หลังจากผมประสบมรสุมชีวิตที่หนักหนามากๆภายใน 1-2 ปี ก็ตัดสินใจหาศาสนาเป็นที่พึ่ง ทำให้ผมปราถนาอยากให้พ่อ น้องๆ และญาติ ได้ก้าวเท้าตามเข้าสู่ศาสนาพุทธบ้าง เพื่อลบมิจฉาทิฐิของเขาเหล่านั้นที่ดูเหมือนจะหยั่งรากลึกมาก ผมเคยอธิบายเรื่องบุญให้เขาเหล่านั้นฟังในทุกๆครั้งที่สบโอกาส (แม่ผม ตอนนี้แกคงรู้ซึ้งถึงอานุภาพแห่งบุญแล้วเพราะท่านอยู่สวรรค์แล้ว ปัจจุบันท่านก็ยังคงแวะเวียนมาบ้าง)
เริ่มจากญาติซึ่งเป็น ป้าที่เลี้ยงผมตอนผมเล็กๆ นี่มิจฉาทิฐิหนักเลย เห็นใครบอกศักดื์สิทธิ์ มีพิธีไหว้อะไรที่บอกว่าศักดิ์สิทธิ์ ทำหมด กินเจก็กิน ทำบุญก็ทำเฉพาะเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนที่จัดทัวร์ไปวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เหมือนทำตามน้ำ แต่ผมถามว่า ที่ทำๆมาทั้งหมด รู้มั้ยว่า ศักดิ์สิทธิ์ยังไง กินเจได้บุญยังไง ทำบุญขอแค่ให้พระคุ้มครองหรือขอพรเข้าตัวเองอย่างเดียวใช่หรือไม่ ซึ่งก็ไม่รู้ที่มา ผมก็อธิบาย รวมทั้งเปิดไฟล์ เทศน์ธรรมะ หลายๆแบบ ให้เข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม แกก็ชอบบอกรู้อยู่แล้ว ก็เห็นด้วยกับที่พระเทศน์ แต่พอจบจากตรงโน้น ทุกอย่างก็ทะลุออกไปทางหูขวาหมดสิ้น อยากให้เขาเชื่อในการทำบุญ เพราะอายุก็มากแล้ว
กับน้องคนกลางที่ชอบทำบุญถวายสังฆทาน รายนี้เชื่อในบุญ แต่ไม่เชื่อการมีอยู่ของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ และไม่รู้ว่าอรหันต์คืออะไร
เข้าใจไปว่า พระพุทธเจ้า คือพระเจ้า ของศาสนาพุทธ ผมก็อธิบายน้องไปว่าท่านเป็นใคร ไม่ใช่สิ่งสมมติ แต่เป็นมนุษย์ที่บำเพ็ญบารมีมามากจนตรัสรู้ได้ด้วยตัวเอง น้องก็เริ่มเข้าใจ เพราะเดิมทีไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าอยู่แล้ว ถ้าบอกว่าเป็นมนุษย์ก็เริ่มเข้าใจ (แต่ยังไม่ได้เชื่อ 100% เพราะเรื่องที่เกิดมา เดินได้ 7 ก้าว ดูจะยอมรับไม่ได้) กับคนนี้ลองเปิด ไฟล์ธรรมะของพระมหาสมชาย ให้ฟังเพื่อทดสอบว่า มีปัญญาพอสอนได้หรือไม่ เขาก็ฟังและมีการตอบโต้ตลอด เลยรู้ว่าคนๆนี้สอนได้
น้องคนเล็ก มีความสงสัยหลายๆอย่าง พอเราตอบไป ก็เก็บคำตอบนั้นไว้แล้วก็เงียบไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนพ่อเคยแย้บๆเหมือนๆ ญาติๆ เหมือนกัน แต่มีวันนึงผมพูดขึ้นมาตามนี้ครับ (ผมอยากให้พ่อศรัทธาในศาสนามากที่สุด เพราะตอนท่านเป็นวัยรุ่น ท่านทำบาปทำกรรมเยอะมาก)
ผมถามพ่อว่า : พ่อเคยคิดมั้ยว่าคนเราเกิดมาทำไม ผมคิดครั้งแรกตอนผมเรียนมัธยม ตื่นนอน กินข้าว ไปเรียน กินข้าวกลางวัน กลับบ้าน กินข้าวเย็น นอน หรือถ้าโตมาเป็นวัยทำงาน ก็เปลี่ยนจาก ไปเรียน เป็นไปทำงาน ชีวิตก็วนเวียนอยู่แค่นี้ งั้นเราเกิดมาทำไม
ผมพูดต่อไป : ทุกวันนี้ผมรู้จักทุกข์ใหญ่ๆบนโลกหมดแล้ว เพราะมันเกิดกับผมหมดแล้วทั้งสิ้น (พลัดพรากกับลูก ชีวิตแต่งงานล้มเหลว หนี้สิน การตายของญาติและแม่ ฯลฯ เข้ามาพร้อมๆกันใน 1-2 ปี) ซึ่งตอนนี้ผมก็มีทั้งบ้าน ทั้งรถ หน้าที่การงานที่ดี ถ้ามองแค่พอเพียง ผมก็มีทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ผมเบื่อที่จะอยู่บนโลกนี่มาก คิดอยากบวชตลอดเวลาแม้กระทั้งทำงาน รอให้ลูกผมโตและเลี้ยงตัวเองได้ก่อน ก็ตั้งใจว่าจะบวชตลอดชีวิต ทุกวันนี้ก็ทำบุญนั่งสมาธิ ถือศีล เพื่อปูทางไปสู่เป้าหมาย
พ่อตอบมา : พ่อเคยสอนพี่ชายพ่อ ซึ่งเคยพูดแบบเรา(ที่บอกว่าเรามีทุกอย่างแล้ว) พ่อบอกว่ายังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกเยอะในสังคมภายนอก คนเราทำงานแบบเดียวจนทะลุปรุโปร่งแล้วบอกว่า ข้ารู้หมดทุกอย่าง แต่ถามว่างานแนวอื่นเป็นแบบไหน ก็ไม่รู้ เพราะมันเหมือนกบในกะลา เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์หลายๆแบบจากโลกภายนอก เพื่อจะได้มาสั่งสอนลูกหลานให้เอาตัวรอดได้
จากบทสนทนาข้างต้น ทำให้ผมเลิกคิดที่จะชักนำพ่อให้เข้าหาศาสนา ผมพยายามพูดแย้บท่านเสมอ(รวมถึงป้าๆที่เลี้ยงและช่วยเหลือผมมา) ถึงเรื่องหลักการทำบุญสร้างบารมี ในทุกๆครั้งที่มีโอกาส ซึ่งบทสนทนานี้ก็เป็นไปเพื่อชี้ให้พ่อเห็นว่า เรามีทุกอย่างแล้ว เราจะต้องการอะไรอีก ถึงเราไม่มีมากถึงขนาดซื้อของแพงๆอวดใครต่อใคร แต่เราก็ไม่ขาดอะไรแล้ว ให้ทำบุญทำทานสร้างบารมี เลิกตระหนี่ถี่เหนี่ยว ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้
จากสิ่งที่ผมได้แชร์ให้ทุกท่านอ่าน ทำให้ผมเข้าใจคำพูดที่ว่า "พึงสอน ผู้ที่สอนได้"