ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ประสบการณ์ในการอบรมธรรมทายาทของผม


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 12:37 PM

ข้อความต่างๆ ที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ของผมเอง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และการอบรมธรรมทายาท ซึ่งผมได้เคยไปโพสต์ไว้ในเวบแห่งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เพื่อแก้ข้อสงสัยและความเข้าใจผิดบางประการ เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายและการอบรมธรรมทายาท ดังนั้น ข้อความต่างๆ ที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไป อาจมีบางช่วงที่ดูแปลกๆ และมีการกล่าวอ้างถึงชื่อบุคคลที่ผมได้โพสต์ตอบเขา จึงอยากจะทำความเข้าใจกับผู้ที่ได้เข้ามาอ่านตรงนี้เสียก่อน เพราะข้อความต่างๆ ที่ผมจะโพสต์ต่อไป เป็นการคัดลอกมาจากที่ผมได้เคยโพสต์ไว้ โดยไม่มีการแก้ไขใดๆ เพียงแต่ตัดข้อความบางส่วน ที่เป็นการทักทายพูดคุย โดยไม่เกี่ยวกับเนื้อหาออกเท่านั้น

ข้อความต่างๆ ที่ผมจะโพสต์ต่อไปนี้ ได้บอกเล่าจากประสบการณ์และความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอาจจะมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปบ้าง หากมีท่านผู้รู้เข้ามาอ่านผมต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี้



ผมเคยอบรมธรรมทายาทที่วัดพระธรรมกายปี 2538 เป็นธรรมทายาทรุ่นที่ 23 ก่อนเล่าเรื่องธรรมทายาท ขอเล่าก่อนว่ามารู้จักวัดพระธรรมกายและเข้ามาอบรมได้อย่างไร

เมื่อปี 2536 ผมได้เข้าศึกษาในระดับ ปวช.ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งปีเมื่อผมขึ้นชั้น ปวช.ปีที่ 2 ได้มีเพื่อนผมคนหนึ่ง ได้มาชวนผมใส่บาตร เนื่องจากที่สถาบันจะมีการจัดงานตักบาตรทุกวันพฤหัสฯทุกสัปดาห์ ผมไม่เคยสนใจและบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา เนื่องจากผมมาจากครอบครัวเชื้อสายจีน ต้องบอกนะครับว่าเชื้อสายจีนจริงๆ ไม่มีเชื้อสายไทยเลย ปู่ย่าตายายมาจากเมืองจีนหมด ที่บ้านผมไม่เคยสอนเรื่องทำบุญตักบาตร รู้จักแต่การไหว้เจ้าเท่านั้น จะทำบุญเมื่อมีเหตุการณ์พิเศษเท่านั้นซึ่งไม่บ่อย ประกอบกับผมเรียนโรงเรียนคริสต์ ตั่งแต่อนุบาล-ม.3 เคยเข้าไปร้องเพลงในโบสถ์ตอนทำพิธีมิซาก็หลายครั้ง ผมจึงไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธเท่าไหร่ แถมตอนเรียนสังคมเกี่ยวกับพุทธศาสนา มาสเซอร์ที่สอนดันเป็นอิสลามเสียอีก

มาเข้าเรื่องต่อนะครับ เพื่อนผมที่ได้กล่าวมานี้ ชวนผมใส่บาตรทุกสัปดาห์เลยนะครับ ผมก็บ่ายเบี่ยงทุกสัปดาห์เหมือนกัน บางทีก็รู้สึกรำคาญเหมือนกัน นึกในใจว่าอะไรกันวะ คนไม่อยากไปก็มาชวนอยู่ได้ จนมาอยู่วันหนึ่ง จะด้วยบุญเก่าส่งผลหรืออะไรก็ตามแต่ เป็นวันเกิดอายุครบ 17 ปีของผม ซึ่งตรงกับวันพฤหัสฯพอดี ก็เลยนึกอยากทำบุญขึ้นมา เอาล่ะสิครับที่นี้ นึกถึงเพื่อนคนที่เรารำคาญเขาขึ้นมาทันที ทีนี้เลยโทรไปถามเขาเองเลยว่า วันรุ่งขึ้นเป็นวันเกิดอยากจะใส่บาตรต้องทำอะไรบ้าง เพราะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ เพื่อนผมบอกให้เตรียมตัวกับเตรียมใจมาก็พอ ส่วนของใส่บาตรไม่ต้องไปลำบากเตรียม เพราะทางชมรมพุทธศาสตร์ได้มีการจัดเตรียมของใส่บาตร ไว้บริการอยู่แล้ว

วันรุ่งขึ้นผมมาที่สถาบันแต่เช้า ประมาณ7.00น. ซึ่งสำหรับผมแล้วถือว่าเช้ามากเลย ผมเป็นคนนอนดึกตื่นสาย เรียน8โมงกว่าจะตื่นก็7โมง45 เนื่องจากหออยู่ใกล้กับสถาบัน มาถึงก็เจอเพื่อนผมรอรับอยู่ แล้วก็อธิบายว่าซื้อของตักบาตรอย่างไร ซื้อแล้วไปนั่งตรงไหน ซึ่งของใส่บาตรที่ทางชมรมพุทธฯได้จัดเตรียมไว้ก็จะเป็นพวก ข้าวสารอาหารแห้ง นมกล่อง น้ำเปล่า อะไรประมาณนี้ที่เก็บไว้ได้นานๆ เราก็ไปเลือกหยิบเอา แล้วก็จ่ายตัง จากนั้นก็ไปหาที่นั่งซึ่งเป็นเสื่อที่ปูกับพื้นนั่งตามสะดวก พอ7.30น. ก็จะเริ่มพิธี จะมีการอาราธนาศีล5 และก็คำกล่าวถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับก็ทำตามๆเขาไป พอใส่บาตรเสร็จผมรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต รู้สึกเบิกบานใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน(มารู้ตอนหลังว่าเขาเรียกว่าปิติ) หลังจากใส่บาตรก็ได้คุยกับเพื่อนคนที่มาชวนใส่บาตร ก็ได้รู้ว่าวันนั้นเขาถือศีล8 เพราะเป็นวันพระ คือเขาจะถือศีล8 ทุกวันพระ ไม่รู้เป็นอย่างไรพอฟังเขาเล่ามาก็เลยบอกเขาว่า งั้นวันนี้เราขอถือศีล8ด้วย ตอนนั้นไม่รู้พูดออกไปได้อย่างไร เพราะตั้งแต่เล็กจนโต อย่าว่าแต่ศีล8เลย ศีล5ยังไม่เคยรักษาเลย รู้เพียงแต่ว่ามีอะไรบ้างจากวิชาพุทธศาสนาเท่านั้น แล้วก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไปที่ชอบเอามาล้อเล่น เช่น หนึ่งห้ามฆ่าสัตว์ถ้ายุงกัดเราก็ตบ สองห้ามลักทรัพย์ถ้าเขาหลับเราก็หยิบ สี่ห้ามพูดปดถ้าเราตดบอกว่าเปล่า อะไรประมาณนี้ แต่วันนั้นหลังจากใส่บาตรเสร็จ รูสึกว่าใจมันเบิกบานแช่มชื่น ขนาดแค่เขาเล่าเฉยๆว่าเขาถือศีล8 ไม่ได้ชวนเราถือด้วยเลยด้วยซ้ำ แต่เรากลับขอเขาถือศีล8ด้วยเฉยเลย ตักบาตรเสร็จ8โมง ได้เวลาเรียนพอดีจึงได้ไปเข้าเรียน



