ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

จิตจักรวาลสะท้อนปัญญา ... เทพเทวาช่วย


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 February 2006 - 09:43 PM

จิตจักรวาลสะท้อนปัญญา ... เทพเทวาช่วย

ไทยโพสต์

คงเป็นเรื่องประหลาด หากคนเราไม่รู้จักคิดหรือคิดไม่เป็น เพราะมนุษย์คือผู้รู้ผู้คิดและผู้เบิกบานผู้แสวงหาความเป็นอิสระ
นั่นว่ากันตามปรัชญากรีกที่มายืนยันบันทึกซ้ำบางส่วนในพระคัมภีร์

ประเด็นคือที่รู้ที่คิดที่เบิกบานเป็นอิสระที่ว่านั้น มันมีที่มาของมันอย่างไรและเพื่ออะไร?
คิดว่าชีวิตเกิดมาโดยบังเอิญแล้วตายไปจบสิ้นแค่นั้นจึงต้องเบิกบานกันกระนั้นหรือ
นักปรัชญากรีกที่ว่ารวมทั้งอะริสโตเติลเองยังบอกว่า

มนุษย์ต้องมีคุณภาพ และความสุขสนุกสนานความเบิกบาน คือคุณภาพนั้น

นักวิทยาศาสตร์โดยวิชาวิทยาศาสตร์ของนิวตัน ของดาร์วิน และของซิกมันต์ ฟรอยด์ที่เราเรียนมาก็บอกว่าถูกต้องแล้ว มนุษย์เกิดมาโดยบังเอิญและจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้

ดังนั้นช่วงของการดำรงอยู่เราจึงต้องเรียนรู้โลกเรียนรู้ธรรมชาติแสวงหาคุณภาพความเบิกบานความเป็นอิสระ
ตามที่ตาเห็นเพราะว่าโลกและธรรมชาติมีแค่นั้น คือ ต้องมีรูปเป็นวัตถุและเคลื่อนที่ตามที่ตาเห็นจริงๆ
ดังที่นักสังคมนักปรัชญากายภาพไม่ว่า เดส์การ์ต เบคอน และ ทอมัส ฮอบส์

และต่อมาแม้เมื่อกลางศตวรรษที่แล้วนี้เอง เบอรแทรนด์ รัสเซลล์ ก็พูดทำนองนั้น คือพูดว่าแม้แต่อามรณ์ความรักและความเชื่อล้วนเป็นความมั่วซั่วของอะตอมที่วิ่งวุ่นไปมา
อะไรที่มองไม่เห็นไม่มีรูปไม่มีจริง
แต่อีกด้านหนึ่งนักศาสนานักอภิปรัชญากลับบอกว่าไม่จริงไม่ถูกต้อง
ที่รู้ที่คิดที่ถูกมันลึกล้ำกว่ารูปวัตถุที่ตาเห็น ความเบิกบานที่พูดๆ กันก็ไม่ใช่ความปิติสุขที่อิ่มเอมล้ำลึกและความอิสระที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ความอิสระจริงๆ

ดังโพลตินัสได้พูดไว้ในเอ็นเนียร์ตเล่มที่ห้าว่า ความสุขความอิสระที่แท้จริงนั้น
เป็นเรื่องของจิตที่เชื่อมรวมกับแสงกระจ่างที่บางเบา ("throughh the light")
นั่นคือเมื่อเราละได้ซึ่งทุกสิ่งหลุดจากทุกสิ่ง มองที่ด้านนี้จึงเป็นการคิดการเห็นด้วยจิตที่ผ่านพ้นเหนือจิตรู้
จึงปิติเบิกบานและเป็นอิสระ เป็นความปีติอิสระอีกแบบหนึ่ง
ไม่ใช่สุขแบบสนุกสนานสำราญบานใจชั่วครู่ยาม (have fun) ทุกวันนี้เรารู้

