![](http://www.gravatar.com/avatar/d41d8cd98f00b204e9800998ecf8427e?s=100&d=https%3A%2F%2Fwww.dmc.tv%2Fforum%2Fpublic%2Fstyle_images%2Fmaster%2Fprofile%2Fdefault_large.png)
ในสวรรค์มีเพศบรรพชิต หรือเปล่าครับ
#1
*paramai*
โพสต์เมื่อ 01 February 2005 - 03:18 PM
พอพระรูปหนึ่งมรณภาพไป จะไปเกิดเป็นพระในสวรรค์ หรือเป็นแค่เทพบุตรครับ? แล้วกรณีของหลวงปู่เป็นอย่างไรครับ
#2
*เช*
โพสต์เมื่อ 10 February 2005 - 11:25 PM
#3
*ขอเสนอ*
โพสต์เมื่อ 27 February 2005 - 04:18 PM
#4
*แจม*
โพสต์เมื่อ 27 February 2005 - 04:25 PM
ถ้าอยากเห็นต้องศึกษาอย่างอุกฤติ ซึ่งก็มีหลายๆ ท่านเขาทำกันได้เด้อ
#5
*หนึ่ง*
โพสต์เมื่อ 27 February 2005 - 08:52 PM
คนตอบเคยเห็นแล้วหรือ ... งง
ถ้ามีบางคนมาถามว่า ไข้หวัดนกเกิดจากอะไร แน่นอนว่าคนที่พอมีความรู้อยู่บ้าง คงตอบว่าเกิดจากเชื้อโรค H5N1 แล้วถ้ามีคนย้อนถามว่า คนตอบเคยเห็นหรือ ผมคนหนึ่งล่ะที่ตอบว่า ไม่เคยเห็น มันก็เหมือนกับที่คุณขอเสนอย้อนถามมานี่แหละ
สิ่งไม่เห็นไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่เชื่อให้พิสูจน์ อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา วิธีพิสูจน์มีอยู่ "เอหิปัสสิโก เชิญมาพิสูจน์เถิด"
#6
*ลูกแกะหลงทาง*
โพสต์เมื่อ 01 March 2005 - 07:43 AM
ส่วนการพิสูจน์นะครับ คุณอาขขะพิสูจน์ ผิดจนได้ค่าการทดลองคลาดเคลื่อนก็ได้ครับ
อย่าเอาสิ่งที่คุณได้คุณพบ มาสรุป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ คุณคาดว่าจะพบซิครับ
อย่าลืมนะครับ
" ใบไม้หนึงกำมือในป่าใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าทรงให้เรามา ไม่ใช่ ใบไม้หมดทั้งป่านะครับ "
กราบเรียนมาเพื่อ วินิจฉัย ครับ
#7
*Ekchat*
โพสต์เมื่อ 01 March 2005 - 11:34 AM
คนตอบคำถาม ควรจะเอาหลังอิงต้นโพธิ์นะครับเวลาตอบธรรมะแบบนี้
อย่างเช่น หลวงพ่อเคยเล่าฝันในฝันให้ฟังในโรงเรียนว่า..... (หลวงพ่อยังไม่เคยบอกตรง ๆ เลยว่าเห็นเอง เป็นเพียงแค่เล่าความฝันของท่านให้ฟัง ที่เหลือให้ผู้ฟังใช้วิจารณญาณของตนเองครับ)
คนที่เข้ามา reply ก็ไม่ควรที่จะมาถามคำถามย้อนกลับไปที่ ผู้ที่มีความปรารถนาดีเข้ามาตอบ
อย่างเช่น....คนตอบเคยเห็นแล้วหรือ ... งง
ควรจะเขียนเสริมสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ เพิ่มเข้าไปมากกว่า
ไม่อย่างนั้นกระทู้พวกนี้จะเป็นแค่เพียงการเข้ามาเถียงกันเท่านั้นเอง
ไม่ได้เพิ่มพูนความดีหรือปัญญาของเราเลย
ผมว่าสิ่งนี้จะเป็นมารยาทและวัฒนธรรมชาวพุทธที่ดีของการสนธนาธรรมเพื่อเพิ่มพูนปัญญาครับ
สิ่งที่ผมเสนอไปนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์ ขอให้ผู้มีบุญทุกท่านเสนอมาเพิ่มเติมนะครับ
ผมขออนุญาตนำเสนอสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ผู้มีบุญทุกท่านที่ชอบสนธนาธรรม พิจารณาครับ
#8
*ขอเสนอ..*
โพสต์เมื่อ 03 March 2005 - 10:25 AM
(ยังสงสัยอยู่นะ)
#9
*Olarn*
โพสต์เมื่อ 03 March 2005 - 03:51 PM
ควรไปดูด้วยกัน ดีมั๊ยครับ คุณ ขอเสนอ...
