ไปที่เนื้อหา


- - - - -

ข่าวจากปรโลก


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 *salisa*

*salisa*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 21 January 2005 - 04:09 PM

๓ มกราคม ๒๕๔๘ ข่าวจากปรโลก

นี่เป็นเรื่องราวของการหลับไปฝันเป็นตุเป็นตะตื่นขึ้นมาหาว ๑ ที นำมาเล่าเป็นนิยายปรัมปราโดยสมมติชื่อว่า ข่าวปรโลก

เมื่อเหตุการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้น เพราะการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้คลื่นยักษ์เกิดขึ้นมาสู่ชายฝั่ง ผู้ประสบภัยในครั้งนี้ก็ได้ประสบภัยต่าง ๆ ตั้งแต่เล็กน้อย เสียทรัพย์สิน บาดเจ็บ จนถึงเสียชีวิต บางท่านก็ไม่เป็นอะไรปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น เช่น นักสร้างบารมีเจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ในขณะที่คลื่นยักษ์โหมเข้าใส่บริเวณด้านหน้าของรีสอร์ท ซึ่งรีสอร์ทนั้นอยู่ติดกับชายทะเล ปรากฏว่ามีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นมาบังไว้ จึงทำให้คลื่นยักษ์แหวกออกเป็น ๑ ทาง บริเวณนั้นไม่มีก้อนหิน ไม่มีภูเขาอะไรมาปะทะ เป็นชายหาดทั่ว ๆ ไป แต่คลื่นมาถึงรีสอร์ทแห่งนี้ก็ชะงักกำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ในที่สุดก็แยกออกเป็น ๒ ทางไปซ้ายและขวา รีสอร์ทนักสร้างบารมีที่อยู่ตรงนั้นไม่เป็นอะไรเลย แต่รีสอร์ทที่อยู่ ๒ ข้างกลับถูกคลื่นซัดพังเรียบ บาร์เบียร์ อาบอบนวดถูกกวาดไปเกลี้ยง ราวกับว่าคลื่นยักษ์นั้นไม่ปราถนาให้มีสิ่งนี้อยู่ในโลก เมื่อพูดด้วยเหตุและผลไม่ฟังก็มาพังด้วยคลื่น

เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์นั้นก็คือ บุญบาปของแต่ละท่านที่มีมาไม่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นความประสงค์ของผู้ใด คนที่ทำกรรมปาณาติบาตมาก็จะทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือว่าเสียชีวิต ถ้ามีกรรมปาณาติบาตน้อยก็แค่บาดเจ็บ ถ้ามีกรรมปาณาติบาตมากก็ถึงเสียชีวิต การที่ต้องมาตายพร้อมกัน ไม่ใช่ทำกรรมปาณาติบาตร่วมกันทั้งหมด ที่ทำร่วมกันก็มี แต่บางท่านก็ทำต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ว่ากรรมมาส่งผลพร้อม ๆ กัน เพราะฉะนั้นเรื่องกฏแห่งกรรมนั้นซับซ้อนทีเดียว

เมื่อเสียชีวิตแล้วกายละเอียดจะแบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ
1. พวกที่ตายแล้วกายละเอียดยังอยู่บริเวณที่ตาย
2. พวกที่ตายแล้วไปปรโลกทันทีเลยก็มี