พอเรียนเสร็จช่วงเช้า วันนั้นจึงได้ไปนั่งกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนผมคนนี้เป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านั้นผมไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนคนนี้เท่าไหร่ ที่ต้องไปนั่งกินข้าวกับเขา เพราะผมบอกไปแล้วว่าจะถือศีล8 ก็เลยต้องทำตัวติดเขาไว้เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ในขณะกินข้าวไป เพื่อนผมก็อธิบายไปว่า ศีล8มีอะไรบ้าง ต่างจากศีล5อย่างไร และจะถือศีล8อย่างไร ซี่งเพื่อนผมรู้ดีมากเลย อย่าลืมว่า เพื่อนผมและผมเพิ่งเรียนปวช.ปี2เองนะครับ ทำให้ผมแปลกใจมาก(มารู้ตอนหลังว่าเพื่อนผมอบรมธรรมทายาทรุ่นก่อนหน้าผม ตอนปิดเทอมซัมเมอร์ตอนปวช.ปีหนึ่ง)

หลังจากกินข้าวเสร็จ เพื่อนผมชวนไปชมรมพุทธศาสตร์ ผมเลยตามเขาไป ครั้งแรกที่เข้าไป ทำเอาผมงง เนื่องจากมีรุ่นพี่นั่งอยู่ในชมรมก่อนแล้ว ที่งงคือพี่เขายกมือไหว้เราเฉยเลย ดูพี่เขาน่าจะเรียนระดับปริญญาตรีแล้ว แล้วดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปริญญาตรีปี1ด้วย เราก็งงเลย ยกมือไหว้พี่เขาตอบแทบไม่ทัน เพื่อนเราบอกว่าเป็นปกติของเด็กชมรมพุทธฯ คือเขาทักทายกันด้วยการไหว้เป็นปกติอยู่แล้ว รุ่นพี่ไหว้รุ่นน้องก่อนไม่แปลกอะไร หากเรารู้สึกเขินก็ต้องชิงไหว้พี่เขาก่อน ไม่เช่นนั้นพี่เขาจะไหว้เราก่อนทุกครั้ง

หลังจากเพื่อนผมแนะนำผมให้ได้รู้จักกับรุ่นพี่แต่ละคน และพูดคุยทักทายกันพอสมควรแล้วพี่เขาก็ขอตัวไปทำธุระ จึงเหลือผมกับเพื่อนอยู่ในชมรมกันสองคน เพื่อนผมได้แนะนำหนังสือธรรมะให้ผมอ่าน ปกติผมจะเป็นคนชอบฟังเพลงมาก ผมจะมีวอล์คแมนอยู่เครื่องหนึ่งติดตัวประจำ ตอนพักเที่ยงก็จะนำออกมาฟังทุกครั้ง แต่วันนั้นถือศีล8 ฟังไม่ได้ เพื่อนผมเลยแนะนำหนังสือธรรมะให้ผมอ่าน ไม่ใช่สิถ้าให้ถูก ต้องบอกว่าเพื่อนแนะนำว่ามีหนังสืออะไรบ้างถึงจะถูก เพราะว่าผมเป็นคนเลือกหยิบมาอ่านเอง

ปกติผมไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะเลยนะ รู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่วันนั้นได้อานิสงค์จากการใส่บาตร ใจแช่มชื่นตั่งแต่เช้ามาถึงเที่ยง ไม่อย่างนั้นไม่คิดจะหยิบมาอ่านหรอกหนังสือธรรมะเนี่ย(มาตอนนี้เลยเข้าใจที่เขาบอกว่าการตักบาตรหรือการให้ทานทำได้ง่าย และจะเป็นเบื้องต้นในการทำความดีอื่นๆ คือศีลและภาวนาต่อไป เพราะเจอกับตัวเองนี่แหละ)

หนังสือเล่มแรกที่ผมหยิบมาอ่านเป็นนิตยสาร ชื่อกัลยาณมิตร ผมเห็นว่าชื่อมันแปลกดี(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร) และหน้าปกก็ทำสวยดีเลยหยิบมาอ่าน เปิดมาก็มาเจอหน้าที่เป็นกัณฑ์เทศน์ของหลวงปู่วัดปากน้ำ ซึ่งถอดความมาจากเทปเสียงเทศน์ของท่านที่ได้บันทึกไว้ ตอนนั้นยังไม่รู้จักหรอกว่าท่านเป็นใคร เปิดมาเจอก็อ่านไป แต่พออ่านไปเรื่อยๆ รู้สึกสนุก รู้สึกว่าสิ่งที่ท่านเทศน์ช่างชัดเจนแจ่มแจ้งและไม่น่าเบื่อ ทั้งที่ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะมาก่อนเลย ศึกษาก็ยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจที่ท่านเทศน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และมีความรู้สึกลึกๆว่า นี่แหละสิ่งที่เราค้นหามานาน ก็เลยอ่านเพลินจนลืมเวลาเลย จนเพื่อนเราต้องสะกิดว่าใกล้บ่ายแล้ว ต้องไปเข้าเรียนช่วงบ่ายแล้ว แล้วก็ชวนผมว่า ตอนเย็นให้ไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้วก็นั่งสมาธิกันที่ชมรมด้านใน(ตอนนั้นห้องชมรมมี2ห้อง คือ ห้องที่ตึกกิจกรรม กับห้องที่อยู่ในสุดของสถาบันเป็นอาคารไม้ใกล้ๆกับตึกวิศวะ ซึ่งใช้เป็นที่สวดมนต์ทำวัตรและนั่งสมาธิ ห้องที่ผมเข้าไปตอนแรกเป็นห้องที่ตึกกิจกรรมซึ่งใช้เป็นที่เก็บของเสียมากกว่า) ผมก็รับปากเพื่อนว่าจะไปสวดมนต์นั่งสมาธิด้วย