วิธีดู เท่าที่รู้ตอนนี้ ก็มี พุทธวิธีเท่านั้น
1. ปฏิบัติ สมถะ กรรมฐาน
2. จาก สมถะ กรรมฐาน ก็ต่อด้วย วิปัสสนา กรรมฐาน เพื่อการเห็นที่ยิ่งยวด
เมื่อ ได้วิปัสสนา แล้ว ท่าน ว่า จะเห็น เอง รู้เอง
น่าลองมาก... ตอนนี้ ผมล่วงหน้าไปก่อน 1 ปี คุณ ขอเสนอ... เริ่มหรือยังเอ่ย
ถ้าเริ่มแล้ว ช่วยบอกด้วย
ถ้า เริ่ม ก่อนขะเจ้า นานแล้ว ก็ สาธุ ขะเจ้า กำลังตามไป อย่าผ่อนกำลัง อย่าผ่อนความเพียร ไม่งั้น ขะเจ้า อาจจะแซง
แต่...
ถ้า ยังไม่เริ่ม คุณ ขอเสนอ... ได้วิธี หรือยัง ?
ลองวิธี ที่ พระท่านสอน หลังรายการฝันในฝัน (ประมาณ 21:35 น.) สิ...นี่ รัก นะเนี่ยะ ถึงบอก
ง่ายมาก... เริ่มลอง ก็ อย่างต่ำ 1 ปีนะ ใจแข็ง สักนิด ขะเจ้า จะคอยฟังข่าว
![8-)](https://www.dmc.tv/forum/public/style_emoticons/default/rolleyes.gif)
#10
*หนึ่ง*
โพสต์เมื่อ 03 March 2005 - 08:00 PM
คุณ หนึ่ง ครับ ทำไมจะไม่เห็นละครับ กล้องจุลทรรศ ครับ เค้าศึกษากันมาเกือบ ห้าสิบ ปีแล้วครับ
ส่วนการพิสูจน์นะครับ คุณอาขขะพิสูจน์ ผิดจนได้ค่าการทดลองคลาดเคลื่อนก็ได้ครับ
อย่าเอาสิ่งที่คุณได้คุณพบ มาสรุป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ คุณคาดว่าจะพบซิครับ
อย่าลืมนะครับ
" ใบไม้หนึงกำมือในป่าใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าทรงให้เรามา ไม่ใช่ ใบไม้หมดทั้งป่านะครับ "
กราบเรียนมาเพื่อ วินิจฉัย ครับ
ถูกต้องครับ การใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู เป็นวิธีการพิสูจน์ว่าเชื้อโรคมีอยู่ ผมถึงบอกว่ามีวิธีการพิสูจน์อยู่ไงครับ ลองกลับไปอ่านที่ผมโพสดีๆนะครับ และที่บอกว่าผมไม่เคยเห็น ผมไม่เคยเห็นจริงๆครับ เพราะไม่เคยไปส่องดูครับ ผมไม่ได้หมายความว่าไม่มีวิธีการทำให้เห็นเชื้อโรคได้
เช่นเดียวกันกับ เรื่องนรกสวรรค์ ฯลฯ ก็มีวิธีการพิสูจน์อยู่ครับ อย่างที่บอกล่ะครับ "เอหิปัสสิโก เชิญมาพิสูจน์เถิด" ส่วนเรื่องผิดถูกนั้น ถ้าคุณปฏิบัติจนพิสูจน์ได้จริงๆแล้วล่ะก็ คุณจะรู้เองแหละครับ ว่ามันถูกหรือผิด เพราะธรรมะเป็น "ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตัว"
#11
*ผ่านมา*
โพสต์เมื่อ 16 March 2005 - 05:50 PM
ได้มีภิกษุสองรูปเป็นสหายกัน. ในภิกษุสองรูปนั้น รูปหนึ่งบำเพ็ญสาราณียธรรม
รูปหนึ่งบำเพ็ญภัตตัคควัตร. รูปที่บำเพ็ญสาราณียธรรม กล่าวกะรูปที่
บำเพ็ญภัตตัคควัตรว่า ผู้มีอายุ ชื่อว่า ทานที่ไม่ให้ผล ย่อมไม่มี การให้
ของที่ตนได้แก่ผู้อื่น แล้วบริโภคจึงควรดังนี้. แต่รูปที่บำเพ็ญภัตตัคควัตร
กล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านไม่รู้หรือการให้ไทยธรรมตกไปไม่ควร ผู้ถือเอาเพียง
อาหารยังชีวิตของตนให้เป็นได้เท่านั้น บำเพ็ญวัตรในโรงครัวจึงควร. ใน
ภิกษุสองรูปนั้น แม้รูปหนึ่งก็ไม่อาจจะให้อีกรูปหนึ่งอยู่ในโอวาทของตนได้. แม้
ทั้งสองรูปบำเพ็ญข้อปฏิบัติของตน ครั้นจุติจากภพนั้น ก็บังเกิดในเทวโลก