ทั้งยังมีหลักฐานทางฟิสิกส์และหรือวิทยาศาสตร์ทางจิตพอสมควรที่ชี้บ่งว่า
การปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่องสามารถเอื้อต่อวิวัฒนาการของจิตวิญญาณสู่ระดับที่ทางจิตวิทยาเรียกว่าระดับ
"ผ่านพ้นตัวตน" (transpersonsl psychology)
ไปตามระนาบและระดับที่อาจสูงล้ำกว่ากันระหว่างปัจเจกบุคคลกับวิธีปฏิบัตินั้นๆ
ระนาบและระดับหนึ่งคือสภาพที่เรียกว่า "สภาพจิตที่เปลี่ยนไป"
จากสภาพจิตรู้หรือมโนสำนึกในปกติ
แต่จริงๆ แล้วสภาพจิตที่เปลี่ยนแปลงไปที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นมาเองในคนทุกคนทั่วๆ ไป
ส่วนหนึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกันกับญาณทัสนะ (intuition)

ความคิดความรู้ที่โผล่พลุ่งขึ้นมาเองในความสงบในความฝันหรือเป็นพรสวรรค์ของบุคคลบางคน
หรือเป็นเหตุการณ์เร้นลับเหนือธรรมชาติที่เกิดกับชุมชนในบางครั้ง

นั่นคือสิ่งที่คาร์ล จุงเรียกว่า "อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพ้องจ้องกัน" (synchronicity)
ประสบการณ์เหนือธรรมชาติ หรืออภิญญาบางอย่าง

กระทั่งเป็นปัญญาเหนือปัญญาและความรู้เหนือความรู้ดังที่มีบันทึกเป็นประวัติศาสตร์เอาไว้ในที่ต่างๆ
(Wilis Harman as Editor ; New Metaphysical Foundation of Modern Science, 1994 ;
David Lorimer as Editor ; The Spirit of Science, 1999)

อ่านหนังสือเล่มหลังสุดของโจเซพ เพียรซ (Joseph C. Pearce ; The Biology of Trancendence, 2002) ในตอนที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับความสามารถเหนือธรรมชาติของเขาเองในช่วงที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนแรกคือไม่เข้าใจหรือจริงๆ แล้วไม่เชื่อ
ไม่กี่วันมานี้ได้พบกับเดวิต สปิลเลน เพื่อนที่คุ้นเคยกับเพียรซ มานานที่เพียรซอ้างถึงในหนังสือเล่มนั้น

เดวิดยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่สามารถนำจิตของตนเองเข้าสู่สภาวะ

"จิตที่เปลี่ยนสภาพไป"
(altered state of consciousness of non-ordinary state of consciousness or NOSC)

ในช่วงนั้น จิตอยู่ในภวังค์เช่นนั้นประหนึ่งไม่ใช่เป็นตัวของตัวเองแต่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หรืออาจอธิบายว่าเป็นอภิญญาที่เกิดจากจิตที่แน่วนิ่งอยู่กับสมาธิหรือที่จดจ่อกับงาน
หรือสิ่งที่กำลังเกี่ยวข้องอยู่ในขณะนั้นๆ

เพียรซเล่าให้ฟังว่าเขาไม่เป็นอะไรเลยเมื่อถูกจี้ด้วยบุหรี่แดงวูบวาบร้อนจัดที่จี้ลงไปที่ริมฝีปากต่อหน้าเพื่อนๆ
ที่หอพักของมหาวิทยาลัย ที่ว่าไม่เป็นอะไรเลยคือไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ แม้แต่รอยแดงสักน้อยนิด ความร้อนของบุหรี่เมื่อเพื่อนที่เรียนฟิสิกส์เอาไปทดสอบปรากฏว่าร้อนจัดถึง 1380 องศาฟาเรนไฮต์