หลายๆคนอาจจะบ่นว่า ทำไมผมไม่เข้าเรื่องวัดพระธรรมกายเสียที พล่ามอะไรอยู่ได้ ผมต้องบอกว่า ให้ทนอ่านไปก่อนนะครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมผมต้องเกริ่นนำก่อน เพราะว่าเดี๋ยวมันจะมีเรื่องที่เป็นสาเหตุให้ผมตัดสินใจ เข้าอบรมธรรมทายาท

วันนั้นหลังเลิกเรียน ผมกับเพื่อนเลยเข้าไปที่ชมรมด้านใน เข้าไปก็เจอรุ่นพี่อีกกลุ่มหนึ่ง(คนละกลุ่มกับที่เจอตอนเที่ยง) พี่เขาก็ยกมือไหว้เราก่อนอีกแล้ว คือยกมือไหว้พี่เขาก่อนไม่ทันน่ะ แต่ไม่ตกใจแล้ว ก็ไหว้พี่เค้าตอบไป แล้วพี่เขาก็บอกให้เราไปกราบพระก่อน คือในชมรมด้านใน จะมีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ เรากับเพื่อนก็เลยเข้าไปกราบพระ วันนั้นเลิกเรียน4โมงเย็น เดินเข้าไปถึงห้องชมรมด้านใน4โมงครึ่ง เนื่องจากตึกที่เรียนอยู่ไกลจากห้องชมรมพอสมควร พอกราบพระเสร็จ ก็คุยเรื่องสัพเพเหระกัน ระหว่างนั้นก็เริ่มมีรุ่นที่ท่านอื่นๆ ทยอยกันมาที่ชมรมรวมถึงพี่ที่เจอตอนเที่ยงด้วย จนถึงประมาณ5โมงเย็นจึงได้เริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น เป็นการสวดมนต์เป็นครั้งแรกในชีวิต โดยจะมีรุ่นพี่นำสวด ซึ่งเขาจะกล่าวนำพวกบท หันธัมมะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต อะไรประมาณนี้

ตอนสวดมนต์ทำวัตรนี่ต้องบอกว่าทรมานมาก เนื่องจากต้องนั่งคุกเข่าอยู่บนส้นเท้า ซึ่งนานมากๆ ไอ้เราไม่เคยนั่งมาก่อนเลย ปวดนิ้วเท้าเป็นอย่างมาก หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเสร็จ ก็จะมีการสมาทานศีล5 ศีล8 แล้วก็นั่งสมาธิ เป็นการนั่งสมาธิครั้งแรกอีกเช่นกัน โดยจะเปิดเทปการนำนั่งซี่งเป็นเสียงนำนั่งของหลวงพ่อธัมมชโย ท่านก็แนะนำฐานที่ตั้งของใจ 7 ฐาน และก็บอกวิธีการกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใสและคำภาวนาว่า สัมมาอรหัง เราก็ทำตามท่านไป แรกๆก็ดีอยู่หรอก รู้สึกว่านิ่งสงบดี เป็นประสบการณ์ ที่แปลกใหม่ในชีวิตอีกแล้ว รู้สึกใจมันนิ่งๆ แต่แล้วผ่านไปไม่นาน 5-10นาทีได้ เริ่มเมื่อย เพราะไม่เคยนั่งมาก่อนจริงๆ เอาละซิทีนี้ เริ่มกระสับกระส่าย แล้วก็กระสับกระส่ายไปจนจบการนั่ง ซึ่งระหว่างนั้นรู้สึกยาวนานมากเหมือนเป็นชั่วโมงเลย ทั้งที่เปิดเทปนำนั่งจบหนึ่งหน้าก็เลิก ซึ่งก็แค่30นาทีเท่านั้น

หลังจากนั่งสมาธิเสร็จก็มีการกล่าวคำอธิฐานประจำวันซึ่งเราว่าเนื้อหาดีมากเลย ขอนำมาแทรก ระหว่างการเล่าหน่อยละกัน มีเนื้อหาดังนี้