พวกที่ไปปรโลกก็จะเป็นไปตามบุญและบาป มีบาปก็ไปอบาย มีบุญก็ไปสวรรค์ เช่น พวกที่ทำบุญเป็นอาจิณกรรม มีจิตใจผ่องใสเป็นปกติ เมื่อละโลกก็จะไปสู่สุขคติภูมิ สังเกตุดูนะว่าใครทำบุญทุกวันใจจะผ่องใสเป็นปกติ เช่น เป็นรุกขเทวา สามารถเดินได้ในระดับยอดไม้ กายละเอียดจะวื๊ด เหมือนหลวงตาอยู่องค์หนึ่งอยู่วัดปากน้ำเคยคุยกัน ตอนนั้นครูไม่ใหญ่บวชใหม่ ๆ เดินผ่านกุฏิท่าน ท่านเปิดประตูทำให้ครูไม่ใหญ่สะดุดตาสะดุดใจ โอ้โหกระถางธูปท่านก่อตัวเป็นชั้น ๆ เกือบถึงฝ้าเพดาน ธูปชั้นแรกก็ปักเป็นฐาน มันไหม้หมดแล้วเหลือแต่ก้านธูป ชั้นที่ ๒ เล็กลงมาหน่อยปักให้แน่นไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงเพดาน ก็ไม่เข้าใจอยากแสวงหาความรู้ ตกกลางคืนก็เข้าไปคุยกับท่าน หลังจากเลิกนั่งธรรมะกับคุณยายแล้ว หลังจากเมียง ๆ มอง ๆ ก็ส่งยิ้มให้ท่าน ท่านก็เลยนิมนต์และชงน้ำชาให้และถามว่า บวชนานหรือยัง ครูไม่ใหญ่เรียกท่านหลวงพ่อ แต่ท่านบวชตอนแก่นะ ถามท่านว่าหลวงพ่อทำไมปักธูปอย่างนี้เกิดมาไม่เคยเห็น ท่านตอบอย่างไรจำไม่ได้แล้ว จากจุดนั้นก็คุยกัน ท่านบอกว่าผมเคยออกอากาศมาแล้ว วิทยุ เพราะครั้งหนึ่งมีคนเคยเรียกผมว่าผี ท่านไปทำอาชีพเผาปูน เผาหินต่อมา เศษผงปูนมันเข้าไปกัดคอท่านทำให้ใกล้ตาย พอดีพระลูกชายท่านบวชอยู่ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ แต่ตัวท่านไม่เคยมา พระลูกชายทราบข่าวว่าท่านป่วยก็บอกให้โยมพ่อภาวนาสัมมาอรหัง แล้วกายท่านหลุดออกไป ท่านก็เดินออกไปที่นอกชานโดยไม่รู้ตัวว่าท่านตาย แต่รู้สึกว่าสบายหายเจ็บหายหอบ เดินไปนอกชานจะลงบันไดมันเหยียบบันไดไม่ได้ ก็เลยต้องเดินต่อไปกลางอากาศ ท่านภาวนาสัมมาอรหังไปเรื่อย จึงนึกว่าสัมมาอรหังทำให้เหาะได้ ท่านก็อยากจะบอกคน ท่านก็ตะโกนไปไม่มีใครได้ยิน ระหว่างทางที่ท่านเดินไปที่เตาเผาปูน ท่านก็เห็นคน ๒ คนเดินเรียงกันมา อยากจะไปบอกตะโกนเรียกเขาก็ไม่ได้ยินสักที เพราะเป็นคนคุ้นเคยกัน ท่านเดินอยู่ในระดับบ่าของคน ท่านก็เลยเดินไปที่คนข้างหน้าเอาเท้าของท่านเขี่ยที่คอของคนข้างหน้าหัวก็คะมำ คนข้างหน้าก็หันมานึกว่าคนข้างหลังยัน ก็โกรธซิทะเลาะกันเพราะมีกันอยู่ ๒ คนบนถนนเท่านั้น ท่านบอกว่าไม่ใช่อย่าทะเลาะกัน แต่ ๒ คนนั้นก็ยังเถียงกันอยู่ ข้างหน้ามีต้นพุทราอยู่ต้นหนึ่งท่านจึงเดินไปกลางอากาศ ๒ คนนั้นก็เดินเถียงกันมาเรื่อย ๆ จนถึงต้นพุทรา ท่านก็เขย่าต้นพุทราซิ บอกว่าอย่าทะเลาะกัน สัมมาอรหังนี่ดีนะเหาะได้อย่าทะเลาะกันข้าเอง ๆ เป็นคนทำ ๒ คนนั้นก็เอ๊ะ ทำไมต้นพุทราเขย่าได้สงสัยจะผีมั๊งแล้วก็วิ่งอ้าว ผมก็เดินต่อไปเดินข้ามรั้วบ้านไปเจอยายแก่ ที่นั่นก็มีต้นพุทราอยู่ผมก็ตะโกนบอกยายแก่ ๆ ว่าคาถาดีนะท่องแล้วเหาะได้ ยายก็ไม่ได้ยินก็เลยเขย่าต้นพุทรา ปรากฏว่ายายด่าสะบั้นหั่นแหลกเลยเพราะยายไม่กลัวผี คนอายุ ๘๐ กว่าแล้วกลัวก็ตายไม่กลัวก็ตาย อะไรมาไม่กลัวทั้งนั้นแหละ ผมโกรธมากเลยเกือบจะเอาเท้ายันแกเหมือนเอาเท้ายัน ๒ คนนั้นแต่ก็กลัวแกจะตายเดี๋ยวบาป เลยกลับดีกว่า เดินข้ามรั้วบ้านกลับมาพอถึงชานบ้านมันก็วื๊ดกลับมาหอบต่อ จึงสัมมาอรหังไปเรื่อย ๆ ถึงเห็นพระผู้เฒ่าอยู่องค์ยืนอยู่ที่ด้านขวาบนศรีษะแต่ท่านไม่รู้จัก หลวงปู่บอกว่าที่เป็นอย่างนี้ให้เอาขมิ้นมากินปรากฏว่าหาย

กำลังเล่าให้ฟังว่ารุกขเทวาสามารถเดินได้ในระดับยอดไม้ บางต้นอยู่ในระดับพุ่มเตี้ยจะบุญน้อยกว่าต้นที่อยู่ในระดับกลางๆ ต้นที่ระดับกลางจะบุญน้อยกว่าต้นที่อยู่ในระดับสูง ๆ พอเดินลอยได้ก็รู้สึกตื่นเต้นจึงเดินไปเรื่อย ๆ ในที่สุดบุญก็นำไปให้ถึงวิมานของตนบนยอดไม้ตามกำลังบุญของตัว

บางพวกก็ไปเกิดเป็นอากาศเทวาในวิมานของตน อากาศเทวาห่างจากพื้นไปประมาณ ๑ โยชน์ บางพวกก็ไปเกิดบนชั้นจาตุมหาราชิกาน้อยมาก บางพวกก็ไปเกิดบนชั้นดาวดึงส์แต่ว่าจำนวนน้อยที่สุด

พวกที่มีจิตเศร้าหมองก็มีทุกคติเป็นที่ไป เช่น พวกที่มีชีวิตอยู่ก็ดื่มเหล้าเป็นปกติ ตอนตายก็ยังเมาอยู่ เมื่อตายเพราะคลื่นยักษ์ก็ไปมหานรกขุม ๕ ทันที เป็นต้น บ้างเล่นการพนันตั้งแต่มีชีวิตอยู่ ขณะคลื่นซัดก็เล่นการพนันอยู่ เมื่อตายไปก็เกิดในมหานรกขุม ๖ ทันที บางพวกที่มีเวรปาณาติบาต มีอาชีพจับสัตว์น้ำเป็นประจำ ตายไปก็ไปเกิดเป็นปลาในทันที

บางพวกตายแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองตาย กายหยาบก็จมน้ำตายแต่กายละเอียดยังวิ่งหนีตื่นตระหนกอยู่ บางพวกก็ไม่แน่ใจเพราะเมื่อสักครู่นี้เราถูกน้ำพัดไปทุกข์ทรมานมากเลย คิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกปลอดภัยไม่เป็นอะไรเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว บางพวกก็รู้ตัวเพราะมองเห็นร่างตนเองนอนตายอยู่ พวกนี้จะอับเฉาทีเดียว บางส่วนก็ยังปะปนอยู่กับฝูงชนวิ่งหนีคลื่นยักษ์ ไปนั่งพักอยู่บนที่สูง โดยยังที่ไม่รู้ว่าตัวเองเสียชีวิตไปแล้ว ผีและคนก็ปนกันไป

เมื่อเวลาผ่านไปก็รู้สึกแปลกใจว่า เอ๊ะทำไมเราพูดกับใครไม่รู้เรื่องเลย ทำไมเขาไม่คุยกับเราเลย บางพวกก็นั่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร บางพวกก็ตีโพยตีพายโหวก ๆ เหวก ๆ กันไป กายละเอียดแต่ละตนล้วนแต่ตื่นตระหนก จิตใจก็สับสน

พวกที่รู้ตัวว่าตายเพราะเห็นศพตนเองนอนอยู่ ก็รู้สึกงง ๆ ทำอะไรไม่ถูก เราจะทำอะไรต่อไปก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไม่รู้ จะอยู่อย่างไร จะคุยอย่างไร จะมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไรไม่รู้ทำไม่ถูก เมื่อเวลาผ่านไปพวกที่หมู่ญาติทำบุญให้ทันที เมื่อได้รับบุญกายก็เริ่มผ่องใสและเบา เมื่อนึกถึงบ้านก็สามารถแว๊บกลับบ้านได้ทันที เพราะกายเบาแล้ว เมื่อรู้หลักวิชชาต้องทำบุญทันทีภายใน ๗ วัน

บางพวกนึกถึงบุญไม่ออกและก็ไม่มีใครทำบุญให้ พวกนี้กายจะหนักเป็นพวกสัมภเวสีที่เรียกว่าผีเร่ร่อนนั่นแหละ เมื่อคิดจะกลับบ้านก็ต้องเดินตะเกียกตะกายกลับบ้าน บางพวกก็ทำตัวเหมือนว่าเป็นมนุษย์อยู่ อาศัยขึ้นรถมนุษย์กลับบ้าน เพราะตอนนี้ตัวเป็นอดีตมนุษย์ไปแล้ว

ผู้ที่ยังไม่รู้ตัวว่าตายเมื่อกลับไปหาครอบครัวแล้ว คุยกับใครไม่รู้เรื่องก็เลยรู้สึกหงุดหงิด ทำให้สภาพกายละเอียดเปลี่ยนไป มีกลิ่นคล้ายศพที่เน่าเหม็น ใจหมองเป็นเหม็นทีเดียว ทำให้หมู่ญาติรับกลิ่นนั้นได้ เหมือนมีกลิ่นศพวนเวียนอยู่รอบตัว บางพวกมีจิตใจที่ดีขึ้นมาหน่อยก็จะมีกลิ่นเหมือนกลิ่นธูป บางพวกที่หมู่ญาติอุทิศส่วนกุศลไปให้ ก็จะเป็นกายละเอียดชั้นดี ทำให้หมู่ญาติได้กลิ่นเหมือนของหอม

อีกพวกหนึ่งที่ถูกน้ำซัดไปในทะเล พวกที่มีอัธยาศัยมักโกรธก็จะถูกพวกยักษ์น้ำนำตัวไป พวกที่มีอัธยาศัยราคะจริตหรือมีเศษกรรมสุราอยู่บ้างก็จะถูกพวกนาคน้ำนำตัวไปอยู่ด้วย พวกที่อยู่บนบก บางพวกก็ถูกพวกยักษ์บกหรือภุมเทวาสายยักษ์ สายคนธรรพ์ หรือสายวิทยาธรพาไปดูแลช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่เขตจะมาชวนไปอยู่ด้วย พูดเห็นอกเห็นใจว่ารู้ตัวไหมว่าตอนนี้เราตายแล้วนะ ตอนนี้กลับไปอยู่ที่บ้านคุยกับใครไม่รู้เรื่อง ไปอยู่กับฉันเถอะ พาไปตามภพภูมิตามจริตอัธยาศัยตอนเป็นมนุษย์ ถ้าชอบสิง ๆ ทรง ๆ ไสยเวทย์ก็อยู่ในพวกวิทยาธร พวกเบิร์ด ๆ ก็ไปอยู่สายคนธรรพ์

