พระนิพพาน
#1
โพสต์เมื่อ 09 November 2010 - 12:34 PM
#3
โพสต์เมื่อ 09 November 2010 - 01:46 PM
#4
โพสต์เมื่อ 09 November 2010 - 02:45 PM
พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่เคารพที่ระลึกถึงอันสูงสุดของเรา .....พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆ เมนาโถ
คิดว่าถ้าใจเรามีท่าน ท่านก็มีเรา เราอยูกับท่าน ท่านก็อยู่กับเรา อยู่ให้ถูกตำแหน่งเหมือนเปิดคลื่นวิทยุให้ตรงกันได้ต้องถูกจุดถึงสื่อรับกันได้
เราปฏิบัติตามคำสอนเดินตามทางอริยมรรคมีองค์แปดท่านถึงจะอยู่ด้วย เพราะท่านมีอานุภาพสุดจะนับจะประมาณ
เขาจึงมีคำว่า "ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม" ( พระธรรมคำสอน เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพพาน)
จึงคิดว่าบนเส้นทางธรรมขาว ๆ นี้เป็นทางที่เดินตามท่านไป เราไม่ได้เดินคนเดียว และมั่นใจว่าทำดีต้องได้ดี.............
แค่นี้ก็เกินพอแล้วเหลือแต่ปฏิบัติให้จริงจัง ทำตามพ่อว่าแล้วปัญหา ความลับต่าง ๆของชีวิตจะหมดไปเมื่อเข้าถึงพระธรรมกายด้วยตัวของเรา
เอง................ขอแชร์นะผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย และช่วยแก้ไขให้ถูกต้องก็จะขอบพระคุณมาก ๆ
#5
โพสต์เมื่อ 09 November 2010 - 04:03 PM
#6
โพสต์เมื่อ 09 November 2010 - 07:00 PM
กระแสแห่งบุญ (ภาษาในพระไตรปิฎกเรียกว่า ท่อธารบุญ) ก็ย่อมมีแหล่งกำเนิดฉันนั้นครับ
แล้วแหล่งกำเนิดของฝ่ายบุญอยู่ที่ไหน คำตอบคือ อยู่ที่พระนิพพานไงล่ะครับ
แต่จะได้รับบุญ ก็ต่อเมื่อลงมือกระทำบุญนะครับ
เหมือนกระแสไฟฟ้า แม้มีรออยู่ตามเต้าเสียบ แต่จะสามารถเข้าสู่เครื่องรับไฟฟ้า เช่น พัดลม วิทยุ โทรทัศน์ เตารีด ฯลฯ ได้ ย่อมต้องอาศัยการเสียบปลั๊กไฟของเครื่องรับ เข้ากับเต้าเสียบ
เช่นเดียวกัน กระแสแห่งบุญแม้มีอยู่ แต่จะรับบุญได้ก็ต้องอาศัยใจของผู้รับเปิดให้ท่อธารแห่งบุญหลั่งไหลมา(จากพระนิพพาน) ด้วยการสั่งสมบุญนั่นแหละครับ เข้าใจไหมครับ
#7
โพสต์เมื่อ 09 November 2010 - 08:27 PM
พระนิพพานเป็นเสมือนดวงอาทิตย์ เสมือนทะเลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบุญ มีพลังงานบุญอยู่มากมายมหาศาล แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง ไม่มีไหลไปที่ผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ
ตัวเราถ้าอยากได้พลังงานบุญมหาศาลเหล่านั้นมาช่วยหนุนให้การดำเนินชีวิตในวัฏฏะเป็นไปด้วยความราบรื่นเรียบร้อย เราก็ต้องทำตัวเราให้รับกระแสบุญเหล่านั้นที่แผ่ ที่เอ่อล้นมาถึงตัวเราให้ได้
ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด ก็คือ จุดเชื่อมต่อกันระหว่างตัวเรากับทะเลบุญนั้น ถ้าเราหาจุดเชื่อมต่อเจอ เราก็พร้อมที่จะรองรับกระแสบุญที่ไหลผ่านจุดเชื่อมนี้ได้ตลอดเวลา เปรียบเหมือนเราเอาถังน้ำไปรองน้ำฝนที่ตกลงมา วิ่งไล่รองน้ำที่ตกลงเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แต่ถ้าทำใจหยุดใจนิ่ง ค่อยๆพิจารณาความจริงของชีวิต เราก็จะมองเห็นน้ำฝนที่ไหลมารวมตัวกันเป็นแอ่ง เป็นสาย เป็นแม่น้ำ ถึงตรงนั้นจะตักเอาเท่าไหร่ก็ได้
ดวงบุญ ก็คือ ขนาดของจุดเชื่อมต่อระหว่างตัวเรากับทะเลบุญนั้น ยิ่งดวงบุญเราใหญ่เท่าไหร่ กระแสบุญที่เราจะตักตวงได้ก็จะมากมายเท่านั้น จากที่เคยเป็นแค่แก้ว ดื่มกินได้แค่ตัวเอง ยิ่งทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาหนักเข้า ขนาดก็จะเปลี่ยนเป็นเหยือก เป็นถัง เต็มแทงก์ นอกจากใช้เฉพาะตัวแล้ว ยังเหลือเผื่อแผ่ไปยังหมู่คณะ คนรอบข้างให้ได้รับความชุ่มชื่นนั้นด้วย
อย่าภาวนาหวังให้บุญช่วยเรา แต่เราต้องแสวงหาบุญ และวิธีใช้บุญให้เกิดประโยชน์สูงสุด ง่ายๆ แค่นี้ ทำให้ได้กันนะครับ
#8
โพสต์เมื่อ 10 November 2010 - 03:39 AM
อยากขอถามว่าพระนิพพานหรือพระธรรมกายที่อยู่ในอายตนะนิพพานท่านตรวจดูสรรพสัตว์ที่อยู่ในวัฎสงสารหรือไม่?แล้วท่านยังสามารถช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ภัยในวัฎสงสารได้อีกหรือไม่?
ตอบ..กายธรรมที่อยู่ในอายตนะนิพพานนั้น ไม่ว่าจะเป็นกายธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภท กายธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า
หรือกายธรรมของเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว จะสิ้นสุดสิ่งที่ต้องทำ..ก็หาไม่
แต่หน้าที่ของท่านเหล่านั้น ไม่ใช่การตรวจดูหรือช่วยเหลือสรรพสัตว์ แต่เป็นการตรวจดูและช่วยเหลือตัวท่านเอง
กล่าวคือท่านก็ต้องเข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไปสุดกายภายในของตัวท่าน ไม่ใช่เข้านิพพานแล้ว จะไปนั่งอยู่เฉยๆ
แต่ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า การจะเข้ากลางของกลางได้เร็วและแรง จะต้องเป็นกายมนุษย์หยาบเท่านั้น ยิ่งเป็นกายมหาบุรุษได้ยิ่งดี
แต่ก็กว่าจะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถสร้างบารมีได้ครบ ๓๐ ทัศ เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จนได้กายมหาบุรุษนั้น ก็ต้องใช้ระยะเวลายาวนานกันเสียเหลือเกิน
และที่สำคัญ..ในหนึ่งจักรวาล ก็ไม่อาจจะมีกายมหาบุรุษ เกิดขึ้นมาพร้อมกันสองท่านได้
ถึงจะบังเกิดขึ้นมาพร้อมกัน แต่อยู่คนละจักรวาล ก็มิอาจข้ามจักรวาลมาอาราธนากันและกัน ให้อายุยืนจนเป็นกัปได้
เหตุผลก็คือ องค์ดำ(โดยส่วนตัวผมเรียกพญามารว่า องค์ดำ) เขาไม่ยอม และก็ไม่มีวิถีทางจะไปสู้กับเขาได้ด้วย
อย่าว่าแต่ให้โอกาสพระอานนท์ ๑๖ ครั้งเลย ให้โอกาส ล้านครั้ง ก็ไม่มีทางอาราธนาได้ และก็ไม่เคยมียุคไหนทำได้ด้วย
ถึงจะหมั่นไส้อยากบ้องหูองค์ดำสักแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเก่งจริง และก็ออกจะเก่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ
เเม้แสนโกฏิจักรวาลนิพพานถอดกาย ยังเอาชนะเสนามารของเขาได้ไม่ถึงครึ่่ง ได้แค่ สอง จาก ห้า คือ กิเลสมาร และ เทวบุตรมาร
ขันธมาร อภิสังขารมารและมัจจุมาร ไม่สามารถเอาชนะได้
หลักสำคัญที่จะสามารถออกจากภพ ๓ ได้ก็คือ เอาชนะ กิเลสมาร ได้ ก็พอ เทวบุตรมารเป็นของเเถม เพราะถ้าเอาชนะมารภายในตัวได้ มารภายนอกที่คอยก่อกวน ก็ไม่ใคร่มีความหมาย
๘๔,๐๐๐ พระะธรรมขันธ์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานถอดกายทุกพระองค์ ล้วนมีจุดมุ่งหมายในการกำจัดกิเลสมาร ทั้งสิ้น
ทำตามข้อใดข้อนึง จนถึงแก่นแท้ ก็จะสามารถเข้านิพพานได้
แม้มิอาจเข้าถึงตัวองค์ดำได้ แม้มิอาจทำลายภพ ๓ ได้ แม้มิอาจสู้เสนามารทั้งหมดได้
แต่ก็สามารถ หนี ออกไปจากภพ ๓ ได้ ไม่ต้องอยู่ภายใต้ กฏแห่งการกระทำ อีกต่อไป
แต่คนที่สามารถเข้านิพพานได้ แต่ยังไม่อยากเข้านั้น ก็มีมากมายนัก เพราะในเมื่อรู้แก่ใจว่า องค์ดำยังอยู่ ก็ไม่รู้จะรีบเข้าไปทำไม
เพราะ นิพพาน ก็ไม่แน่่ว่าจะเป็นสถานที่ ที่ปลอดภัยที่สุด
คำกล่าวว่า นิพพานเป็นเยี่ยม นั้น ก็จริง หากจะเทียบกับภพ ๓ นี้
แต่เยี่ยมไม่จริง หากว่า พญามาร เขาไปถึง ที่สุด ก่อนเรา
หากมหาปูชนียาจารย์ พาพวกเราไปจนถึงที่สุดแห่งธรรม ได้ก่อน พวกเราก็จะได้เป็นไทกันหมด ไม่ว่าจะไปเกิดอยู่ในซอกหลืบไหนของภพ ๓
จะได้กายดั้งเดิมกลับมาก็คือกายมหาบุรุษนี่แหละ และก็จะจบสิ้นกันเสียที กับ กฎแห่งกรรม เข้าถึงคนทำเครื่องมือได้ เสนาทั้งหลายก็หมดฤทธิ์
จะเข้านิพพานได้ด้วยกายหยาบกันล่ะทีนี้ ไม่ต้องถอดกายกันให้เสียอารมณ์
แต่ทว่า..หากพญามารไปถึงที่สุดของเขาได้ก่อนล่ะ รู้กันบ้างหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ต้องรู้ก็ได้ เพราะตอนนี้เรานำเขาอยู่ ๖๐ ต่อ ๔๐ แล้ว
ขอกราบเเทบเท้าขอบพระคุณ มหาปูชนียาจาร์ทุกๆท่าน มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ..สาาาา ธุ
อย่าว่าแต่มนุษย์โลกเลยที่ควรจะขอบคุณ แม้แต่ในอายตนะนิพพานถอดกาย ท่านก็ต้องรอให้ฝ่ายภาคปราบเข้ากลางนำหน้าไปก่อน เพราะภาคปราบรู้วิธีปราบมาร แต่ท่านทั้งหลาย ไม่รู้ จะอย่างไรก็ไม่มีทางไปถึงก่อนได้
แต่ไม่ใช่ใครจะเหนือกว่าใคร ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ และต้องทำงานเกื้อกูลกัน ถ้าไม่มีภาคโปรด ภาคปราบก็ยากแก่การทำงาน
พลังแห่งพระนิพพาน ไม่ว่าจะอยู่นิพพานไหน ย่อมมีอาณุภาพอันจะนับจะประมาณมิได้
หากมีใคร ที่ภายในจิตใจ ตรงกับผังของนิพพานนั้นๆ พอดี ผังของพระนิพพานนั้น ก็จะคอยส่งผลให้แก่บุคคลนั้นๆ จนกว่าจะสิ้นสุดผังหรือสิ้นสุดความตั้งใจของคนคนนั้น
ดังเช่น พ่อค้าคนนึงเรืออัปปางอยู่กลางทะเล แบกมารดาว่ายฝ่าคลื่นน้ำและสัตว์ร้าย เกิดความคิดแว้บขึ้นมาในใจว่า อยากจะช่วยเหลือทุกคนออกจากกองทุกข์นี้ ความคิดและจิตใจแบบนี้ ก็ไปตรงกับผังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาคโปรด และพลังของนิพพานนั้นก็ได้ส่งผังหน่อเนื้อพุทธางกูรมายังศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของพ่อค้าคนนั้น จนกลายมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราในวันนี้
สรุปก็คือ เมื่อท่านเข้าสู่นิพพานกันแล้ว ก็หมดหน้าที่ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นหน้าทีขององค์ต่อๆไป แต่กระเเสอาณุภาพแห่งพระนิพพานทั้งหลายเหล่านั้น ก็ล้วนยังมีอยู่
อยู่ที่ว่าใคร จะสามารถรับกระแสนั้นได้หรือไม่ ก็เท่านั้น..
ไฟล์แนบ
#9
โพสต์เมื่อ 10 November 2010 - 08:11 AM
#10
โพสต์เมื่อ 10 November 2010 - 08:15 AM
พระนิพพานอยู่ในตัวเรา เหนือสะดือขึ้นมา 2 นิ้วมือ แล้วทำไมจะรับบุญจากพระนิพพานไม่ได้ละครับ
หลวงพ่อเคยบอกว่า เราอยู่ในสายตาของมหาปูชณียาจารย์ตลอดเวลา รวมทั้งต้นธาตุต้นธรรม
ทุกครั้งที่หลวงพ่อท่านให้พร ท่านก็อาราธนาบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธเฉียบขาด ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งอายตนะนิพพาน
พุทธคุณข้อหนึ่ง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์คือ มีพระสัพพันยุตญาณ ซึ่งแปลว่า รู้หมด ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ไม่รู้ ธรรมกายทุกพระองค์ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวและมีกำเนิดจากพระต้นธาตุหรือองค์ขาวตามที่ usr37337 บอก ธรรมชาติสรรพสิ่งทั้งหลาย ก็ล้วนแต่เกิดจากการแตกระเบิดออกมาจากการประทะกัน จึงหมดสงสัยว่าทำไมท่านจะไม่รู้ ไม่ดู ไม่เห็นพวกเรา ผังบาปผังบุญที่เราออกแบบสร้างชีวิตเรา มันไปปรากฏเป็นผังไว้เรียบร้อยแล้ว และที่เรานั่งตอบกระทู้กันอยู่นี่ มันก็ไปปรากฏในผังของพระนิพพานแล้วละครับ
(รู้สึกดีที่ กระทู้นี้ไม่มีคนมาตอบว่า ให้นั่งธรรมะไปดูเอง)
#11
โพสต์เมื่อ 10 November 2010 - 10:53 AM
#12
โพสต์เมื่อ 10 November 2010 - 12:00 PM
เพราะความรู้จำ จะอย่างไรก็เป็นเพียงความรู้จำ ให้กำลังใจได้เพียงเบื้องต้น ไม่นานก็ลืมครับ
เปรียบเสมือนคนดูแผนที่ทางสู่ความสำเร็จ แล้วมาสนทนากันว่า เอ๊ะรายละเอียดตรงนั้นตรงนี้ในแผนที่นั้นเป็นอย่างไรกันแน่นะ