“บุญใด ที่ข้าพเจ้าได้ทำในบัดนี้ เพราะบุญนั้น และการอุทิศแผ่ส่วนบุญนั้น
ขอให้ข้าพเจ้า ทำให้แจ้ง โลกุตรธรรมเก้า ในทันที
ข้าพเจ้า เป็นผู้อาภัพอยู่ ยังต้องท่องเที่ยวไป ในวัฏสงสาร
ขอให้ข้าพเจ้า เป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงแท้ ได้รับพยากรณ์ แต่พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ถึงฐานะ แห่งความอาภัพ ๑๘ ประการ
ขอให้ข้าพเจ้า พึงเว้นจากเวรทั้ง ๕ พึงยินดีในการรักษาศีล ไม่เกาะเกี่ยวในกามคุณทั้ง ๕ พึงเว้นจากเปลือกตมดังกล่าว คือ กามคุณ
ขอให้ข้าพเจ้า ไม่พึงประกอบด้วย ทิฐิชั่ว พึงประกอบด้วย ทิฐิที่ดีงาม ไม่พึงคบมิตรชั่ว พึงคบแต่บัณฑิตทุกเมื่อ
ขอให้ข้าพเจ้า เป็นบ่อที่เกิดแห่งคุณ คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ความเพียร และขันติ พึงเป็นผู้ที่ ศัตรูครอบงำไม่ได้ ไม่เป็นคนเขลา คนหลงงมงาย
ขอให้ข้าพเจ้า เป็นผู้ฉลาดในอุบาย แห่งความเสื่อม และความเจริญ เป็นผู้เฉียบแหลม ในอรรถและธรรม ขอให้ญาณของข้าพเจ้า เป็นไปไม่ข้องขัด ในธรรมมะที่ควรรู้ ประดุจลมพัดไปในอากาศฉะนั้น
ความปรารถนาใดๆ ของข้าพเจ้า ที่เป็นกุศล ขอให้สำเร็จ โดยง่ายทุกเมื่อ คุณที่ข้าพเจ้า กล่าวมาแล้วทั้งปวงนี้ จงมีแก่ข้าพเจ้า ทุกภพทุกชาติ
เมื่อใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสดงธรรมเครื่องพ้นทุกข์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เมื่อนั้น ขอให้ข้าพเจ้า พ้นจากกรรมอันชั่วช้าทั้งหลาย เป็นผู้ได้โอกาส แห่งการบรรลุธรรม
ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ความเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้บรรพชา อุปสมบทแล้ว เป็นคนรักศีล มีศีล ทรงไว้ซึ่งพระศาสนา ของพระบรมศาสดา
ขอให้เป็นผู้มีการปฏิบัติธรรมได้ โดยสะดวก ตรัสรู้ได้พลัน กระทำให้แจ้ง ซึ่งอรหัตผลอันเลิศ อันประดับด้วยธรรมมะ มีวิชชาเป็นต้น
ถ้าหากพระพุทธเจ้า ยังไม่บังเกิดขึ้น แต่กุศลกรรมของข้าพเจ้า เต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ญาณ เป็นเครื่องรู้ เฉพาะตน อันสูงสุดเทอญ.”

หลังจากกล่าวคำอธิฐานประจำวัน ก็จะมีการนั่งล้อมวงกันเล่าธรรมะ ก่อนเล่าจะมีการยกมือไหว้สวัสดีแนะนำตัวกันแต่ละคน เนื่องจากมีสมาชิกใหม่เข้ามา(ก็ผมนั่นแหละ) ซึ่งเราชอบช่วงนี้ที่สุดเลย เพราะสนุกมากและเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย โดยพี่ๆจะเอาชาดกบ้าง หัวข้อธรรมะต่างๆบ้าง ประสบการณ์ที่ไปเจอมาแต่ละวันแล้วสามารถเก็บเป็นข้อคิดได้บ้าง มาเล่าให้เราฟัง อ้อลืมบอกไป ในชมรมเรากับเพื่อนเด็กสุดคือเรียนอยู่ปวช.2เท่านั้น พี่ๆเขาเรียนปริญญาตรีไม่ก็ปวส.กันหมดแล้ว พี่ๆเขาก็จะผลัดกันเล่า และพอพี่แต่ละคนเล่าเสร็จ ก็จะมีการกล่าวอนุโมทนาสาธุกันทุกครั้ง นี่ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เพิ่งเคยเจออีกเช่นกันรู้สึกแปลกดีว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้นทุกครั้งด้วย(ตอนหลังถึงเข้าใจว่า การเล่าธรรมะเป็นบุญที่เกิดจากการแสดงธรรมที่เรียกว่าธัมมเทศนามัย เราเลยอนุโมทนาบุญกับเขาซึ่งเราก็จะได้บุญไปด้วยเรียกว่าปัตตานุโมทนามัย ซึ่งทั้งสองนี้อยู่ในบุญกริยาวัตถุ10ประการ นอกจากนี้ยังเป็นการให้กำลังใจแก่ผู้เล่าธรรมะด้วย)

หลังจากเล่าธรรมะเสร็จ ก็จะเป็นช่วงที่เราชอบอีกเช่นกัน คือ พี่ๆจะนำน้ำปานะมาแจก เป็นนมบ้าง น้ำผลไม้บ้าง ซึ่งกินได้ทั้งศีล5และศีล8 เราเลยซัดซะเต็มคราบ ก็หิวนี่ครับ ไม่เคยถือศีล8เลย ถือเป็นครั้งแรก ไม่เคยถือศีล8ไม่เท่าไหร่ ปกติกินข้าวครบ3มื้อ บางวัน4มื้อด้วยซ้ำ ระหว่างกินก็คุยเรื่องต่างๆกันไป เพื่อนเราเลยเอาหนังสือธรรมะจากชั้นหนังสือมาให้เรากลับบ้านไปอ่าน ชื่อเดินไปสู่ความสุข เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ประวัติของหลวงปู่วัดปากน้ำ ประวัติของคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เรื่องของหลวงพ่อทัตตชีโว และหลวงพี่อีกหลายๆรูป ที่อยู่ในหมู่คณะยุคบุกเบิกรุ่นแรก ที่สร้างวัดพระธรรมกาย ซึ่งเราอ่านแล้วชอบทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะเรื่องของหลวงพ่อทัตตะฯ ที่ท่านเล่าเรื่องของท่าน ตอนก่อนที่จะมาเจอหลวงพ่อธัมมะฯที่เป็นรุ่นน้องที่เกษตรศาสตร์ และมาเจอคุณยายอาจารย์ ขอเล่าแทรกนิดนึงนะครับเพราะผมชอบมาก เรื่องมีประมาณว่า

ก่อนที่หลวงพ่อทัตตะฯจะมาเจอกับหลวงพ่อธัมมะฯและคุณยาย ท่านอยากเป็นขุนแผน คือท่านเป็นคนกาญจนบุรี และสนใจไสยศาสตร์ต่างๆ เลยอยากเป็นแบบขุนแผน ก็เลยเสาะหาอาจารย์ เพื่อเรียนไสยเวทย์ แล้วก็เรียนได้ดีเสียด้วยทำได้ตั้งหลายอย่าง สามารถเอามือจุ่มลงไปในกระทะกล้วยแขก หยิบกล้วยแขกร้อนๆขึ้นมากินได้ สามารถดูดปรอทมาใส่ไว้ในมือ หากไปแตะใครก็สามารถปล่อยเข้าไปสู่ตัวคนคนนั้นได้ คนที่โดนใส่ปรอท ก็จะมีอาการเหมือนแพ้พิษปรอทตาย แต่ท่านไม่เคยไปทดลองกับใครนะครับท่านเรียนมาจากอาจารย์เฉยๆ ต่อมามาเจอหลวงพ่อธัมมะซึ่งเป็นรุ่นน้องที่เกษตรฯ ถูกชะตาก็เลยจะถ่ายทอดวิชาให้ แต่หลวงพ่อธัมมะท่านไม่เอา(ตอนนั้นหลวงพ่อธัมมะท่านเรียนธรรมะกับคุณยายแล้ว แล้วได้ธรรมะแล้วด้วย) หลวงพ่อทัตตะท่านจึงจะโชว์วิชาท่านให้ดู ปรากฏว่าไม่สำเร็จครับ วิชาคุณไสยต่างๆ ที่เคยทำได้ ไม่สามารถใช้ได้เลย ก็เลยสงสัย ก็เลยถามหลวงพ่อธัมมะ หลวงพ่อธัมมะท่านก็เลยอธิบายให้ฟังว่า วิชาคุณไสยสู้วิชชาพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก วิชาคุณไสยเลยเสื่อม ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อทัตตะท่านทิ้งวิชาคุณไสยโดยสิ้นเชิง หันมาศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง จนได้มาเจอคุณยาย และได้มาร่วมสร้างวัด จนมาเป็นวัดพระธรรมกายที่ใหญ่โตเช่นทุกวันนี้


ถึงไหนแล้วเนี่ย อ้อ หลังจากทานน้ำปานะเสร็จก็บูชาพระอีกครั้ง และก็ออกจากชมรม ระหว่างทางที่เดินออกมา ก้อคุยกันมาเรื่อยๆ เพราะกว่าจะถึงประตูทางออกก็ไกลมากเลย ตอนนั้นสถาบันมีประตูทางออกประตูเดียว คือประตูใหญ่ด้านหน้า แน่นอนเรื่องที่คุยกันก็มีแต่เรื่องธรรมะล้วนๆ จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่า ยังมีสังคมแบบนี้อยู่ในโลกอีกหรือ ต้องบอกก่อนว่า สถาบันที่ผมศึกษาอยู่เป็นสถาบันช่าง ซึ่งก็รู้ๆอยู่ว่าเป็นอย่างไร สุรานารีพาชีกีฬาบัตรครบ เข้ามาตอนปวช.ครั้งแรกตอนรับน้อง รุ่นพี่ก็ชวนกินเหล้าซะแล้ว อายุ15เองนะครับ

พวกเราเดินทางถึงประตูทางออกต่างก็กล่าวอนุโมทนาบุญซึ่งกันและกันอีกครั้ง และก็แยกย้ายกันกลับ วันนั้นผมรู้สึกปลื้มปิติใจเป็นอย่างมาก มีโอกาสได้ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา กลับถึงหอด้วยความเบิกบานหลับอย่างเป็นสุขที่ไม่เคยพบมาก่อนเลยในชีวิต หลับสนิทจนกระทั่งรุ่งเช้า

หลายๆคนอ่านถึงตอนนี้อาจจะนึกว่าตั้งแต่วันนั้นชีวิตผลก็เปลี่ยนเข้ามาสู่เส้นทางการสร้างความดีอย่างเต็มตัวใช่ไหมครับ... ไม่ใช่เลยครับ หลับไปตื่นขึ้นมา สายเหมือนเดิม ไปเรียนตามปกติ คบเพื่อนฝูงตามปกติ ศีล5ไม่ครบตามปกติ แต่ผมเริ่มมาตักบาตรทุกสัปดาห์เพราะทำแล้วรู้สึกดี เข้าไปที่ชมรมบ่อยขึ้นเพื่อหาหนังสือธรรมะอ่านก็แค่นั้น จนเวลาผ่านไปหลายเดือน พี่ๆได้ชวนผมไปวัดพระธรรมกาย ในโครงการน้องใหม่ไปวัด ที่ทางชมรมจัดขึ้น ผมก็เลยมีโอกาสไปวัดพระธรรมกายเป็นครั้งแรกตอนต้นปี 2538

การไปวัดพระธรรมกายตอนแรกของผม พี่ๆพาเข้าไปในในเขตวัด 196 ไร่ ซึ่งสงบร่มเย็นมีแมกไม้เต็มไปหมด(ในตอนนั้นเนื้อที่ 2000 ไร่ ในปัจจุบันยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่ง ตอนนั้นหลวงพ่อธัมมะท่านเพิ่งมีดำริสร้างมหาธรรมกายเจดีย์เท่านั้น เพิ่งเริ่มปรับพื้นที่) พาเข้าไปที่โบสถ์ที่มีรูปทรงที่แปลกตา แต่ผมไม่ได้แปลกใจอะไร เหมือนที่ใครหลายๆคนเป็นนะครับ เพราะผมเป็นเด็กรุ่นใหม่พอสมควร เรียนสายวิทย์สายช่างมาตลอด ก็ดูว่าเป็นสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งเท่านั้น พี่ๆอธิบายว่า ที่หลวงพ่อท่านสร้างโบสถ์ออกมาแบบนี้ไม่ได้ต้องการจะทำให้แปลกแยกอะไร เพียงแต่ตอนสร้างโบสถ์มีโจทย์ว่า ต้องเรียบง่ายและคงทนหากชำรุดก็ต้องซ่อมได้ง่ายๆ รูปแบบโบสถ์จึงออกมาเป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีการตกแต่งให้วิจิตรพิสดารมีรูปฝาผนังเหมือนอย่างที่อื่น เพราะมองว่าการประดับด้วยกระจกสี หรืออะไรต่างๆ ล้วนสิ้นเปลืองและหากชำรุดก็ซ่อมยาก ปัจจุบันช่างทางนี้ก็หายากอยู่แล้วอนาคตไม่ต้องพูดถึง แล้วถ้าชำรุดซ่อมทีก็แพง ส่วนตกแต่งต่างๆก็ชำรุดได้ง่าย เพราะโจทย์ตอนแรกบอกว่าต้องคงทน คือ ต้องอยู่ได้ร้อยปีโดยไม่ต้องซ่อมหรืออย่างน้อยๆก็ต้องห้าสิบปี จากวันนั้นถึงวันนี้ เกือบ30ปีแล้วไม่มีการซ่อมโบสถ์เลย(วัดพระธรรมกายเริ่มสร้างมาถึงตอนนี้34ปีแล้ว แต่โบสถ์สร้างทีหลังจึงมีอายุเกือบ30ปี)