ยิ่งเมื่อเพียรซเล่าถึงการรับคำท้าของเพื่อนคนหนึ่ง ด้วยการปีนขึ้นไปบนบนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นภูหินทรายที่มีชื่อ
ริมมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นหน้าผาที่สูงมากและชันมากแทบว่าจะตั้งฉากกับพื้นดิน
แถบตอนบนสุดช่วงยอดหลายสิบเมตรเป็นส่วนที่หน้าผายืน ชง้ำออกมาเป็นจงอยโดยไร้ผนังผาที่จะใช้เหยียบยึด แต่เพียรซสามารถปืนขึ้นไปได้อย่างปลอดภัยท่ามกลางความไม่เชื่อสายตาของเพื่อนๆ

เพียรซบอกว่าในตอนปีนหน้าผาขึ้นไปตลอดระยะทางและตลอดเวลา
เขาเพียงรู้ตัวว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของภูผานั้นเป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งหมด
เพียรซเล่าว่าเขาไม่เคยมีความสงสัยหรือลังเลใจว่าจะปีนไม่ได้ หรือจะมีความกลัวแม้แต่น้อยนิดเกิดขั้นในจิตใจของเขาตลอดช่วงเวลาที่ปีนขึ้นไป
จนกระทั่งไปยืนอยู่บนที่ราบยอดเขาที่เพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคนยืนออรอกันอยู่
ด้วยสีหน้าที่ฉาบด้วยความไม่เชื่อสายตาผสมความตื่นใจ

นั่นคงเป็นประสบการณ์เดียวกันกับที่คนลุยไฟลุยถ่านที่ลุกแดงร้อนจัด
ในพิธีกรรมอิงศาสนาที่เราเคยได้ยินกันจนชินหู
แต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อทั้งหมดดีหรือไม่ดี หรือมีคำอธิบายให้กับตัวเองอย่างไร

ดังนั้นหลายคนจึงไม่เอามาคิดหรือไม่ก็หนีประเด็นไปเลย เหมือนกับว่าเป็นเรื่องแหกตาหลอกลวงโดยไม่คิดที่จะสืบสาวให้ลึกลงไปว่าใครจะหลอกลวงใครไปทำไม

ในขณะเดียวกันก็ทำให้นึกถึงอันตอน เซ็นน่านักแข่งรถระดับแชมเปี้ยนโลกที่เสียชีวิตไปเมื่อสี่ห้าปีก่อน
ในช่วงที่เขาได้เป็นแชมเปี้ยนซ้ำซ้อนนั้น เมื่อถูกนักข่าวถามว่าเขาขับรถอย่างไร
มันถึงได้เร็วเกินสมรรถนะของรถชนิดเดียวกันที่คนขับคนอื่นๆ ทำไม่ได้

เซ็นน่าตอบว่า จริงๆ แล้วเขาไม่รู้เขาเพียงรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ขับ
แต่ในขณะเดียวกันเหมือนกับว่าเขากับรถเป็นหนึ่งเดียวกัน
และเขาไม่เคยมีความสงสัยหรือรู้สึกอย่างไรกับการแข่งขันเพียงรู้ว่าเขาต้องทำได้

นั่นก็เหมือนกับศาสตราจารย์จิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ชื่อว่าริชาร์ด อัลเปิร์ต
ที่ไปทดสอบผลของยาแอลเอสดีที่อินเดียในปี 1966 เขาได้มีโอกาสทดลองกับนักปฏิบัติจิตนักปฏิบัติสมาธิในศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาสายทิเบตสามสี่คน ก็พบว่านอกจากแอลเอสดีที่แม้โดยขนาดที่เกิดอันตรายก็ไม่สามารถยังผลในทางเภสัชวิทยาใดๆ ให้กับผู้วิเศษเหล่านี้ได้
บางคนในกลุ่มนี้บอกว่ายานี้อาจช่วยให้คนธรรมดาเข้าสมาธิได้เร็วขึ้น
"แต่ก็เป็นคนละระดับกับวิธีที่ตนปฏิบัติที่สามารถเข้าถึง สภาะสมาธิลึกๆ ได้ในทันที"

ผู้วิเศษเหล่านี้สามารถแสดงให้ริชาร์ด อัลเปิร์ต เห็นว่า ทันทีที่สภาพจิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาสามารถทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเกิดเป็นก้อนเนื้อเป็นตุ่มเป็นเนื้องอกผลุบๆ โผล่ๆ
ตรงนั้นตรงนี้ได้ตามแต่ใจปรารถนา

