ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

การทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาในมุมมองของนายดินสอ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 3 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 11 October 2013 - 06:09 PM

^_^ การทำงานเพื่อพระพุทธศาสตร์ในมุมมองของนายดินสอ..

 
.....  สวัสดีครับท่านผู้มีบุญทุกท่าน จากที่หายไปนานก็เลยมีโพสต์กึ่งบทความมาฝาก แต่ก็เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวนะครับ
จากอดีตจนถึงปัจจุบันของผมนั้น ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยคิดทำอะไรเพื่อใครเลย เพราะก็ถูกสอนมาว่า ให้มองอนาคตตัวเองนะลูก ทำเพื่ออนาคตตัวเองนะลูก ฯลฯ จนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น
 
ผมเริ่มสับสนว่า ทำไมต้องทำอะไรเพื่อตนเองตลอด? ทำไมไม่ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง? แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า แล้วอะไรดีกว่ากันระหว่างทำเพื่อตนเองกับทำเพื่อคนอื่น? พอไปถามคนโน้น คนนี้
เขาก็ต่างให้เหตุผลแตกต่างกันออกไป จนบางทีก็หันกลับมามองว่า เราคงคิดมากไป หรือเรานี่ผิดปกติที่มัวคิดเรื่องแบบนี้... ^o)
 
  แต่พอเราเริ่มเติบโตขึ้นเริ่มเห็นมุมมองที่กว้างขึ้นเห็นความเป็นไปของคนที่ทำเพื่อตัวเองมากขึ้น กลับเริ่มได้ข้อมูลและความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น ว่า... บางทีถ้าเราทำเพื่อตนเอง ก็เจริญแค่ตัวเราเอง หรืออย่างมากก็แค่ครอบครัวพี่น้องเราเอง แต่ความไม่เจริญ หรือความลำบาก ความไม่สบาย ความทนทุกข์ทรทานของที่ผู้อื่นไม่รู้ ไม่เคยคิด ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเป็นแบบนี้ หรือตกอยู่ในสถานะการณ์มันมีความเดือดร้อนเช่นนี้  หรือไม่เคยเตรียมการล่วงหน้าก็ยังต้องเผชิญเพียงลำพังของพวกเขา
นี่ถ้าเขาลำบากจนหาทางออกไม่ได้คงต้องทำผิด คิดชั่วทำร้ายคนดีเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวตนเอง หรือหาวิธีแย่งความมีเหล่านั้นจากผู้อื่นเพื่อมาเติมแทนความไม่มีของตน  :(
 
เพราะความที่เขาไม่เคยมีใครแนะนำสิ่งดีหรือมีความรู้ในทางแก้ไขให้แก่เขา เขาจึงต้องคิดเอง ลงมือเอง โดยสนใจเพียงว่า ...เพื่อความอยู่รอด...
 
แต่ทว่าสิ่งนั้นอาจนำมาซึ่งการ ปล้น ฆ่า โกหก ฉกฉวย ทำร้าย แย่งชิง กำจัดฝ่ายตรงข้าม เบียดฝ่ายที่ไม่ชอบ ว่าร้าย ใส่ความเพื่อรักษาตำแหน่งของตนไว้ ฯลฯ  ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าคนที่เป็นเป้าหมายในการกระทำที่เขาเหล่านั้นจะทำไปเพื่อความอยู่รอดนั้น ก็อาจเป็นเพื่อน พี่น้อง หรือญาติของเราเองก็ได้
ซึ่งก็เปรียบได้ว่า หากตัวเราครอบครัวเรารอดจากภาวะวิกฤตได้ แต่คนอื่นไม่รอด ไม่ได้ความสบาย ไม่ได้โอกาสอันดี เขาก็หาทางออกโดยอาจกระทำให้ครอบครัวของเราที่คิดว่าปลอดภัยแล้วนั้น อยู่รอดแล้วนั้น กลับไม่ปลอดภัยก็เป็นได้...แม้เราจะไม่ได้ไปทำใครไว้ก่อนก็ตาม...
 
   ดังนั้น การทำเพื่อตนเอง ดูจะน่ากังวลกว่าทำเพื่่อคนอื่นเสียแล้ว... :
 
  หากเราทำเพื่อคนอื่น แล้วคนอื่นอยู่รอด สบาย ไม่เบียดเบียนใคร ก็ย่อมปลอดภัยแก่ครอบครัวเรา ซึ่งในสังคมเราต้องอยู่ร่วมกัน ต้องเจอกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในหมู่บ้าน ที่บ้านหนึ่งไม่มีเพื่อนบ้านเลย ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้รู้จักกัน เวลามีเรื่องราวอะไร
ก็ไม่เคยได้ร่วม ได้แก้ไข ได้แบ่งปันกัน พอเกิดภัยพิบัติ หรือ เกิดเหตุร้ายแน่นอนว่า... ต่างคน ต่างพึ่งตนเอง...ต่างเอาตัวรอดก่อน
 
....เหมือนเวลาน้ำท่วม  คนที่รู้จักกันก็จะช่วยกันหนี  แต่ที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยพึ่งพากัน ก็คงช่วยภายหลัง หรืออาจลืมไปเลยว่าบ้านหลังนั้นมีคนอยู่หรือป่าว?...แต่ถ้าบ้านหลังไหนที่มีเพื่อนบ้านมาก เพราะเคยช่วยเหลือคนอื่นไว้เยอะ
ก็จะมีเพื่อนบ้านห่วงมาก และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือให้รอดพ้นภัยไปพร้อมๆกันนั่นเอง....
 
...นี่ถ้าเราไม่อยู่บ้าน อาจมีพ่อ หรือแม่ที่แก่ชรา หากเราไม่เคยรู้จักใคร ไม่เคยช่วยเหลือใคร เวลาเกิดเรื่องอะไร ใครเล่าจะช่วยท่านแทนเรา ซึ่งอยู่บ้านเวลาเราไม่อยู่ หรือออกไปทำงานต่างๆได้เล่า?... :
 
...ในสังคมยุคใหม่ซึ่งต่างคนต่างทำมาหากิน การพบปะพูดคุยในทางมิตรภาพเฉกเช่นมิตรสหายก็กลับน้อยลง เพราะกว่าจะกลับมาจากทำงานก็อ่อนเพลียต้องพักผ่อน เช้าก็ต้องรีบตื่น จึงทำให้การช่วยเหลือกันลดน้อยลงไป และเริ่มเป็นวัฒนธรรมใหม่คือ ...ต่างคน ต่างอยู่ ต่างทำมาหากินเพื่อปากท้องของตนเป็นหลัก... ^o)
 
...นี่ก็เป็นเพียงเหตุผลตั้งแต่เล็กจนโตของผม ที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก โดยที่คนอื่นมองว่าเราผิดปกติ ที่ชอบทำอะไรเพื่อคนอื่นมากกว่า เวลาเรียนหรือจัดกิจกรรมที่โรงเรียนก็อยู่ช่วยเหลือจนเหมือนให้ความสำคัญกับเรื่องคนอื่นมากกว่าเหล่านั้น ที่ทำให้ผมเริ่มแยกแยะได้ชัดเจนขึ้นว่า  ... "เราต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นเสมอ และควรทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง..."
 
...การที่พระพุทธศาสนา มีคำสอนในเรื่องการรักษาศีล คือให้คน ไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย, ไม่ลักขโมย ไม่อยากมีอยากได้ของคนอื่น , ไม่มั่วสุม ประพฤติผิดในกามในของของคนอื่น , ไม่โกหก หลอกลวง , ไม่ดื่มของมึนเมาอันทำให้ขาดสติ หรือคึกคนองจนไม่สนใจการทำบาปอกุศลเหล่านี้  ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีสังคมที่มีความสุข
และก็ก่อให้เกิดคนดี คือ คนที่ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ทำแต่สิ่งที่ถูกที่ควร 8-|
 
... ซึ่งหากมีคนเหล่านี้เพิ่มขึ้นในตำบล อำเภอ จังหวัด หรือในประเทศ และในโลกมากขึ้น ความสงบสุขก็จะมีมาเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นไปตามธรรมชาติที่ว่า "น้ำดีเมื่อมีมาก ย่อมไล่น้ำเสียให้เจือจางและหายไปได้...."
 