เมื่อเวลาผ่านไป ๔ – ๕ วัน ส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้ตัวว่าตนเองตายแล้ว เพราะเห็นศพตัวเองบ้าง คุยกับใครไม่รู้เรื่องบ้าง ในช่วงเวลาที่รู้ตัวแล้วก็ยังแบ่งเป็น ๓ พวกใหญ่ คือ

1. พวกกายละเอียดเศร้าหมอง ก็จะนั่งซึมเศร้าคอตก
2. พวกที่สับสนแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเดินไปเดินมาอยู่บริเวณนั้น
3. พวกที่พยายามนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคารพนับถือ พนมมือก็มี ประสานมือก็มี แบมือก็มี บ้างก็อยู่เดี่ยว ๆ บ้างก็อยู่เป็นพวกกลุ่ม ๆ ก็ระลึกนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคารพนับถือ

พวกที่ระลึกนึกถึงบุญ ระลึกถึงพระรัตนตรัยก็จะมีกายที่ผ่องใส มีรัศมีออกมามากกว่าพวกอื่น ๆ พวกอื่น ๆ ที่นอกเหนือจะพนมมือ ถ้าเขาทำทานสงเคราะห์โลกบุญก็เกิดขึ้นกับเขาแต่ว่าไม่มาก ไม่เหมือนกับทำบุญกับทักขิไนยบุคคล เหมือนปลูกข้าวในนาดี ปุ๋ยดี ไม่มีวัชพืชไม่มีศัตรูพืชอะไรต่าง ๆ ข้าวก็ขึ้นดี แต่ถ้าไปปลูกนาดอนหรือบนลูกรังก็ไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ หรือทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน พวกนั้นยังอยู่ในอบายใจยังไม่ใสยังหมองอยู่ ยังคิดเรื่องดี ๆ ไม่ออก เพราะฉะนั้นเวลาไปทำบุญไปเลี้ยงพวกนี้ก็ได้บุญนิดหนึ่ง แต่ถ้าไปเลี้ยงมนุษย์ ภูมิสัตว์ประเสริฐ แต่ถ้าทุศีลก็ได้บุญนิดหนึ่ง เหมือนปลูกนาบนหญ้าคา มีวัชพืช เพราะฉะนั้นตอนนี้ครูไม่ใหญ่ถึงเว้าวอนให้เห็นแก่หมู่ญาติที่ตายไปแล้ว อย่าไปเห็นแก่ทิฐิมานะว่าเราไม่ได้เป็นชาวพุทธ หรือว่าความเชื่อของตนสอนไว้อีกอย่างหนึ่ง ไปทำแบบชาวพุทธทำเดี๋ยวบาป มันไม่เกี่ยวกัน เราควรลืมความเชื่อดั้งเดิมไปช่วยหมู่ญาติของเราก่อนเถอะ ให้ทำบุญในพระพุทธศาสนาก่อน เมื่อบุญเกิดแล้วเราจะได้บุญ ทำใจใส ๆ นิ่ง ๆ นึกถึงบุญที่ได้ทำกับพระถวายสังฆทานต่าง ๆ อุทิศไปให้ จะมีกำลังส่งบุญไปให้ เหมือนเรารับประทานข้าวแล้วมีกำลังขว้างอะไรไปได้ไกล แต่ถ้าหากเราไปรับประทานแกลบมันไม่มีแรงจะส่งจะขว้างอะไร พอเราทำแล้ว ญาติเราสบายแล้ว จะกลับไปนับถือแบบเดิมก็ไม่ว่าอะไร ก่อนตายก็ให้นึกถึงบุญ นึกถึงพระรัตนตรัย ทำเผื่อเหนียวไว้จะดีกว่า เผื่อว่าตัวเองไม่ได้ไปอยู่กับผู้นำที่ตัวเองเคารพนับถือ แต่ได้ไปอยู่ที่ดี ๆ นะจะบอกให้