ริชาร์ด อัลเปิร์ต ลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมาฝึกสมาธิสายฮินดูที่อินเดียตั้งแต่นั้น
แถมยังเปลี่ยนชื่อเป็นชาวภาระตะว่า "รามทัสส์" (Ramdas ดู Richard Alpert ; Be Here Now. 1971)

รามทัสส์กลายเป็นครูสอนสมาธิการปฏิบัติจิตทีแรกในด้านของสุขภาพกับการรักษาโรค
ต่อมาจนขณะนี้ได้หันมาเน้นด้านของสิ่งแวดล้อมหรือนิเวศวิทยาลุ่มลึกที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง

ในด้านของความรู้โดยเฉพาะโดยคำถามที่ถามถึงที่มาของความรู้และกระบวนการทั้งหมดที่เราได้ความรู้
มันมาจากไหนและมาได้อย่างไร?

จริงๆ แล้วเราคิดว่ามันมาโดยการคิดการรู้ที่ได้มาจากสองเส้นทาง คือหนึ่งเส้นทางภายนอก การตื่นตัวหรือสติและการรับรู้โดยประสาทสัมผัสที่เปิดสู่ภายนอก ตา หู จมูก กายสัมผัส
การรับรู้ของจิตพื้นฐานของอาร์คอมเพล็กซ์ ที่โดยเริ่มต้นมีเป้าหมายเพื่อการอยู่รอดของชีวิต

ส่วนเส้นทางที่สองเป็นเส้นทางภายในอาศัยประสบการณ์ที่ได้จากภายนอกที่ว่านั้น
ผ่านสมองส่วนลิมบิกที่ว่าด้วยอารมณ์ความรู้สึก และความจำของอดีตที่เราไม่รู้ว่าเป็นอดีตของเมื่อไร ผสมผสานผ่านต่อไปยังสมองส่วนนิโอคอร์เท็กซ์
ทั้งหมดพัวพันก่อประกอบเป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้ที่ว่าผู้รู้คือเราและเป็นปัญหา (Joseph Pearcc อ้างแล้วข้างต้น) ที่หากเอามาก่อประกอบเป็นจินตนาการที่แน่วแน่
หรือเอามาหมุนเวียนสะท้อนกลับไปมาในที่สุด เมื่อไรก็ไม่รู้ ความคิดในรูปแบบของปัญหาอีกระดับหนึ่ง

หรือข้อมูลเหนือปัญญาก็จะโผล่โพล่งปรากฏขึ้นมาเหมือนสายฟ้าแลบ
บางที่ขณะกำลังหลับ นั่นคือปัญญาที่อาจเรียกว่าญาณทัสนะ (intuilion)
ที่กล่าวมาแล้ว ที่เป็นปัญญาหรือข้อมูลที่ทำให้เราต้องอุทาน
"เออ...จริงๆ ด้วย" ขึ้นมา ปัญหาที่นักฟิสิกส์หลายๆ คนคิดว่าไม่ใช่ปัญญาที่สร้างหรือก่อประกอบที่สมอง
ไม่ว่าด้วยเส้นทางภายนอกหรือภายในที่กล่าวมาข้างต้น
แต่เป็นปัญญามาจากภายนอก เช่นจากสนามแควนตัมทั้งสามสนาม
(ที่ยังไม่รู้คือเรื่องของสนามแรงโน้มถ่วง) ที่เข้ามาแสดงให้จิตรู้ที่สมองรับรู้

นั่นคือส่วนสุดท้าย (Final Anthropic Principle) ที่จอห์น บาโรว์ กับ แฟร็งค์ ทิปเปลอร์
นักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงยิ่งกล่าวถึง
(John Barrow and Frank Tipplerl Anthropic Cosmological Principle, 1986)