ไม่ใช่ว่าการทำให้โลกนี้สงบสุขจะไปกำจัด หรือจัดการคนชั่ว  แต่... กลับเป็นการที่เพิ่มคนดีให้มีมากขึ้น ให้สังคมคนดีใหญ่ขึ้น และให้คนไม่ดีมีโอกาสทำชั่วได้น้อยลง และค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นคนดี เพื่อให้มีประโยชน์แก่ตนเองและคนในครอบครัวมากขึ้น และป้องกันสิ่งไม่ได้ไม่ให้เข้ามาสู่คนดีได้มากขึ้น  การฟื้นฟูโลกนี้ให้มีแต่สิ่งดี มีแต่ความสงบสุขย่อมมีความเป็นไปได้....
 
....การเป็นคนดี และเป็นคนชั่ว ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ยาก อะไรคือดี อะไรคือชั่ว ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ยากเลย หากขาดก็คงขาดเพียงความเข้าใจ  ขาดกำลังใจ ขาดวิธีการ  หรือขาดผู้ที่จะแนะนำเท่านั้นเอง ก็เหมือนกับเวลา เวลาคนคิดจะทำอะไรไม่ดี ก็เพราะเขามีสิ่งกระตุ้นอยู่ในใจ และวิธีการทำความชั่วนั้นก็ได้รับรู้ ได้เห็นจากคนไม่ดีมาก่อน   นั่นก็ไม่แตกต่างอะไรกับการจะทำให้คนเป็นคนดี
ก็เพียงแค่ได้เห็นวิธีการ ได้กำลังใจ ได้ผู้แนะนำจากคนดีที่แนะนำให้เขาทำดีแค่นั้นเอง   :)
 
..จริงๆแล้วมันไม่ได้ยาก แต่ยากที่ไม่มีกำลังใจ บ้างก็คิดว่ามันยากที่จะเปลี่ยนแปลง บ้างก็คิดไปต่างๆนาๆ  แต่สรุปก็มีเพียงว่า ยังไม่มีใครเริ่มทำให้เกิดสิ่งดีอย่างจริงจัง....หรือง่ายๆ คือ มองว่ายากตั้งแต่เริ่มต้นคิดจะทำ...
 
....นี่ก็เลยทำให้ผมมองเห็นว่า ถ้าผมตั้งใจจะทำให้ครอบครัวผมมีความสุข ให้พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรผมปลอดภัยแล้ว แม้มันจะดูเหมือนเป็นทางอ้อม แต่นั้นกลับเป็นทางตรงอย่างที่สุดและเป็นทางลัดที่สุด เพราะความปลอดภัยอย่างแท้จริงนั้น ประเมินค่าไม่ได้ เราดูแลคนที่เรารักตลอดเวลาทุกวินาทีไม่ได้  และชีวิตเราก็ไม่ได้มีเวลายาวนาน หากเราตายไปก่อนพวกเขา ใครเล่าจะดูแลเขาเหล่านั้นต่อจากเราได้บ้าง ให้เขาปลอดภัยจริงในยามที่เราไม่อยู่แล้ว?  :o
 
...ผมจึงคิดว่า ผมต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นให้มาก หรืออาจจะมากกว่าทำเพื่อตนเองไปเลย  และยิ่งเราทำเพื่อคนอื่นมากเท่าไหร่ เวลาเห็นคนอื่นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี หรือเขามีความสุขแล้ว  ผมจะปลื้มสุดๆนะ ปลื้มกว่าการที่ตัวเราสำเร็จเสียอีก เพราะเราได้แนะนำช่วยเหลือให้คนอื่นดี หรือมีความสุขได้ ก็ไม่ยากที่จะทำให้ตัวเราดี และมีความสุขเลย นี้คงเป็นกุศลที่เห็นได้ชัดเจน
 
...ผมเริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงานเพื่อพระศาสนามากขึ้นโดยหลักๆก็เพราะเห็นว่า การรักษาศีล5 นั้นดีกับทุกชาติ ทุกศาสนา ... B)
 
...และมันก็มีความเป็นไปได้อย่างมากแค่ทำให้คนเข้าใจว่าอะไรคือ ศีล5  และมันไม่ได้ผูกขาดว่า เขาเหล่านั้นต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น ศีล5 นั้นครอบคลุมไปทั่วทุกคนในโลกเพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายว่าอะไรคือศีล 5ที่ต้องรักษา และปฏิบัติ เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข โดยเพียงแค่ว่าต่างคนต่างหยุดทำให้สิ่งที่ไม่ดี ทำแล้วมีผู้อื่นเดือดร้อน และชี้ให้เห็นโทษของการไม่หยุดทำสิ่งไม่ดีเหล่านั้น...
 
...ดังนั้น การสร้างกลุ่มคนดีให้มีมากขึ้นและมากขึ้นจึงมีความเป็นไปได้  และมันก็เกิดขึ้นแล้ว  นี่ถ้า... เราทำให้คนเข้าใจว่าเขาได้อะไรจากการทำความดีได้มากขึ้น คนที่อยากจะทำความดีหรืออยากจะลองทำดีก็คงจะมีมากขึ้น  เมื่อคนดีมีมากขึ้น ครอบครัวเราก็ปลอดภัยมากขึ้น ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำเพื่อคนอื่นก็ย่อมเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น....
 
...การทุ่มเทเพื่องานพระศาสน์ของผม ก็มีกำลังใจมาจากสิ่งเหล่านี้เป็นหลักนะครับ เหมือนที่บอกว่า เราทำแล้วมันเสร็จ... คือ .. พอคนเป็นคนดีหรือเข้าใจวิธีเป็นคนดี หรือเห็นประโยชน์จากการเป็นคนดี และเห็นโทษจากการเป็นคนชั่วได้แล้ว มันเป็นงานที่เสร็จ คือไม่ต้องทำต่อ เหมือนการปลูกต้นไม้ พอต้นไม้โตแล้วก็โตต่อไปเอง มีขยายเมล็ดพันธุ์ที่ดีออกไปได้เอง และกลุ่มคนดีก็จะมีมากขึ้นไปเอง... 8-)
 
...ดังนั้น  ก็ขอให้ผู้ที่เสียสละเวลา หรือทุ่มเทเพื่องานพระศาสนาทุกท่าน เดินหน้าทำหน้าที่กันต่อไปอย่างเต็มที่ ทำความเข้าใจให้เกิดแก่ผู้ที่ไม่เข้าใจ  เพื่อให้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของเขาเหล่านั้นได้ประโยชน์สูงสุดก่อนที่เขาจะละจากโลกนี้เถิด แม้ตัวเราก็คงจะต้องละจากโลกในไม่ช้า ก็ควรทำหน้าที่ให้สมศักดิ์ศรีที่ได้เกิดมาในกองทัพธรรม... ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านมา ณ โอกาสนี้.... ^_^

..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 11 October 2013 - 08:19 PM

เขียนแล้วอ่านง่ายขึ้นเยอะ จำได้ว่า สมัยก่อนคุณดินสอ จะไม่ค่อยเว้นบรรทัดเลย เดี๋ยวนี้ เว้นบรรทัดเป็นช่วงๆ น่าอ่านมากขึ้น


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 11 October 2013 - 09:47 PM

^_^  หุหุ ขอน้อมรับครับ... ว่าแต่ว่า ท่านหัดฝันใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นนะ ไปทำไรมาเนี่ย  :lol:


..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#4 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 13 October 2013 - 06:33 PM

ขอบคุณ คุณครูไม่ใหญ่ ผู้เปลี่ยนวัยใหญ่ ให้เป็นวัยเยาว์ (ด้วยธรรมะของคุณครู)


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร