บุญพิเศษ - สร้างเจดีย์สวรรค์ หมู่บ้านแม่ระอานอก
#1
โพสต์เมื่อ 07 June 2015 - 08:40 PM
#2
โพสต์เมื่อ 07 June 2015 - 08:48 PM
#3
โพสต์เมื่อ 08 June 2015 - 08:01 AM
#4
โพสต์เมื่อ 09 June 2015 - 07:28 PM
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับข่าวบุญใหญ่ในครั้ง นี้ด้วย ค่ะ ที่จะได้ทำบุญใหญ่อีกแล้ว ปลื้มปิติใจมากๆๆๆ สาธุ สาธุ สาธุ
#5
โพสต์เมื่อ 10 June 2015 - 07:40 AM
เปลี่ยนนามจาก "แม่ระอานอก" เป็น "แม่แสนสุข" แล้ว
#6
โพสต์เมื่อ 10 June 2015 - 12:03 PM
karp anumotana with everyone who is gonna building Baan Saan Sook Cetiya ka
#7
โพสต์เมื่อ 14 June 2015 - 12:54 PM
สาธุค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
#8
โพสต์เมื่อ 16 June 2015 - 08:01 AM
I have done this merit for 2,000THB with a kalayanamitra sadhu sadhu sadhu ka
#9
โพสต์เมื่อ 16 June 2015 - 12:34 PM
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#10
โพสต์เมื่อ 17 June 2015 - 12:33 PM
Reviewed this merit and anumotanaboon with everyone who made this merit and K. Tuppe ka. Sadhu sadhu sadhu.
#11
โพสต์เมื่อ 23 June 2015 - 10:39 PM
ชาวดอยช่วยกันไปขนทรายที่ริมทานน้ำตก ที่ต้องใช้ระยะในการเดินทาง ประมาณ 5 กม.
เพื่อนำทรายมาสร้างเจดีย์ ที่เขาเคารพกราบไหว้บูชา กันมาตั้งแต่รุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย จนมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานกันเลย
เห็นแล้ว ยอมใจของเด็กๆที่นี้เลย เพราะพลังศรัทธาของเขา มันชั่งยิ่งใหญ่จริงๆ
บ้านแม่แสนสุข อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
จาก Pikaro Nice
#12
โพสต์เมื่อ 24 June 2015 - 06:44 PM
#13
โพสต์เมื่อ 03 August 2015 - 05:08 PM
Karp kob pra koon more beautiful and impressive photo from K. Tuppe ka. Reviewed the merit I have done with Baan Mae Saan Sook Cetiya and rejoiced with the merit with others who did this merit sadhu.
#14
โพสต์เมื่อ 04 August 2015 - 12:50 AM
เมื่อไปเปิดพระไตรปิฎกในเรื่องการก่อเจดีย์ทราย และการบูชาพระเจดีย์ทราย ดังนี้
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ข้อที่๗๖ –๗๗ หน้าที่๗๔
ท่านปุฬินนุปปาทกเถระ ผู้ก่อพระเจดีย์ทรายด้วยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงพระพุทธคุณอันประเสริฐ พระพุทธลักษณะที่เป็นลักษณะมหาปุริสลักษณะ๓๒ ประการ ให้กับศิษย์๘๔,๐๐๐ คน ดังนี้
“.....ปุฬินุปปาทกเถราปทานที่ ๗
ว่าด้วยผลแห่งการก่อเจดีย์ทราย
เราเป็นดาบสชื่อเทวละ อาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ ที่จงกรมของเราเป็นที่อันอมนุษย์ เนรมิตให้ ณ ภูเขานั้น ครั้งนั้นเรามุ่นมวยผมสะพายคนโทน้ำ เมื่อจะแสวงหาประโยชน์อันสูงสุด ได้ออกจากป่าใหญ่ไป ครั้งนั้น ศิษย์ ๘,๔๐๐๐ คน อุปัฏฐากเรา เขาทั้งหลายขวนขวายเฉพาะกรรมของตนอยู่ในป่าใหญ่
เราออกจากอาศรมก่อพระเจดีย์ทรายแล้วรวบรวมเอาดอกไม้นานาชนิดมาบูชาพระเจดีย์นั้นเรายังจิตให้เลื่อมใสในพระเจดีย์นั้นแล้ว เข้าไปสู่อาศรม พวกศิษย์ได้มาประชุมพร้อมกันทุกคนแล้ว ถามถึงความข้อนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ สถูปที่ท่านนมัสการก่อด้วยทราย แม้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็อยากจะรู้ ท่านอันข้าพเจ้าทั้งหลายถามแล้วขอจงบอกแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย.
เราตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีพระจักษุ มียศใหญ่ ท่านทั้งหลายได้พบแล้วในบทมนต์ของเรามิใช่หรือ เรานมัสการพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดมียศใหญ่เหล่านั้น.ศิษย์เหล่านั้นได้ถามอีกว่า พระพุทธเจ้าผู้มีความเพียรใหญ่รู้ไญยธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้นำโลกเหล่านั้น เป็นเช่นไร มีคุณเป็นอย่างไร มีศีลเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าผู้มีพระยศใหญ่เหล่านั้นเป็นดังฤา.
เราได้ตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระมหาปุริสลักษณะ๓๒ ประการ มีพระทนต์ครบ ๔๐ ทัศ มีดวงพระเนตรดังตาแห่งโคและเหมือนผลมะกล่ำ อนึ่ง พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเมื่อเสด็จดำเนินไป ก็ย่อมทอดพระเนตรดูเพียงชั่วแอก พระชานุของพระองค์ไม่ลั่น ใครๆ ไม่ได้ยินเสียงที่ต่อ อนึ่ง พระสุคตทั้งหลาย เมื่อเสด็จดำเนินไป ย่อมไม่รีบร้อนเสด็จดำเนินไป ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เป็นผู้ไม่หวาดกลัว เปรียบเหมือนไกรสรมฤคราช ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่ทรงยกพระองค์และไม่ทรงข่มขี่สัตว์ทั้งหลาย ทรงหลุดพ้นจากการถือตัว และดูหมิ่น ท่านเป็นผู้มีพระองค์เสมอในสัตว์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่ทรงยกพระองค์ นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อเสด็จอุบัติขึ้นพระองค์ทรงแสดงแสงสว่าง ทรงประกาศวิการ ๖ทั่วพื้นแผ่นดินนี้ทั้งสิ้น
ทั้งพระองค์ทรงเห็นนรกด้วย ครั้งนั้น ไฟนรกดับ มหาเมฆยังฝนให้ตก นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้มหานาคเหล่านั้น เป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าผู้มียศใหญ่เหล่านั้น ไม่มีใครเทียมเท่า พระตถาคตทั้งหลาย เป็นผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ ใครๆไม่เกินพระองค์ไปโดยเกียรติคุณ
.ศิษย์ทุกคนเป็นผู้มีความเคารพ ชื่นชมถ้อยคำของเรา ต่างได้ปฏิบัติเช่นนั้น ตามสติกำลัง พวกเขามีความเพลิดเพลินในกรรมของตนเชื่อฟังถ้อยคำของเรา มีฉันทะอัธยาศัยน้อมไปในความเป็นพระพุทธเจ้า พากันบูชาพระเจดีย์ทราย ในกาลนั้น เทพบุตรผู้มียศใหญ่ จุติจากชั้นดุสิต บังเกิดในพระครรภ์ของพระมารดา หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เรายืนอยู่ในที่จงกรมไม่ไกลอาศรม ศิษย์ทุกคนได้มาประชุมพร้อมกันในสำนักของเรา ถามว่า แผ่นดินบันลือลั่นดุจโคอุสภะ คำรณดุจมฤคราช ร้องดุจจระเข้ จักมีผลเป็นอย่างไร.
เราตอบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดที่เราประกาศ ณ ที่ใกล้พระสถูปคือกองทราย บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีโชค เป็นศาสดา พระองค์นั้น เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว.
เราแสดงธรรมกถาแก่พวกศิษย์เหล่านั้นแล้ว กล่าวสดุดีพระมหามุนีส่งศิษย์ของตนไปแล้ว นั่งขัดสมาธิ ก็เราเป็นผู้สิ้นกำลังหนอเจ็บหนัก ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ทำกาลกิริยา ณที่นั้นเอง ครั้งนั้น ศิษย์ทุกคนพร้อมกันทำเชิงตะกอนแล้ว ยกซากศพของเราขึ้นเชิงตะกอน พวกเขาล้อมเชิงตะกอน ประนมอัญชลีเหนือเศียร อันลูกศรคือ ความโศกครอบงำ ชวนกันมาคร่ำครวญเมื่อศิษย์เหล่านั้นพิไรรำพันอยู่ เราได้ไปใกล้เชิงตะกอน สั่งสอนพวกเขาว่า เราคืออาจารย์ของท่าน แน่ะท่านผู้มีปัญญาดีทั้งหลายท่านทั้งหลายอย่าได้เศร้าโศกเลย ท่านทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พยายามในประโยชน์ของตน ทั้งกลางคืนและกลางวันท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท ควรทำขณะเวลาให้ถึงเฉพาะ เราพร่ำสอนศิษย์ของตนแล้วกลับไปยังเทวโลก เราได้อยู่ในเทวโลกถึง๑๘ กัป ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และได้เสวยราชสมบัติในเทวโลกเกินร้อยครั้ง ในกัปที่เหลือ เราได้ท่องเที่ยวไปอย่างสับสน แต่ก็ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการก่อเจดีย์ทรายในเดือนที่ดอกโกมุทบาน ต้นไม้เป็นอันมากต่างก็ออกดอกบานฉันใดเราก็เป็นผู้อันพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ให้บานแล้วในสมัยฉันนั้นเหมือนกัน ความเพียรของเรานำธุระน้อยใหญ่ไป นำเอาธรรมที่เป็นแดนเกษมจากโยคะมา เราตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้สรรเสริญพระพุทธเจ้าใด ด้วยการสรรเสริญนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลยนี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้…..”
จากการสร้างเจดีย์ของคนในหมู่บ้าน แสดงถึงศรัทธา ความรักในพระพุทธศาสนา ในด้านมานุษยวิทยาวัฒนธรรม มีการเชื่อมโยงพุทธวัฒนธรรม จากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน มีการเล่าจากรุ่นสู่รุ่น ถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ความสงบร่มเย็นเป็นสุขของพระพุทธศาสนา และ ความสุขภายในของผู้ที่นับถือ และพระพุทธศาสนาเป็นบรรทัดฐานของสังคมหมู่บ้าน ก่อให้เกิดประเพณี และพิธีกรรม ที่ทำให้เกิดความรักความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างบุคคลในหมู่บ้าน ระหว่างบุคลในครอบครัว และรวมทั้งวัด ซึ่งแต่เดิมป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในหมู่บ้าน
กราบอนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 04 August 2015 - 09:20 AM
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
แค่ก่อกองทรายด้วยใจศรัทธา ยังมีอานุภาพมากมายขนาดนี้ แล้วการที่เราสร้างศาสนถาวรสถานเพื่อเป็นหลักมั่นแห่งพระศาสนา อานุภาพจะขนาดไหนกันหล่ะเนี้ย