สมัยก่อน ผมได้เคยศึกษาความหมายของศัพท์ 3 คำเบื้องต้นมาแล้ว ได้แก่
กุศลาธัมมา ธรรมฝ่ายกุศล (ฝ่ายดี)
อกุศลาธัมมา ธรรมฝ่ายอกุศล (ฝ่ายชั่ว)
อัพยากตาธัมมา ธรรมฝ่ายกลางๆ (ฝ่ายไม่ดีไม่ชั่ว)
ซึ่งผมก็เข้าใจตามนั้นมาตลอด จนกระทั่งเมื่อวานได้ฟังพระอาจารย์ใน DMC กล่าวถึงความหมายอย่างลึกซึ้งของ อัพยากตาธัมมา รู้สึกกระจ่างในใจอย่างมากทีเดียว
โดยพระอาจารย์ท่านอธิบายว่า คำว่า อัพยากตาธัมมา คนทั่วๆไป มักแปลว่า ธรรมฝ่ายกลางๆ คือ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่ความจริงแล้ว ศัพท์นี้มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
คำว่า อัพยากตา มาจากศัพท์คำว่า "อ" แปลว่า ไม่ บวกกับคำว่า "พยากตา" ซึ่งเราอาจไม่เข้าใจความหมาย แต่หากเรานึกถึงคำว่า "พยากรณ์" ที่เราเข้าใจความหมายกันว่า หมายถึง "คาดการณ์ล่วงหน้า" ซึ่งคำว่า "พยากตา" กับ "พยากรณ์" ก็มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งความหมายที่แท้จริงของคำว่า "พยากรณ์" หรือ "พยากตา" คือ "ทำให้กระจ่าง"
พอไปรวมกับคำว่า "อ" จึงกลายเป็น ไม่ทำให้กระจ่าง ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับคำศัพท์ทั้งหมด คือ "อัพยากตาธัมมา" จึงกลายเป็น "ธรรมฝ่ายที่ยังไม่กระจ่าง(ว่าจะดีหรือชั่ว)"
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็เลยกระจ่างใจ เพราะตามพระอภิธรรมจริงๆ แล้ว อัพยากตาธัมมา ในทางพระอภิธรรม คือ ธรรมที่พร้อมจะเข้ากับฝ่ายดีหรือชั่วก็ได้ หากดีหรือชั่วมีกำลังมากกว่า เช่น ความพากเพียร ในพระอภิธรรม เป็นธรรมที่เข้าได้ทั้งดี และชั่ว หากฝ่ายดีมีกำลังมากกว่า ก็จะเพียรทำความดี เพียรเรียนหนังสือ เป็นต้น
แต่หากฝ่ายชั่ว มีกำลังมากกว่า ก็จะเพียรทำความชั่วแทน เช่น เพียรจี้ปล้น เพียรลักขโมย เป็นต้น ความหมายอัพยากัตตาธัมมา เป็นเช่นนี้ การที่จะไปแปลว่า ธรรมฝ่ายกลางๆ จะไปแปลอย่างนั้นได้อย่างไร ผมคิดค้านในใจมาตลอด เพราะถ้าแปลว่า เป็นกลาง ก็ต้องไม่เข้ากับฝ่ายใด คือ ไม่เข้ากับทั้งดี และทั้งชั่ว จึงจะเรียกว่าเป็นกลาง แต่นี่ "อัพยากตาธัมมา" พร้อมที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายที่มีกำลังมากตลอดนี่นา
จนกระทั่ง เมื่อได้ฟังพระอาจารย์อธิบายจึงเข้าใจ ว่าอัพยากตาธัมมา คือ ธรรมที่ยังไม่กระจ่าง(ว่าจะเข้ากับดีหรือชั่ว) ดังนั้น ธรรมนี้จึงเหมือนรอเวลาที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายดี หรือ ฝ่ายชั่ว นั่นเอง