ผู้เขียนพูดและเขียนมาตลอดเวลาว่า
"พื้นฐานที่สุดของจักรวาลคือจิตวิญญาณ" (unconsciousness as consciousncss)

ที่เป็นข้อมูลการค้นหาความจริงแท้ของนักฟิสิกส์แควนตัมสายปรัชญาที่ค้นพบ
และแสดงออกซึ่งหลักฐานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
ตลอดเวลาที่ไม่ว่านักฟิสิกส์ยุคใหม่ที่ไม่ชอบปรัชญาผู้ขี้เกียจคิด
ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ทั่วไปจะชอบใจหรือไม่ชอบใจอึดอัดใจหรือไม่
ในที่สุดจำเป็นต้องค่อยๆ รับความจริงใหม่ที่ค้นพบเพิ่มขึ้นไปทีละอย่างสองอย่างดังที่
พอล เดวีส์บอก (Paul Davies ; The Mind of God. 1992)

โดยเฉพาะหนังสือของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ผู้เป็นนักแควนตัมฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงยิ่ง
เมนัส เคฟาตอส กับ ริชาร์ด นาดูเขียน (Menas kafatos & Richard Nadcau ; Conscious Universe, 1990) ที่เขียนราวกับว่าเป็นนักศาสนานักอภิปรัชญาเขียน

ทั้งสองบอกว่ามีหลักฐานทางฟิสิกส์ที่อาจทำให้ติดต่อไปได้ว่าสนามแควนตัมสากลของจักรวาลที่ให้จิตปัญญาที่สูงล้ำ (ผู้เขียนเชื่อว่าคงให้พลังงานในรูปแบบอื่นๆ เช่นเดียวกัน)
ที่เมื่อจักรวาลรู้ตัว จะสามารถเชื่อมโยงกับจิตของมนุษย์ที่อยู่ในจินตนาการอยู่กับงานเฉพาะหน้าอย่างแน่วแน่

นั่นคือจักรวาลเป็นจิตปัญญาที่สามารถสะท้อนปัญญานั้นๆ ให้กับมนุษย์ที่ตั้งใจระลึกหรือนึกถึงอย่างแน่วแน่นั้น
(the universe is a "self-reflectively aware" Universe)

ตรงนี้คือที่มาและเนื้อหาของญาณทัสนะ (intuition) ที่เป็นฐานคิดของ "วิธีคิด" ใหม่ที่พูดไว้ในบทความของสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากนั้นตรงนี้ก็อาจเป็นคำตอบต่อการขอพระขอเทพเทวาเทวดาช่วย
และเป็นคำตอบส่วนหนึ่งต่อการยังผลของการรักษาโรคด้วยการสวดมนต์ โดยทั้งสองฝ่าย

คือทั้งผู้รักษาและผู้ป่วยไม่รู้เรื่องเลย
อันเป็นวิธีรักษาโรคที่แพทย์ของมหาวิทยาลัยที่อเมริกากำลังวิจัยอย่างจริงจังอยู่ในขณะนี้

(healing by intersessory prayer ดู Elizabeth Tarh Distant Healing, ION Vol. 49 1999)

…….

ไฟล์แนบ



#2 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 09 February 2006 - 11:50 PM

555 like the pic. and like to article kah! Sathu kah!!
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#3 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 February 2006 - 02:29 PM


ก่อนที่จะเข้าใจคนอื่น
ก็พยายามเข้าใจตัวเองก่อนซิคะ
ใจเราเองยังเข้าไม่ได้ ก็ยากที่จะเข้าใจคนอื่นค่ะ







#4 ป่าน072

ป่าน072
  • Members
  • 371 โพสต์
  • Location:โคราช
  • Interests:การศึกษาต่อในวิชา วิทยาศาสตร์<br />วิศวะปิโตรเคมี

โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 05:12 PM

ดราควรรูจักตัวเอง
นึกถึงตัวเอง
เข้าใจตัวเองมาก
เมื่อดวงตาปิดสนิมอย่างละมุน
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง

#5 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:25 PM

วิชาการเลย
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี