นธรรม แต่เป็นทางปฏิบัติต่างกันไปตามสำนัก
ต้องเข้าใจก่อนว่า ในขั้นต้นๆของวิชชาธรรมกาย เป็นขั้นสมถะยังไม่เกิดดวงตาเห็นธรรมได้ซะทีเดียว แต่เกิดความสงบ จนละจากนิวรณ์ทั้ง 5
ใจที่ดิ้นรน ทำให้มาหยุดมานิ่งกับดวงแก้ว หรือองค์พระใสๆ ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว ^^
ถ้าจำไม่ผิดที่หลวงปู่สอนไว้ น่าจะเป็นกายที่ 8 ขึ้นไป จึงเป็นขั้น วิปัสนา (ถ้าผิดขออภัยด้วยครับ)
ขอเพิ่มตรงนี้นิดนะครับ ในนี้ในด้านของเหตุว่าทำไมเป็นวิปัสนาได้ยังไง
หลายๆคนที่ชอบบอกว่านั่งแบบนี้มันจะขึ้นวิปัสสนาได้ยังไง ก็ลองไปรู้ไปเห็นบางสิ่งด้วยวิชชาธรรมกาย
เอาเป็นว่า ฝันในฝันไปรู้ไปเห็น นรกสวรรค์ เห็นเทวดา เปรต สัตว์นรก เห็นการเวียนว่ายตายเกิด
เช่น เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของตนเองมานับพันชาติ แล้วพิจรณาเห็น ภัยในการที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
แม้จะได้กลับมาเกิดเป็นเศรษฐี ก็ต้องเริ่มจากเป็นเด็ก มาเป็นผู้ใหญ่ ต้องผ่านการเจ็บ ป่วย อุบัตติเหตุ ถ้าใช้ชีวิตพลาดก็ไปอบาย
ใช่ว่าจะมีความสุข ไอที่สุข ก็สุขเวทนา คือ กินอิ่ม ได้สิ่งอันเป็นที่รัก แต่ล้วนก็หมดไป ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นธรรมดา
เห็นว่าร่างกายนี้เหมือนยืมโลกมาใช้วันนึงก็ต้องคืนไป บางทีก็เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นหญิง เป็นชาย ฯลฯ
ตัวร่างกายเราแท้จริงเหมือนไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเรา เกิดมาเปลี่ยนกายใหม่ก็ลืมทุกอย่าง
เมื่อพิจรณาเห็นไตรลักษณ์ เห็นทุกอย่างตามความจริงเมื่อรู้เห็นด้วยตนเองเชื่อว่าผู้ที่เข้าถึงทุกคน ย่อมมีดวงตาเห็นธรรม
ขออธิบายล้อมคอกนิดนึงนะครับเดี๋ยวจะมีคนเข้าใจบางอย่างผิด
ถ้าจากคำตอบข้างบน อาจมีคำถามว่า แล้วจะมาเกิดอีกทำไม ไม่ไปนิพพาน ทำไมถึงจะไป ดุสิตบุรี
อันนี้ละไว้ในอีกทางนึงครับ คือทางนักสร้างบารมี ผู้มีความเสียสละเด็ดเดี่ยวร่วมกับหมู่คณะ ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์
เพราะฉะนั้น คำอธิฐานก็เหมือนการวางผังชีวิตในภพต่อไปจึงมีความจำเป็นด้วยความไม่ประมาทและแน่วแน่เพื่อจะไปถึงที่สุดแห่งธรรม
#3
โพสต์เมื่อ 01 November 2010 - 08:52 AM
การเข้าถึงธรรมมีหลายระดับเหมือนเราไปโรงเรียนนั้นแหละประถม มัธยม อุดมศึกษา ฯลฯ
ในทางธรรมก็เช่นกัน
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเราทุกคนมีแผนผังชีวิตเหมือนกันคือมีกายคนหยาบ ๆที่เห็นด้วยตาเนื้อด้วยกันนี่แล้วยังกายซ้อน ๆกันอยู่
เป็นกายละเอียดอีก17 กาย รวมกับกายมนุษย์หรือกายหยาบนี้ด้วยก็เป็น 18 กาย
การเข้าถึงธรรมหรือปฏิบัติธรรมจากกายที่ 1 ใจหยุดสงบเริ่ม จากเห็นดวงปฐมมรรคแล้วและเห็นไปถึงกายที่ 8 นั้นยังอยู่ขั้นสมถะ
เมื่อเข้าถึงกายธรรมหรือพระธรรมกายซึ่งเป็นกายที่ 9 จึงจะเรียกว่า วิปัสสนา (นับแต่กายที่ 9-16) พอถึงกายที่ 17 - 18 ก็เป็นกายธรรมที่
ทั้งรู้ทั้งเห็นเกิดขึ้นพร้อมกันในอริยสัจสี่ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะสว่างจริง ๆ เห็นจริง ๆด้วยตาของพระธรรมกายหรือธรรมจักษุ
ที่เรียกว่าเกิด ญาณ เกิดปัญญา และเกิดวิชชา (อยู่ในบทสวด ปฐมเทศนา "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" ) เมื่อถึงระดับนี้ก็เป็นพระอรหัตต์-ละเอียด
อย่างนี้เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรมจริง ๆ(ภาคปฏิบัติ)
ส่วนการเมีดวงตาเห็นธรรมในอีกความหมายหนึ่ง(ในภาคปริยัติ) นั้นหมายถึงความเข้าใจแล้วว่าอะไรคือทางพระ อะไรคือทางมาร แต่เป็นเพียง
ในระดับความเห็นถูกหรือ Right understanding/receiveing data. หรือจะเรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งก็เป็นข้อที่ 1 หรือบันไดขั้นที่ 1
ของมรรคมีองค์ 8นั่นเอง เป็นทางสายกลางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนวิธีหรือหนทางให้คนเข้าถึงธรรม พ้นทุกข์ถาวร
ทั้งหมดก็อยู่ในบทสวดปฐมเทศนา " ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" เช่นกันในวันอาสาฬหบูชา
ทั้งหมดนี้ถือว่าเสวนาธรรมกันค่ะมิใช๋อวดรู้ เพราะผู้เขียนนี้ก็แค่นร.อนุบาลฯเท่านั้นค่ะ หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยและโปรดชี้แนะทางถูกด้วย ขอบคุณค่ะ
ขอแนะนำหนังสือดีมาก ๆ อีกเล่มหนึ่งค่ะ
หนังสือ : สาระสำคัญพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
http://www.kalyanami...k/pdf/69KAN.pdf
ในทางธรรมก็เช่นกัน
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเราทุกคนมีแผนผังชีวิตเหมือนกันคือมีกายคนหยาบ ๆที่เห็นด้วยตาเนื้อด้วยกันนี่แล้วยังกายซ้อน ๆกันอยู่
เป็นกายละเอียดอีก17 กาย รวมกับกายมนุษย์หรือกายหยาบนี้ด้วยก็เป็น 18 กาย
การเข้าถึงธรรมหรือปฏิบัติธรรมจากกายที่ 1 ใจหยุดสงบเริ่ม จากเห็นดวงปฐมมรรคแล้วและเห็นไปถึงกายที่ 8 นั้นยังอยู่ขั้นสมถะ
เมื่อเข้าถึงกายธรรมหรือพระธรรมกายซึ่งเป็นกายที่ 9 จึงจะเรียกว่า วิปัสสนา (นับแต่กายที่ 9-16) พอถึงกายที่ 17 - 18 ก็เป็นกายธรรมที่
ทั้งรู้ทั้งเห็นเกิดขึ้นพร้อมกันในอริยสัจสี่ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะสว่างจริง ๆ เห็นจริง ๆด้วยตาของพระธรรมกายหรือธรรมจักษุ
ที่เรียกว่าเกิด ญาณ เกิดปัญญา และเกิดวิชชา (อยู่ในบทสวด ปฐมเทศนา "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" ) เมื่อถึงระดับนี้ก็เป็นพระอรหัตต์-ละเอียด
อย่างนี้เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรมจริง ๆ(ภาคปฏิบัติ)
ส่วนการเมีดวงตาเห็นธรรมในอีกความหมายหนึ่ง(ในภาคปริยัติ) นั้นหมายถึงความเข้าใจแล้วว่าอะไรคือทางพระ อะไรคือทางมาร แต่เป็นเพียง
ในระดับความเห็นถูกหรือ Right understanding/receiveing data. หรือจะเรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งก็เป็นข้อที่ 1 หรือบันไดขั้นที่ 1
ของมรรคมีองค์ 8นั่นเอง เป็นทางสายกลางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนวิธีหรือหนทางให้คนเข้าถึงธรรม พ้นทุกข์ถาวร
ทั้งหมดก็อยู่ในบทสวดปฐมเทศนา " ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" เช่นกันในวันอาสาฬหบูชา
ทั้งหมดนี้ถือว่าเสวนาธรรมกันค่ะมิใช๋อวดรู้ เพราะผู้เขียนนี้ก็แค่นร.อนุบาลฯเท่านั้นค่ะ หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยและโปรดชี้แนะทางถูกด้วย ขอบคุณค่ะ
ขอแนะนำหนังสือดีมาก ๆ อีกเล่มหนึ่งค่ะ
หนังสือ : สาระสำคัญพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
http://www.kalyanami...k/pdf/69KAN.pdf
#4
โพสต์เมื่อ 01 November 2010 - 07:59 PM
....จะเข้าถึงธรรม จำเป็นต้องมีธรรมจักษุก่อน คือ ดวงตาเห็นธรรม คือ ตาละเอียด ที่เกิดจากสมาธิที่ละเอียดไปเรื่อยๆ นิ่ง แน่นเรื่อยๆ และถูกหลักวิชชา
....ในภาคขยาย ดวงตาเห็นธรรม ยังหมายถึง การเข้าใจความเป็นไป เข้าใจหลักธรรม มองธรรมะของพระศาสดาออก และเข้าใจและเชื่อ เชื่อในธรรม เชื่อในคำสอนและการปฏิบัติ จากนั้นจึงเกิดความเพียร เพื่อแสวงหาความสุขภายใน และนำไปสู่การเข้าถึงดวงธรรมไปเรื่อยๆนั่นเอง
....ในภาคขยาย ดวงตาเห็นธรรม ยังหมายถึง การเข้าใจความเป็นไป เข้าใจหลักธรรม มองธรรมะของพระศาสดาออก และเข้าใจและเชื่อ เชื่อในธรรม เชื่อในคำสอนและการปฏิบัติ จากนั้นจึงเกิดความเพียร เพื่อแสวงหาความสุขภายใน และนำไปสู่การเข้าถึงดวงธรรมไปเรื่อยๆนั่นเอง
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....
#5
โพสต์เมื่อ 01 November 2010 - 09:28 PM
มีดวงตาเห็นธรรม ถ้าตามที่เราเข้าใจที่ได้ยินในพระไตรปิฏกจะหมายความว่า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี หรือ พระอรหันต์บ้าง
ส่วนเข้าถึงพระธรรมกายถ้าตามหลวงปู่หลวงพ่อสอน คือ ให้เข้าถึง องค์พระภายใน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์พระ ท่าน ทั้งนั่งนอนยืนเดิน
แต่การเข้าถึงธรรมนั้น มันก็มีหลายขั้นตอน นะ
อย่างคนที่เห็นดวงธรรมแล้วเห็นชัดตลอดทั้ง หลับตา ลืมตา เป็นการเข้าถึงเบื้อนต้น นี่ยังงัย มีดวงตาเห็นธรรม (การเห็นเบื้องต้น)
จากนั้นก็ไล่ไปตามลำดับ 6 ดวงกาย 6 ดวงกาย จนถึงกายธรรมโครตภู นี่ยังงัย เข้าถึงพระธรรมกาย (เห็น)
ดังนั้นการได้ดวงตาเห็นธรรม หรือว่า เข้าถึงพระธรรมกาย ก็คือ ได้จักขุกรณี แปลว่า การเห็นเป็นปกติ แต่ความละเอียดก็เป็นไปตามลำดับ
ปล.ในพุทธกาลส่วนมากนิยมใช้ คำว่า มีดวงตาเห็นธรรม กับปถุชนที่ได้บรรลุธรรม ตั้งแต่ กายธรรมโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็คือ เข้าถึงพระธรรมกายนั้นเอง โดยที่ พิจารณา อริยสัจ4 แล้วสามารถจำกัดกิเลสภายในตัว ตามกำลังบารมี ของท่านเหล่านั้น
ประมาณนี้ละมั้ง ผิดพลาดประการใดขอ ขภัย เด้อครับเด้อ
ส่วนเข้าถึงพระธรรมกายถ้าตามหลวงปู่หลวงพ่อสอน คือ ให้เข้าถึง องค์พระภายใน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์พระ ท่าน ทั้งนั่งนอนยืนเดิน
แต่การเข้าถึงธรรมนั้น มันก็มีหลายขั้นตอน นะ
อย่างคนที่เห็นดวงธรรมแล้วเห็นชัดตลอดทั้ง หลับตา ลืมตา เป็นการเข้าถึงเบื้อนต้น นี่ยังงัย มีดวงตาเห็นธรรม (การเห็นเบื้องต้น)
จากนั้นก็ไล่ไปตามลำดับ 6 ดวงกาย 6 ดวงกาย จนถึงกายธรรมโครตภู นี่ยังงัย เข้าถึงพระธรรมกาย (เห็น)