การไปวัดพระธรรมกายครั้งแรกของผมไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษเพราะผมมองว่า ก็เหมือนวัดทั่วไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดใจผมคือ พระประธานในโบสถ์ที่เข้าไปกราบท่าน เนื่องด้วยตั้งแต่เล็กจนโต เห็นพระพุทธรูปมาเยอะ ขอโทษนะครับ ในความรู้สึกของผมดูว่าไม่น่าจะใช่คน คนอะไรหูยานขนาดนั้น นิ้วก็เท่ากันหมดอีก อันนี้ความรู้สึกตอนก่อนนั้นที่ยังไม่เคยรู้เรื่องอะไรนะครับ หากใครอ่านถึงตอนนี้แล้วรู้สึกขัดใจผมต้องขอโทษด้วย เพราะผมเล่าเรื่องนี้จากประสบการณ์ในชีวิตของผมจริงๆ แต่พระประธานในโบสถ์ที่วัดพระธรรมกายไม่เป็นอย่างนั้น ดูแล้วเห็นว่าเหมือนคนมากกว่า ดูเรียบง่ายไม่มีการตกแต่งให้วิจิตรพิสดารอะไร เหมือนตัวโบสถ์นั่นแหละ แต่ดูสง่างามสมส่วน และแฝงไปด้วยพลังอย่างน่าประหลาด หากใครยังไม่เคยเห็นเข้าไปพิสูจน์ได้นะครับ

เล่ามาถึงตอนนี้ต้องขอชี้แจงเรื่องบางเรื่องเสียหน่อย ที่บอกว่าวัดพระธรรมกายลึกลับห้ามเข้า อันนี้ไม่จริงครับ ขนาดผมไปวัดครั้งแรกยังเข้าไปได้ทุกที่ จะมีส่วนทีไม่ให้เข้าจริงๆ ก็แค่ส่วนของสังฆาวาส(ที่พักของคณะสงฆ์) แต่ก็ห้ามเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นผู้ชายไม่ได้ห้าม ตรงนี้ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน ทำไมให้ผู้หญิงเข้า เนื่องด้วยพระแต่ละท่านยังไม่หมดกิเลส หลายๆท่านยังเป็นปุถุชนที่กิเลสพร้อมจะฟุ้งได้เสมอ หากได้เจอกับข้าศึกของพรหมจรรย์บ่อยๆเดี๋ยวจะยุ่ง กันไว้ดีกว่าแก้ หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่าต้องกันผู้หญิงขนาดนั้นเลยหรือ เนื่องด้วยพระภิกษุที่อยู่ประจำวัดพระธรรมกายนั้นตั้งใจบวชอุทิศชีวิตกันทั้งนั้น ดังนั้นอะไรที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ต้องกันไว้ก่อน แต่วันนั้นที่ไปไปกันเป็นหมู่คณะหลายๆคนมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ขออนุญาตชมวัด ทางวัดก็อนุญาตนะครับ แต่ต้องขออนุญาตก่อน เพราะเขตนี้ยังไงก็ไม่ให้ผู้หญิงเข้า ถ้าจะเข้าต้องขออนุญาต

จะมีอีกที่ที่ไม่ให้เข้า แต่ก็ไม่ถึงกับห้าม คือ อาคารภาวนา ซึ่งเป็นที่ทำสมาธิของพระภิกษุสงฆ์ อันนี้ทั้งผู้ชายผู้หญิง ผู้หญิงไม่ต้องพูดเข้าไม่ได้อยู่แล้วเพราะอยู่ในเขตสังฆาวาส แต่ผู้ชายก็ควรเลี่ยง เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนการทำสมาธิของพระภิกษุท่าน แต่หากจำเป็นต้องผ่านจริงๆก็ให้เงียบๆไม่ส่งเสียงดัง

อ่านที่ผมเล่ามาแล้ว อาจจะดูมีกฎเกณฑ์เยอะไปหน่อย แต่ก็นั่นแหละ ทำให้วัดพระธรรมกายดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมาถึงทุกวันนี้ หลังๆมานี้กฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้ ผ่อนปรนลงมาเยอะ เนื่องด้วยมีคนมาวัดพระธรรมกายเยอะขึ้น และหลายๆคนไม่เข้าใจ ก็เอาไปพูดในทางเสียหาย อย่างที่หลายๆท่านเคยได้ยินมานั่นแหละ

หลังจากที่ได้ไปวัดพระธรรมกายกลับมาแล้ว ก็เหมือนเดิมครับ ทำตัวเหมือนเดิม จนกระทั่งใกล้ๆ จะปลายเทอม2ของปวช.2 เพื่อนผมคนเดิมชวนบวชครับ ก็อบรมธรรมทายาทนั่นแหละครับ(อิๆ เข้าเรื่องธรรมทายาทจริงๆเสียที) เหมือนเดิมครับปฏิเสธครับ ยังมีความคิดแบบคนทั่วไปว่า จะบวชเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อน ไว้เรียนจบก่อนค่อยบวชก็ได้(หมายถึงจบปริญญาตรีนะครับ) ไอ้บวชน่ะบวชแน่ เพราะหลังจากที่ได้ไปตักบาตรวันนั้น จนถึงวันนี้ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหลายอย่าง จนกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมเลือกที่จะนับถือพระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธเพราะผมเลือกเอง ไม่ได้ได้มาโดยทะเบียนบ้าน ยังไงผมก็ต้องบวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ ให้ท่านได้บุญไปกับผม เพื่อนผมชวนบวชอยู่เรื่อยๆ ผมก็ปฏิเสธเรื่อยมา จนกระทั่งมีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผม อันที่จริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับผมเลย แต่มันทำให้ผมคิดได้ จึงตัดสินใจบวช เหตุการณ์ที่ว่าคือ

คุณพ่อของรุ่นพี่ที่ชมรมพุทธศาสตร์เสียชีวิต ซึ่งรุ่นพี่คนนี้เป็นคนที่ผมเคารพมาก ไม่ใช่เคารพเพราะพี่เขาแก่กว่า แต่เพราะคุณธรรมในตัวพี่เขาหลายๆอย่างที่ได้แสดงให้ผมเห็น ว่าฝึกตัวมาดีแล้ว ตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ตอนนี้พี่เขาเป็นอุบาสก ช่วยงานเผยแผ่พระศาสนาอยู่ที่ญี่ปุ่น) ผมได้ไปร่วมงานศพคุณพ่อของพี่เขา พี่เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนคุณพ่อเสียชีวิต พี่เขาได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีจนกระทั่งจวบจนวาระสุดท้ายของคุณพ่อ คือ ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตนั้นท่านป่วยนอนอยู่ที่โรงพยาบาล พี่ผมคนนี้หลังจากเลิกเรียนแล้วก็แวะไปเยี่ยม ท่านก็บ่นกับพี่ผมว่านอนไม่หลับ พี่ผมก็เลยนำท่านทำสมาธิ โดยสอนตามที่ได้รับรู้มาจากครูบาอาจารย์นั่นแหละ คุณพ่อท่านก็ทำตาม จนกระทั่งท่านเริ่มนิ่งไป ลมหายใจก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ รุ่นพี่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเป็นอาการปกติของคนทำสมาธิ จนกระทั่งท่านนิ่งไป พี่ผมก็นั่งเฝ้าคุณพ่อต่อไป โดยคิดว่าคุณพ่อหลับ จนคุณหมอได้เข้ามาตรวจตามปกติ จึงได้บอกพี่ผมว่าคุณพ่อท่านเสียชีวิตแล้ว เท่านั้นแหละครับ พี่ผมเล่าว่า ปล่อยโฮเลย พี่ผมบอกว่า นี่ขนาดฝึกตัวมาเยอะนะ รู้ธรรมะก็เยอะ พ่อก็ป่วยมานาน ทำใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดร้องไห้ไม่ได้(ผมว่าไม่แปลกอะไรขนาดพระอานนท์เป็นถึงพระโสดาบันก็ยังร้องไห้ตอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพาน) รุ่นพี่ผมบอกต่อไปว่านี่ดีนะ ที่ได้ตอบแทนคุณท่านจนถึงวินาทีสุดท้าย หลายๆคนคงทราบ ว่าหากตายอย่างสงบในขณะจิตเป็นสมาธิ รับรองไปสุคติแน่นอน เพราะการอบรมธรรมทายาทแท้ๆ เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย และทำให้ท่านได้ตอบแทนคุณคุณพ่อได้อย่างแท้จริงคือ ปิดอบายให้ท่าน

ผมได้ฟังถึงตอนนี้ผมอึ้งเลย ย้อนมาดูตัวเอง หากพ่อผมเป็นอะไรไปตอนนี้ ผมจะมีความสามารถที่จะช่วยพ่อได้เหมือนพี่เขาไหมนี่ พ่อผมอายุมากกว่าพ่อพี่เขาอีกเนื่องจากมีลูกตอนอายุมากแล้ว และผมเป็นคนสุดท้อง ตอนนั้นผมตอบตัวเองได้เลยว่าผมช่วยพ่อไม่ได้แน่ๆ ตัวเองความรู้งูๆปลาๆยังเอาตัวไม่รอด จะไปช่วยใครได้ หากจะหาความรู้มาช่วยคนอื่นได้ก็ต้องได้จากการบวชนี่แหละ เริ่มมีความคิดที่จะบวชแล้ว แต่ก็นั่นแหละนะยังคิดว่า พ่อเราแข็งแรงมาโดยตลอด ป่วยสักครั้งก็ไม่เคยเห็น เป็นอย่างมากก็แค่หวัด ไม่เป็นไรน่ะ รอเรียนจบอีแค่หกปีเอง หลังจากวันนั้นมาไม่ถึงอาทิตย์ ก็ได้มีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทำให้ตัดสินใจบวชทันที เหตุการณ์ที่ว่าคือ

รุ่นพี่ชมรมพุทธศาสตร์เกษตรศาสตร์เสียชีวิต ซึ่งผมไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรพี่เขา เพียงแต่รุ่นพี่ผมรู้จัก ก็เลยมาเล่าให้ฟัง คนอื่นฟังก็คงเฉยๆ แต่สำหรับผมแล้วสะกิดใจอย่างแรง เรื่องมีดังนี้ พี่เขาเข้าไปช่วยงานที่วัดพระธรรมกาย โดยเป็นอาสาสมัครคอยอำนวยความสะดวกให้สาธุชนที่มาวัด เป็นจราจรคอยโบกรถให้วิ่งตามเส้นทาง และจัดจอดรถบัสที่พาสาธุชนมาวัดให้เป็นระเบียบ สาธุชนจะได้ไม่หลงและจะได้ไม่ตกรถ(วัดพระธรรมกายจัดรถบัสรับสาธุชนมาวัดตามจุดต่างฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ) ขณะที่กำลังรับบุญช่วยงานอยู่นั้น พี่เขาโดนรถบัสถอยมาชนเสียชีวิต ที่ลานจอดรถบัสบริเวณพื้นที่2000ไร่ภายในวัด ผมฟังแล้วอึ้งอีกเช่นกัน ภายในวัดปกติอันตรายไม่ค่อยมี แล้วอีกอย่างพี่เขาก็ทำงานรับบุญอยู่ ก็ยังมาตายในวัด เอาละสิที่นี้ หันมาดูตัวเอง อยู่ข้างนอกอันตรายเพียบ แถมบุญอะไรก็ไม่มี ยังสำมะเรเทเมาอยู่เลย หากเราเกิดอุบัติเหตุตายขึ้นมาล่ะ เริ่มคิดถึงการบวชอีกแล้ว ตอนที่คุณพ่อของรุ่นพี่เสียชีวิต เราคิดว่าอีกแค่หกปีเอง มาถึงตอนนี้คิดใหม่ว่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะสามารถรักษาลมหายใจได้ถึงหกปี อุบัติเหตุไม่เข้าใครออกใคร รอถึงหกปีถ้าจะไม่ได้การเสียแล้ว หากตายก่อนไม่ได้บวชแน่ ก็เลยตัดสินใจบวชทันที

มาถึงตอนนี้ ขอชี้แจงเรื่องบางเรื่องอีกเช่นเคย มีบางคนบอกว่า วัดพระธรรมกายสอนให้ลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญูต่อพ่อแม่ ทุกท่านก็ลองอ่านเรื่องรุ่นพี่ของผมคนนี้ดูละกัน เป็นลูกที่กตัญญูอย่างเต็มเปี่ยม จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อ และเป็นการกตัญญูที่สูงมากด้วยคือปิดอบายให้ท่าน

