ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระ เมื่อละสังขารแล้วไปไหนครับ ?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 13 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 กำเนิดธรรม

กำเนิดธรรม
  • Members
  • 17 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 08:41 PM

-----พระอรหันต์ พระเกจิ รวมถึงพระที่ยังตัดกิเลสไม่หมดเมื่อละสังขารแล้วไปอยู่ที่ไหนกันครับ ?
-----ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตโพธิสัตธิ์ ใครบ้างครับที่สามารถไปอยู่ได้ครับ ? มีสูงกว่าชั้นนี้อีกไหมครับ ?
-----เรียนท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ
-----อนุโมทนาบุญล่วงหน้าครับ

#2 ideal

ideal
  • Members
  • 605 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:TRANG
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 09:59 PM

QUOTE
-----ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตโพธิสัตธิ์ ใครบ้างครับที่สามารถไปอยู่ได้ครับ ? มีสูงกว่าชั้นนี้อีกไหมครับ ?



ปรโลกฝ่ายสุคติ
เทวภูมิ หรือ สวรรค์
(มี 6 ชั้น) คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี



http://www.dmc.tv/pa...ide/page01.html


#3 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 10:07 PM

QUOTE
พระอรหันต์ พระเกจิ รวมถึงพระที่ยังตัดกิเลสไม่หมดเมื่อละสังขารแล้วไปอยู่ที่ไหนกันครับ ?

พระอรหันต์เมื่อนิพพานแล้วไปนิพพานครับ ส่วนพระเกจิ และพระภิกษุที่ยังไม่หมดกิเลส ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารอยู่ครับ ส่วนจะไปอยู่ที่ใด ก็ขึ้นกับกรรมที่ท่านเหล่านั้นได้ทำล่ะครับ บางท่านไปสวรรค์ บางท่านไปพรหมโลก บางท่านบวชแล้วปฏิบัติไม่ดี ไปนรกก็มีครับ อย่างพระเทวทัตไงครับ

QUOTE
ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตโพธิสัตธิ์ ใครบ้างครับที่สามารถไปอยู่ได้ครับ ? มีสูงกว่าชั้นนี้อีกไหมครับ ?

ใครก็สามารถไปอยู่ได้ครับ หากมีความคิดปรารถนาที่จะสร้างบารมี ตามติดครูบาอาจารย์ เพื่อรื้อวัฏฏะนี้ครับ ส่วนวงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ เป็นส่วนหนึ่งในสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๔ ยังไม่สูงสุดนะครับ ในกามภพมีชั้นที่สูงกว่านี้ครับ คือชั้นที่ ๕ และ ๖ คือ นิมานรดี และ ปรนิมมิตวสวัตดี นอกเหนือจากกามภพ ก็ยังมีพรหมโลกอีกครับ
I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.

#4 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 10:25 PM

"......พระมารดาของ กระผม พระโคตมีภิกษุณีนั้นถึงความสงบ เหมือนดวงดาวในเมื่อ พระอาทิตย์ อุทัย ฉะนั้น พระนางยังความรู้พร้อมกันว่า เป็น พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้วไปสู่นิพพาน ในที่ใดถึงคนมี ๕ ตาก็เห็นไม่ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้..."

ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎกhttp://84000.org/tip...3&A=4471&Z=4887

***************************************************************
ในพระไตรปิฎกระบุชัดว่า " พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้วไปสู่นิพพาน"

***************************************************************

พระภิกษุสงฆ์ เฉพาะที่ยังไม่สามารถเจริญ สมาธิ และปัญญาให้บังเกิด หรือบริบูรณ์มั่นคง ถ้าไม่ทำผิดพระธรรมวินัย ก็จะมีสวรรค์เป็นที่ไป โดยมากมักจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นยามา

พระภิกษุสงฆ์ เฉพาะที่ยังไม่สามารถเจริญ ปัญญาให้บังเกิด หรือบริบูรณ์มั่นคง ถ้าไม่ทำผิดพระธรรมวินัย และเจริญสมาธิระดับฌาน 1-4 ขึ้นไป ก็จะมีพรหมโลก ๑๖ ชั้นเป็นที่ไป

พระภิกษุสงฆ์ เฉพาะที่กระทำผิดพระธรรมวินัยปราศจากศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ก็ย่อมมี อบายภูมิเป็นที่ไปครับ

สวรรค์ชั้นดุสิต ตามพระไตรปิฎก คือ ที่สถิตย์อยู่ของพระโพธิ์สัตว์ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตครับ ส่วนการที่จะเป็นเขตไหนหรือวงบุญอะไร? ผมว่าคุณอย่าไปซีเรียสมากเลยครับ ถามว่าใครบ้างที่สามารถไปอยู่ได้ ?
ตอบว่า ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และประกอบแต่กรรมดีให้เจริญในจิตมากเข้าๆ เป็นผู้ที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม และชาวโลก เห็นปัญหาความทุกข์ยากของคนอื่นสำคัญกว่าของตน ถ้าคุณปรารถนาจะอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตคุณก็ต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในทาน ศีล ภาวนา ให้สม่ำเสมอ หารายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน พุทธการกธรรมในห้อง ธรรมกถึกครับ

สูงกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ก็คือ สวรรค์ชั้น นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัสดี ครับ

#5 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 24 February 2006 - 10:36 PM

QUOTE
พระอรหันต์ พระเกจิ รวมถึงพระที่ยังตัดกิเลสไม่หมดเมื่อละสังขารแล้วไปอยู่ที่ไหนกันครับ ?
-----ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตโพธิสัตธิ์ ใครบ้างครับที่สามารถไปอยู่ได้ครับ ? มีสูงกว่าชั้นนี้อีกไหมครับ?

ตอบคำถามที่ ๑ พระอรหันต์เมื่อละสังขารแล้ว ก็ย่อมดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ส่วนพระเกจิอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็เข้าปฏิสนธิในภพภูมิต่างๆ ตามแต่ภูมิธรรมที่ท่านได้บรรลุน่ะครับ (อันนี้ผมไม่ขอตอบนะครับ ไม่ขอตอบไม่ได้แปลว่า ไม่จริงใจนะครับ เนื่องจากในขณะนี้ ผมยังเป็นนักเรียนอนุบาลที่ยังต้องฝึกฝนอบรมตนเองอยู่ ไม่มีภูมิธรรมสูงเสมอพอที่จะไปตรวจสอบท่านเหล่านั้นได้น่ะครับ)

ตอบคำถามที่ ๒ ผู้ที่สามารถไปสู่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษฯ ได้ ก็คือ ผู้ที่มีจิตปรารถนาจะรื้อสัตว์ ขนสัตว์ ปราบมาร รื้อวัฏสงสารให้หมดสิ้น ตราบกระทั่งไปถึงที่สุดแห่งธรรม อีกทั้งบารมีกุศล คือ การประกอบเหตุเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ต้องพอเหมาะพอสมกับการรองรับของภพภูมิดังกล่าวด้วยนะครับ หากสร้างบุญสร้างบารมีแบบไม่ทุ่มเท ไม่เอาจริงเอาจัง แล้วหวังขออธิษฐานไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษนี่ ไปไม่ถึงหรอกครับ สรุปว่า ต้องดูที่กำลังและความเพียรในการประกอบเหตุเป็นหลักนะครับ ส่วนภพภูมิที่สูงกว่าดุสิตบุรีนั้น ได้แก่ นิมมานรดี และปรนิมมิตวัตสวัตตี (นี่ฝ่ายเทวโลก)

=> ปาริสัชชา ปุโรหิตา มหาพรหมมา ปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา เวหัปผลา อสัญญีสัตตา อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา (นี่ฝ่ายของรูปพรหมภูมิ)

=> อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะหรือภวัคคพรหม (นี่ฝ่ายของอรูปพรหมภูมิ)

สูงไปกว่านั้น คือ ภพภูมิที่พ้นออกแล้วอย่างสงบจากภพ ๓ และกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย อันมีสภาวะเป็นเอกันตบรมสุข คือ นิพพาน ครับ

#6 Streamdhamma

Streamdhamma

    หยุด นิ่ง เฉย ได้ไหม

  • Members
  • 528 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 26 February 2006 - 09:17 PM

สวรรค์ไม่ได้มีถึง เจ็ด ชั้นหรอค่ะ ตามที่กล่าวๆกันมา
"เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"



#7 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 26 February 2006 - 10:01 PM

สวรรค์เจ็ดชั้นนั้นเป็นของศาสนาอื่นครับ
ของพุทธมีหกชั้นเท่านั้น
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)

#8 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 27 February 2006 - 10:20 AM

อ่านแล้วนึกถึงคำพูดของบรรพบุรุษที่ว่า "กรุงศรีอยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี" ตอนนี้ก็เช่นกันครับ มีความรู้สึกว่า "พระพุทธศาสนา ก็ยังไม่สิ้นคนดี" ที่มีความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาในระดับที่นำมาใช้เป็นที่พึ่งให้กับตนเองและผู้อื่นได้ ทั้งในระดับเบื้องต้น และท่ามกลาง ส่วนในระดับเบื้องสูงสุด ถึงแม้จะยังไม่บรรลุกัน แต่ก็มีแนวทางกันไว้แล้ว คือ เดินตามรอยเท้าพ่อ ตั้งแต่สมเด็จพ่อ คือ พระพุทธเจ้า เรื่อยๆ มาๆ จนถึงหลวงปู่ และก็หลวงพ่อในปัจจุบัน อย่างนี้ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#9 ปาลินารี

ปาลินารี
  • Members
  • 258 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 February 2006 - 08:36 PM

สาธุ สาธุ กระทู้นี้ ชุมนุมผู้รู้

#10 potisut

potisut
  • Members
  • 33 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 February 2006 - 11:11 PM

1.คำถาม -----พระอรหันต์ พระเกจิ รวมถึงพระที่ยังตัดกิเลสไม่หมดเมื่อละสังขารแล้วไปอยู่ที่ไหนกันครับ ?

ตอบ พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วเมื่อละสังขารแล้วไปนิพพานคับ(คือ ถอดกายอรหัตละเอียดเข้านิพพานนะคับ ส่วนพระเกจิอาจารย์ที่บวชตลอดชิวิตเพื่อบำเพ็ญสมณะส่วนใหญ่ท่านจะไป สวรรค์ชั้น ยามา คับ(ส่วนใหญ่นะคับ)ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพูดคับ

2.คำถาม ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตโพธิสัตธิ์ ใครบ้างครับที่สามารถไปอยู่ได้ครับ ? มีสูงกว่าชั้นนี้อีกไหมครับ ?

ตอบ ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษนั้นไปได้ทุกคนคับส่วนมากผู้ที่จะไปจะทำบุญกับคุณยาย หลวงพ่อธัมมะ หรือ หลวงปู่วัดปากน้ำ นะคับ แต่ถ้าจะไปละก็ต้องทำบุญอย่างมากๆนะคับแล้วอธิฐานจิต
ส่วนสวรรค์ชั้นอื่นที่มีสูงกว่านี้ก็มีคับเช่น นิมมานรดี ปรนิมิตรสวัตตี แต่สวรรค์ชั้น ดุสิตนี้มีสิ่งที่แปลกกว่าสวรรค์ชั้นอื่นคับ

#11 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 28 February 2006 - 11:24 PM

QUOTE
แต่สวรรค์ชั้น ดุสิตนี้มีสิ่งที่แปลกกว่าสวรรค์ชั้นอื่นคับ

ถ้าเช่นนั้น แปลกกว่าตรงไหน อย่างไรครับ? (ตอบแบบเป็นกลางๆ พอหอมปากหอมคอนะครับ ห้ามนำเอารายละเอียดในส่วนของธรรมะภาคอจินไตยมาตอบ)


#12 laity

laity
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 March 2006 - 09:12 AM

สาธุ สำหรับบทความดี คำตอบดี ผู้ตอบดี
อย่าให้อุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางในชีวิตการสร้างบารมี และ
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา

โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

#13 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 08 February 2007 - 02:22 PM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ

#14 Santinal

Santinal
  • Members
  • 15 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 June 2008 - 05:53 PM

พระวังคีสเถระ

ท่านพระวังคีสะ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนตามคัมภีร์ในลัทธิของพราหมณ์จนจบไตรเพท และได้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ฉวสีสมนต์ เป็นมนต์สำหรับพิสูจน์กะโหลกซากศพแม้ตายแล้วตั้งสามปี สามารถรู้ว่าไปเกิดเป็นอะไร ณ ที่ไหน และวังคีสพราหมณ์ได้อาศัยมนต์นั้นเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ คือ ในชั้นต้นได้แสดงศิลปะนั้น ให้ปรากฏโดยความจริงแก่พวกชนในพระนครนั้น พวกพราหมณ์ทั้งหลายได้เห็นแล้วคิดกันว่า พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์นี้เลี้ยงชีพได้ จึงได้พาเที่ยวไปสู่ชนบทน้อยใหญ่ ประกาศแก่หมู่มนุษย์ทั้งหลายว่า วังคีสพราหมณ์นี้รู้มนต์วิเศษ คือ ร่ายมนต์แล้วเอาเล็บเคาะที่ศีรษะแห่งสัตว์ที่ตายแล้วย่อมรู้ได้ว่า ผู้นี้ไปบังเกิดในนรก ผู้นี้ไปบังเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ผู้นี้ไปเกิดในเปรตวิสัย ผู้นี้ไปเกิดในเทวโลกฯ พวกมนุษย์ทั้งหลายได้ยินประกาศดังนี้ ก็มีความประสงค์อยากจะถามถึงพวกญาติของตน ๆ บ้าง จึงให้ทรัพย์ตามกำลังของตนมากบ้างน้อยบ้าง แล้วถามถึงที่เกิดของพวกญาติของตน ๆ พวกพราหมณ์เหล่านั้นพาวังคีสพราหมณ์เที่ยวไปในนิคมชนบทอย่างนี้ แล้วกลับมาถึงพระนครสาวัตถี พักอยู่ใกล้พระเชตวันมหาวิหาร วันหนึ่งในเวลาเช้า พวกพราหมณ์เหล่านั้น ได้เห็นพวกมนุษย์เป็นอันมาก ถือดอกไม้ธูปเทียน ไปเพื่อจะฟังเทศน์ในเชตวันมหาวิหาร จึงถามว่าพวกท่านจะไปไหนกัน พวกมนุษย์ตอบว่าไปฟังเทศน์ที่พระเชตวันมหาวิหาร พวกท่านจะไปที่นั่นทำไม ก็คนที่จะดีวิเศษเช่นกับด้วยวังคีสพราหมณ์ของพวกเราหาไม่ได้อีกแล้วเธอรู้มนต์มาก พวกมนุษย์ก็เถียงว่า วังคีสพราหมณ์จะรู้อะไร คนที่จะเหมือนกับพระบรมศาสดาของพวกเราก็หาไม่ได้เหมือนกัน เมื่อต่างพวกต่างเถียงไม่ตกลงกัน จึงได้พร้อมกันไปสู่พระเชตวันมหาวิหารฯ พระบรมศาสดาทรงทราบว่าพวกวังคีสพราหมณ์มาสู่ที่เฝ้า พระองค์รับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมาห้ากระโหลก คือ กะโหลกของสัตว์เกิดในนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน มนุษยโลก เทวโลก สี่กะโหลก พระขีณาสพกะโหลกหนึ่ง ตั้งเรียงไว้โดยลำดับกัน เมื่อวังคีสพราหมณ์เข้ามาเฝ้าแล้ว พระองค์ตรัสถามว่า ฉันได้ทราบว่า ท่านร่ายมนต์แล้วเคาะกะโหลกมนุษย์ที่ตายแล้ว ย่อมรู้ที่เกิดของเขาหรือ? พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ารู้ พระบรมศาสดาจึงตรัสถาม กะโหลกของสัตว์สี่กะโหลกที่เกิดในที่ทั้งสี่ วังคีสพราหมณ์ก็ทายถูกต้องทั้งหมด พระองค์จึงตรัสให้สาธุการว่าดีละ ๆ ถูกต้องละ ลำดับนั้นพระองค์จึงตรัสถามกะโหลกที่ห้าว่า ผู้นี้ไปเกิดที่ไหน? วังคีสพราหมณ์ร่ายมนต์แล้วเคาะกระโหลกก็ไม่รู้จักที่เกิด เพราะเป็นกะโหลกพระอรหันต์ จึงนิ่งเฉยอยู่ พระบรมศาสดาตรัสถามว่า เธอไม่รู้หรือวังคีสะ?

วังคีสะ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้

พระพุทธเจ้า ฉันรู้

วังคีสะ พระองค์รู้ด้วยอะไร

พระพุทธเจ้า รู้ด้วยกำลังมนต์ของฉัน



ท่านพระวังคีสพราหมณ์

ครั้งนั้นวังคีสพราหมณ์จึงกราบทูลขอเรียนมนต์นั้น พระองค์ตรัสว่า คนที่ไม่บวชฉันให้เรียนไม่ได้ วังคีสพราหมณ์นั้นจึงคิดว่า ถ้าเราเรียนมนต์นี้ได้แล้ว เราจักเป็นใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ครั้นคิดอย่างนั้นแล้วจึงส่งพราหมณ์เหล่านั้นไป และสั่งว่า พวกท่านจงรอเราอยู่นั่นแหละสักสองสามวัน เราจักบวชในสำนักของพระบรมศาสดา ครั้นวังคีสพราหมณ์ได้อุปสมบทแล้ว พระบรมศาสดาทรงประทานกรรมฐาน มีอาการสามสิบสองเป็นอารมณ์ ตรัสสั่งให้ท่องบ่นบริกรรมซึ่งมนต์นั้น ครั้นท่านสาธยายมนต์นั้นอยู่อย่างนี้ พวกพราหมณ์ก็คอยมาถามอยู่ว่า เรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง? ท่านตอบว่า รอก่อนกำลังเรียนอยู่ ล่วงไปสองสามวันเท่านั้น ท่านพระวังคีสะ ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาฯ



เอตทัคคะ

ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ไปเฝ้าพระบรมศาสดาในที่ใด เวลาใด ย่อมกล่าวคาถาสรรเสริญพระคุณของพระองค์บทหนึ่ง ๆ ก่อนเสมอ ด้วยเหตุนี้พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านว่า เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างมีปัญญา ปฏิภาณฉลาดในการผูกเป็นบทบาทคาถา ครั้นท่านวังคีสะ ดำรงชนมายุสังขารโดยสมควรแก่กาล ก็ดับขันธปรินิพพานฯ
1