หากจบสนทนาแล้ว พวกเขาก็พากันเดินไปตามแผนที่นั้น จนถึงที่หมายแห่งความสำเร็จด้วยตัวเอง อย่างนี้ จึงจะเป็นเยี่ยมน่ะครับ
#13
โพสต์เมื่อ 10 November 2010 - 01:10 PM
ร่วมด้วยช่วยกันดีค่ะ ชัดเจนในแผนที่เดินทาง
แต่อยากจะเปลี่ยนนิดหนึ่งคือเมื่อรู้จำ บางทีก่อนจำหรือหลังจำให้น้อมนำธรรมะมาตรืกตรองดูด้วยยิ่งดี
หากนั่งสมาธิแล้วง่วง ช่วยได้ดีทีเดียว ดีกว่าไปเค้นภาพหากใจเรายังหาที่เกาะไม่ได้ ก็ให้เกาะไว้กับหลักธรรม
ไปก่อน ตรึกหัวข้อธรรมะเช่นวงจรของการเกิดเริ่มแต่อวิชชา >สังขาร....................ไปจนถึงชาติ ชรา มรณะ >อวิชชา
สนุกค่ะเป็นเหตุเป็นผลต่อเนื่องเกียวโยงต่อ ๆกันไป อย่างนี้มิใชจำเท่านั้นแต่เข้าใจด้วยไม่มากก็น้อย ทำให้อยากศึกษาค้นคว้า
มากยิ่งขึ้นควบคู่ไปกับการฝึกสมาธิด้วย บุญของเราที่มาเกิดทันยุครู้จักวิชชาธรรมกายและเป็นยุคไอทีด้วย เฮงจริง ๆค่ะ
#14
โพสต์เมื่อ 11 November 2010 - 01:10 AM
แย่จัง
#15
โพสต์เมื่อ 30 November 2010 - 08:36 PM
สาธุ
จากคำถามเจ้าของกระทู้
ไม่ทราบครับ
ความคิดเห็น ความเข้าใจส่วนตัว คิดว่า
พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นแจ้ง ทั้งรูปธรรม แม้กระทั่งนามธรรมอันปราณีต ที่จักษุของบรรดาเทพและพรหม ไม่เห็น
ดังนั้น สรรพสัตว์และสรรพสิ่ง ที่อยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ
ย่อมอยู่ในวิสัย ความสามารถ ญาณทัสสนะ ในธรรมจักษุ ของพระพุทธองค์
หากปรารถนา ดำริ ตรวจดู ก็ย่อมเป็นไปได้
ไม่ทราบครับ
ความคิดเห็น ความเข้าใจส่วนตัว คิดว่า
ถ้าบรรดา เทพ พรหม ที่อยู่ในภพ ๓ ยังมี อาสวะ ๔ (กามาสวะ ภวาสวะ ทิฎฐาสวะ อวิชชาสวะ )
ยังสามารถเกื้อกูล อนุเคราะห์ สงเคราะห์ มนุษย์และสัตว์ (ตามบันทึกในหลายพระสูตร , ชาดก )
ได้ตามสมควรแก่อานุภาพของตนและตามบุญของมนุษย์และสัตว์นั้นๆ
แล้วพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกำจัด อาสวะ ๔ สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษแล้ว
ทรงเปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ จะทรงช่วย บำบัด บรรเทาทุกข์ บำรุงสุข ให้สรรพสัตว์ในภพ ๓
มิได้เชียวหรือ
ส่วนว่า วิธีช่วยสรรพสัตว์ ท่านทำอย่างไร ผ่านเส้นทางไหน ผ่านอายตนะใด กายใด
คือ ปริศนาและคำถาม ยากที่ใครจะรู้และตอบได้
#16
โพสต์เมื่อ 01 December 2010 - 01:09 AM
สื่อได้ด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัย
#17
โพสต์เมื่อ 28 August 2011 - 11:46 PM
#18
โพสต์เมื่อ 30 August 2011 - 01:59 PM
ธรรมใดมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด ทำเร็จด้วยใจ
พึงเห็น อริยสัจ 4 ได้ก็เห็น วิมุติ ได้
ชำระจิตตัวเองให้ สว่างใสว ดังดวงจันทร์ ปราศจากกิเลส บดบังได้ฉันใด
พระนิพพาน อยู่ตรงหน้าฉันนั้น