อีกเรื่องหนึ่งคือ คนไม่มีเงิน ไปวัดพระธรรมกายไม่ได้ อันนี้ก็ไม่จริง ผมไม่มีเงินผมไปวัดได้สบาย รถวัดก็จัดมารับขึ้นฟรี ไปถึงก็มีอาหารจัดไว้ไห้กินฟรีอีก หลายครั้งที่ผมไปวัดโดย ไม่มีเงินสักบาท ไปกินข้าวที่วัดเสร็จ แต่เวลามีผมก็ร่วมทำบุญคืนนะครับ ไม่ได้ไปเอาของวัดอย่างเดียว บาปแย่

เรื่องธรรมทายาท ผมคงไม่เล่าอะไรมากเนื่องจากจะคล้ายๆ กับที่คุณอำนาจได้โพสไว้ ผมจะเล่าในส่วนที่แตกต่างออกไปเท่านั้น

เริ่มเล่าส่วนที่ต่างเลยนะครับ ตอนที่ผมอบรมธรรมทายาท ต้นปี2538 ช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ เป็นธรรมทายาทรุ่นที่23 ซึ่งผมเป็นนักศึกษาระดับปวช.เท่านั้น ปกติจะต้องอบรมธรรมทายาทรุ่นมัชชิม(การอบรมธรรมทายาทจะแบ่งเป็น ยุวธรรมทายาท มัชชิมธรรมทายาท และธรรมทายาทอุดมศึกษา โดยแต่ละประเภทแบ่งตามเกณฑ์อายุและการศึกษา เพื่อจะได้จ้ดการอบรมให้เหมาะกับวัยวุฒิและคุณวุฒิ) แต่เนื่องจากสถาบันการศึกษาที่ผมได้ศึกษาอยู่สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย จึงได้อบรมธรรมทายาทรุ่นอุดมศึกษาไปโดยปริยาย ซึ่งพอเข้าไปก็เป็นเด็กท้ายๆแถวเลยละครับ เพราะเขาเรียงตามอายุอย่างที่คุณอำนาจบอก

เริ่มต้นการอบรมด้วยการปฐมนิเทศ ที่หอประชุมคณะวิศวะจุฬา พ่อแม่พี่น้องจะมาส่งลูกหลานที่นี่ แล้วเข้าฟังการปฐมนิเทศด้วยกัน หลังการปฐมนิเทศ ธรรมทายาททั้งหมดจะขึ้นรถบัสเพื่อไปฝึกภาคสนามที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง จุดประสงค์ก็เพื่อทดสอบความอดทนและระเบียบวินัย และได้ทำความรู้จักกัน ถามว่าทำไมต้องทดสอบความอดทน เพราะการบวชไม่ใช่เรื่องสบายแน่ๆ เพราะถ้

#2 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 01:58 PM

Anu moo tha na boon with all your boon na kah.....Sathu kah You was only a teenager when you start the path to pursue boon baramee happy.gif
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#3 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 06:48 PM

สาธุครับผม

#4 tnawut

tnawut
  • Moderators
  • 2398 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Laksi
  • Interests:Internet, Computer, Electronic, Security, Merit, Meditation, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, ทำบุญ, ปล่อยปลา, บูชาเจดีย์, ฝันในฝัน, DOU, หมู่บ้านปฏิบัติธรรม, บวช, บรรพชา, Web, CU, Chula

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 10:32 PM

อ่านเรื่องทั้งหมดแล้ว ย้อนนึกถึงการอบรมได้อย่างดีเลยครับ ผ่านไปเกือบ 20 ปีที่เคยอบรม นึกถึงก็ยังปลื้มครับ

ขออนุโมทนาบุญครับ

#5 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 10:50 PM

สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

#6 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 25 February 2006 - 02:20 AM

ขอกราบอนุโมทนาบุญทุกบุญ ในธรรมทานของคุณ หนึ่ง
และที่สำคัญ คณะจัดโครงการอบรมธรรมทายาท ,ชมรมพุทธศาสตร์สากล
และทุกคนที่มีส่วนร่วม สนับสนุน การทำความดี การสร้างคนดีให้สังคม
โดยเฉพาะคณะบุกเบิกสร้างวัดพระธรรมกาย ครับ สาูธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆ





#7 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 February 2006 - 03:06 PM

อนุโมทนาบุญซึ่งกันและกันกับทุกท่านครับ...สาธุ
I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.

#8 huy072

huy072
  • Members
  • 168 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:เชียงใหม่

โพสต์เมื่อ 26 February 2006 - 08:33 PM

สาธุๆ อนุโมทนาบุญด้วยคะ
อยากบวชเหมือนกันติดตรงที่เป็นผู้หญิง
ได้อ่านแล้วซึงมากเลย
อยากทดแทนบุญคุญพ่อแม่เหมือนกันคะ

#9 saowanee15

saowanee15
  • Members
  • 207 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 February 2006 - 02:25 PM

ชาตินี้ กรรมกาเมส่งผล เลยอดเลยค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ ^/\^

#10 VCO

VCO
  • Members
  • 322 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 February 2006 - 02:34 PM

อนุโมทนาบุญด้วยค่า

#11 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 28 February 2006 - 04:38 PM

ขอกราบอนุโมทนาบุญทุกบุญ ในธรรมทานของคุณ หนึ่ง
และที่สำคัญ คณะจัดโครงการอบรมธรรมทายาท ,ชมรมพุทธศาสตร์สากล
และทุกคนที่มีส่วนร่วม สนับสนุน การทำความดี การสร้างคนดีให้สังคม
โดยเฉพาะคณะบุกเบิกสร้างวัดพระธรรมกาย ครับ สาูธุๆ

ผู้ชายโชคดีที่ได้บวช แต่ผู้หญิงแม้จะบวชกายไม่ได้แต่สามารถบวชใจได้
summer นี้กับโครงการอบรมธรรมทายาทหญิงค่ะ

#12 laity

laity
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 11:14 AM

สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยครับ
อย่าให้อุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางในชีวิตการสร้างบารมี และ
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา

โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น