ฝ่ายกามาพจร บรรดาภิกษุสองรูปนั้น รูปที่บำเพ็ญสาราณียธรรม ล้ำภิกษุ
อีกรูปหนึ่งด้วยธรรม ๕ อย่าง ภิกษุเหล่านั้นเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์สิ้น
ไปพุทธันดรหนึ่ง จึงเกิดในกรุงสาวัตถีในเวลานี้. รูปที่บำเพ็ญสาราณียธรรมถือ
ปฏิสนธิในพระครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าโกศล อีกรูปหนึ่งถือปฏิสนธิใน
ท้องของหญิงรับใช้ ของพระอัครมเหสีนั้นเหมือนกัน. คนแม้ทั้งสองเหล่านั้น
ก็เกิดในวันเดียวกันนั่นเอง. ในวันตั้งชื่อ มารดาให้คนเหล่านั้นอาบน้ำ แล้วให้
นอนในห้องประกอบด้วยสิริ จัดเตรียมของขวัญในภายนอกไว้ให้แก่คน แม้
ทั้งสอง. บรรดาคนเหล่านั้น คนที่บำเพ็ญสาราณียธรรมพอลืมตาก็เห็นเศวตฉัตร
ใหญ่ ที่นอนประกอบด้วยสิริที่เขาจัดไว้เป็นอย่างดี และนิเวศน์ประดับ
ด้วยเครื่องอลังการ จึงได้รู้ว่า เราเกิดในราชตระกูลแห่งหนึ่งดังนี้. เขานึก
อยู่ว่า เราทำกรรมอะไรหนอ จึงได้เกิดในที่นี้ดังนี้ ก็รู้ว่า ด้วยผลของการ
บำเพ็ญสาราณียธรรมดังนี้ จึงนึกว่า สหายของเราเกิดที่ไหนหนอ ก็ได้เห็น
เขานอน บนที่นอนต่ำ คิดว่า ผู้นี้บำเพ็ญวัตรในโรงครัว ไม่เชื่อคำของเรา
คราวนี้เราจะข่มเขาในฐานะนี้ก็ควร จึงได้พูดว่า เพื่อน เจ้าไม่เชื่อคำของเรา.
เขาตอบว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น จะเกิดอะไร. เขาได้บอกว่า เจ้าดูสมบัติของเราสิ
เรานอนบนที่นอนมีสิริอยู่ภายใต้เศวตฉัตร เจ้านอนบนเตียงต่ำข้างบนลาดด้วย
ของแข็ง สหายกล่าวว่า ก็ท่านอาศัยสิ่งนั้นแล้วยังทำมานะหรือ ? สิ่งของนั้น
ทั้งหมดเขาเอาซี่ไม้ไผ่นำเอาผ้าขี้ริ้วห่อพันไว้ เป็นเพียงปฐวีธาตุเท่านั้นมิใช่หรือ
ดังนี้.
พระราชธิดาสุมนา ทรงสดับถ้อยคำของคนทั้งสองนั้นแล้ว คิดว่า
ที่ใกล้ ๆ น้องชายทั้งสองของเรา ก็ไม่มีใครดังนี้ เดินเข้าไปใกล้คนเหล่านั้น
ยืนพิงประตู ได้ยินคำว่า ธาตุ แล้วก็คิดว่า คำว่า ธาตุนี้ ในภายนอกก็ไม่มี
น้องชายของเรา----
จักเป็นสมณเทพบุตร -------
คิดว่าถ้าเราจักบอกแก่มารดาบิดาว่า
คนเหล่านี้ พูดกันอย่างนี้ ท่านก็จักให้นำออกไปด้วยเข้าใจว่า คนเหล่านั้น
เป็นมนุษย์ดังนี้. เราไม่บอกเหตุนี้แก่คนอื่น จักทูลถามเฉพาะพระทศพล
ผู้เป็นมหาโคตมพุทธะบิดาของเรา ซึ่งเป็นเหรัญญิกบุรุษผู้ตัดความสงสัยได้
ดังนี้. เสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จ ก็เข้าไปเฝ้าพระราชาทูลขออนุญาตไปเฝ้า
พระทศพล. พระราชาตรัสสั่งให้จัดรถ ๕๐๐ คัน. ความจริง ในภาคพื้น
ชมพูทวีป กุมารีสามคนเท่านั้น ได้รถ ๕๐๐ คัน ในสำนักของบิดาทั้งหลาย
คือ เจ้าหญิงจุนที ราชธิดาของพระเจ้าพิมพิสาร นางวิสาขาธิดาของธนัญชัยเศรษฐี
และเจ้าหญิงสุมนานี้. นางถือเอาของหอมและดอกไม้แล้ว ยืนอยู่ใน
รถซึ่งมีรถ ๕๐๐ เป็นบริวาร จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคิดว่า
เราจักทูลถามปัญหานี้ ดังนี้.
#12
โพสต์เมื่อ 29 January 2007 - 08:50 AM