พวกที่กายใจเศร้าหมองก็จะมองไม่เห็นพวกที่กายใจผ่องใส พวกกายใจผ่องใสจะละเอียดไปอีกระดับหนึ่ง เหมือนเวลาเราใจหมอง ๆ ขุ่นมัวมองไม่เห็นว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว เหมือนเดินในที่มืด มองไม่เห็นของที่วางอยู่ข้างหน้า

พวกที่เป็นกลางไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เห็นแต่กายของผู้ที่ใจดีแต่ไม่เห็นความสว่าง พวกที่กายและใจผ่องใสก็จะเห็นกันและกัน เห็นทั้งกายและแสงสว่างรัศมีที่ออกจากกาย
พวกที่นึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงบุญและพวกที่ญาติอุทิศบุญไปให้ กายจะเบาขึ้นและลอยขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเห็นทางสว่างไปเกิดภพภูมิของตนตามกำลังบุญของตัว เป็นเทวดาชั้นต่าง ๆ เช่น จาตุมหาราชิกา

ผู้ที่ใจเศร้าหมองและใจเศร้าหมองขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะถูกดูดหายแว๊บไปในนรกตามกำลังบาปของตน ใจหมองเพราะร้องไห้ไปเรื่อย ๆ ใจหมองก็ขึ้นอยู่กับเรานะ ถ้าเราหมองร้อง ร้อง ร้องไปเรื่อย ๆ ก็หมองหนักไปตามขุมต่าง ๆ เหมือนนักมวยย่างขุม ๑ ขุม ๒ ขุม ๓

แต่ส่วนใหญ่ยังนึกถึงบุญไม่ได้ นึกถึงบาปไม่ออก ยังงง ๆ ทำอะไรไม่ถูกอยู่ ณ บริเวณที่ตายจนกว่าจะถึงวันที่ ๗ ภายหลังจากวันที่ตายนั้นนับจากเวลาที่ตายไป ๑ นาทีแรกนับไป ๑๖๘ ช.ม. ผู้ที่โซซัดโซเซกลับไปบ้านแล้วเมื่อตายใหม่ ๆ ก็จะแว๊บมา หรือว่าทำบุญให้เพราะคิดว่าเป็นแหล่งแห่งบุญ เจ้าหน้าที่ก็ปรากฏกายเกิดขึ้น

ผู้ที่เสียชีวิตจากคลื่นยักษ์ตายก็มีคติที่ไปแตกต่างกัน บางพวกก็ถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปยมโลก เจ้าหน้าที่ต่างก็คุมตัวสัตว์นรกไปยังประตูยมโลก แล้วนำสัตว์นรกไปยังหน้าลานตรงนั้น ก็ร้องกันระงม แล้วจะมีเจ้าหน้าที่เรียกเข้าไปเรื่อย ๆ ผ่านเข้าไปในโรงพิพากษา ผ่านปฏิมากรรมอาวุธต่าง ๆ จากนั้นสัตว์นรกต้องรอการพิพากษาจากท่านพญายมราชอยู่หน้าบัลลังก์ จะมียศถาบรรดาศักดิ์อะไรก็ถูกริบไปหมดแล้ว ใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่น้อยกว่าโลง พอมาถึงหน้าบัลลังก์เล็กลงไปอีก ตอนมีชีวิตอยู่เขาเรียกว่าท่าน พอไปตรงนั้นเขาเรียกสัตว์นรก

พวกที่มีบุญน้อยก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวาอยู่บริเวณนั้น ส่วนพวกที่มีบุญมากกว่านั้นก็จะเห็นแสงสว่าง ต่างก็เดินไปตามแสงสว่างนั้น บางคนก็ไปเกิดเป็นอากาศเทวา บางคนก็ไปเกิดบนชั้นจาตุมหาราชิกา และบางคนก็ไปเกิดบนชั้นดาวดึงส์

#2 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 29 January 2007 - 07:54 AM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