ดังนั้นการได้ดวงตาเห็นธรรม หรือว่า เข้าถึงพระธรรมกาย ก็คือ ได้จักขุกรณี แปลว่า การเห็นเป็นปกติ แต่ความละเอียดก็เป็นไปตามลำดับ
ปล.ในพุทธกาลส่วนมากนิยมใช้ คำว่า มีดวงตาเห็นธรรม กับปถุชนที่ได้บรรลุธรรม ตั้งแต่ กายธรรมโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็คือ เข้าถึงพระธรรมกายนั้นเอง โดยที่ พิจารณา อริยสัจ4 แล้วสามารถจำกัดกิเลสภายในตัว ตามกำลังบารมี ของท่านเหล่านั้น
ประมาณนี้ละมั้ง ผิดพลาดประการใดขอ ขภัย เด้อครับเด้อ
เกิดมาสร้างบารมี
#6
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 10:08 PM
ขอบคุณสำหรับทุกๆความคิดเห็นครับ
ความคิดเห็น โดยส่วนตัวไม่ถือเป็นเรื่องถูกผิด
ถ้านิ่งเห็นนี่ว่ากันอีกเรื่อง
ว่าแต่ผมจะหาหนังสือที่คุณ innerpeace ได้ที่ไหนบ้าง รู้สึกไม่ค่อยคุ้นตา ตามซุ้มหนังสือ
หรือตาถั่วหาไม่เจอเอง - -
นั่งอ่านไฟล์จากคอมไม่สะดวก จะเอาติดตัวไปไหนก็ไม่ได้
ถ้ายังไง แนะนำด้วยครับ หาได้ที่ไหน
นั่งอ่านไปหลายเรื่อง ดีมากเลย แม้บางอย่างยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ขออ่านเอารู้เรื่องไปก่อน ก็แล้วกัน
เวลาผ่านไปคงเข้าใจมากขึ้น
ความคิดเห็น โดยส่วนตัวไม่ถือเป็นเรื่องถูกผิด
ถ้านิ่งเห็นนี่ว่ากันอีกเรื่อง
ว่าแต่ผมจะหาหนังสือที่คุณ innerpeace ได้ที่ไหนบ้าง รู้สึกไม่ค่อยคุ้นตา ตามซุ้มหนังสือ
หรือตาถั่วหาไม่เจอเอง - -
นั่งอ่านไฟล์จากคอมไม่สะดวก จะเอาติดตัวไปไหนก็ไม่ได้
ถ้ายังไง แนะนำด้วยครับ หาได้ที่ไหน
นั่งอ่านไปหลายเรื่อง ดีมากเลย แม้บางอย่างยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ขออ่านเอารู้เรื่องไปก่อน ก็แล้วกัน
เวลาผ่านไปคงเข้าใจมากขึ้น
______________________________________
DHAMMA FORCE 072
Special Dhamma Team of The Element Space
Special Dhamma Team of The Element Space
THUNDER FORCE 222
Special Combat Team of The Earth Side
Special Combat Team of The Earth Side
#7
โพสต์เมื่อ 04 November 2010 - 02:20 AM
มีขายที่ไหน ไม่ทราบค่ะ น่าจะติดต่อสอบถามทางวัดนะคะ
innerpeace เองก็อ่าน onlineค่ะ แต่ทำ shot cut ไว้อ่านได้ทุกเวลาที่ต้องการ
ส่วนมากหนังสือของวัดเราที่ online มีมากจนชาตินี้คิดว่าโชคดีอะไรอย่างนี้มาเจอมหาลัยชีวิต ห้องสมุดธรรมะที่สุดยอด
การอ่านไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจหรือทำได้เลย แต่เป็นภาคทฤษฏีที่น่ารู้ น่าศึกษา เราฝึกฝนตัวเองทั้งภาคปฏิบัติไปด้วยจะยิ่งดีค่ะ
innerpeace เองก็อ่าน onlineค่ะ แต่ทำ shot cut ไว้อ่านได้ทุกเวลาที่ต้องการ
ส่วนมากหนังสือของวัดเราที่ online มีมากจนชาตินี้คิดว่าโชคดีอะไรอย่างนี้มาเจอมหาลัยชีวิต ห้องสมุดธรรมะที่สุดยอด
การอ่านไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจหรือทำได้เลย แต่เป็นภาคทฤษฏีที่น่ารู้ น่าศึกษา เราฝึกฝนตัวเองทั้งภาคปฏิบัติไปด้วยจะยิ่งดีค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 05 November 2010 - 01:35 PM
นิ่งอย่างเดียว