ธรรมลีลา ปีที่ 3 ฉบับที่ 25 ธันวาคม 2002
โดย ธนิษฐา แดนศิลป์
แม้ว่าหนังเรื่อง Asoka ที่มาฉายในบ้านเรา จะพูดถึงในเรื่องของความรัก
และการเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอโศกเกือบทั้งเรื่อง
แต่หนังก็ยังสรุปจบท้ายไว้อย่างสวยงามว่า
ที่สุดแล้ว ชัยชนะที่ได้มาจากการสงครามหรือการรบราฆ่าฟัน
มิอาจนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่หรือความสงบสุขในชีวิตได้
สุดท้ายพระเจ้าอโศกเข้าใจ หันกลับมาทำนุบำรุงพุทธศาสนา
แปรความยิ่งใหญ่ของกองทัพและการรบ มาเป็นกองทัพธรรม
ก่อนอื่นคงต้องกล่าวถึงเมือง “เวดิชา”และเมือง “สาญจี”
ซึ่งเป็นเมืองของชายาพระเจ้าอโศก เธอเป็นหญิงงามชาวพุทธลูกพ่อค้าแห่งเมืองเวดิชา
และเป็นผู้ ที่ทำให้พระเจ้าอโศกได้มารู้จักกับพุทธศาสนา
และหันมาทำนุบำรุงพุทธศาสนาแทนการรบในกาลต่อมา
เมืองสาญจี เป็นเมืองเล็กๆ แต่งดงามและยิ่งใหญ่ ด้วยการประกาศเรื่องราวและพุทธธรรมของ
พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อยืนอยู่บนเนินของสถูปแห่งเมืองสาญจีจะสามารถมองเห็นเมืองเวดิชาที่อยู่ไม่ไกล
สถูปองค์แรกถูกสร้างขึ้นที่นี่ราวพุทธศตวรรษที่ 3 น่าสนใจว่า
เมืองสาญจี เป็นเมืองเดียวที่พระพุทธเจ้าไม่เคยเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้
แต่เป็นเมืองที่ทำให้เข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ของพุทธศาสนาได้อย่างถึงแก่น
ทั้งชีวประวัติของพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระพุทธองค์
ที่พระเจ้าอโศกตั้งใจถ่ายทอดลงบนหินแต่ละก้อนของสถูป
เรื่องราวที่แสดงอยู่บนเสาหิน และสถูปเป็นภาพสัญลักษณ์
เพราะในอดีตไม่ มีการสร้างรูปปั้นแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกอย่างจะเป็นสัญลักษณ์ เช่น
ดอกบัวแสดงถึงพระพุทธเจ้า
ต้นโพธิ์แสดงถึงการตรัสรู้
ธรรมจักรแสดงถึงพระพุทธศาสนาและการเผยแผ่ธรรม
สถูปซึ่งขุดค้นพบที่สาญจีมีประมาณ 30 กว่าสถูป เรียงรายอยู่บนเนินเขา รวมถึงซากปรักหักพังของส่วนที่เคยเป็นวัดเก่า มีที่พำนักของพระโมคัลลานะและพระสารีบุตร
และมีบริเวณที่พำนักของแม่ชี ที่พระชายาของพระเจ้าอโศกได้มาพำนักอยู่ที่นี่ด้วย
นครที่มีชื่อเสียงและเป็นเมืองสำคัญในสมัยพระเจ้าอโศกอีกแห่งคือ
เมือง “ปัฏนะ หรือปาฏลีบุตร (Patna)”
เพราะถือว่าเป็นฐานฝ่ายอาณาจักรใช้ขยายอิทธิพลทางการปกครอง และทางศาสนา
ณ เมืองนี้พระเจ้าอโศกได้สถาปนาสถาบันพระธรรมทูตขึ้น
พร้อมส่งพระนักเผยแผ่ไปยังนานาอารยประเทศ ถึง 9 สาย
เพื่อประกาศพุทธศาสนาให้แผ่ไพศาล เช่น
สายพระโสณะและพระอุตตระ ก็นำพระพุทธศาสนาเข้าสู่สุวรรณภูมิ คือ พม่า ไทย เป็นต้น
“อโศการาม” ปูชนียวัตถุสถานแห่งเมืองปัฏนะ
เป็นมหาวิหารที่ทำสังคายนาพุทธศาสนาครั้งที่ 3
แต่เดิมในอดีตเรียก “กุกกุฏาราม” เป็นวิหารที่กุกกุฏเศรษฐีเป็นผู้สร้างถวาย
เพื่อเป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุ
ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกได้สร้าง วิหารขึ้นใหม่ทับบริเวณที่เดิม
เรียกว่าอโศการาม
พระติสสระผู้เป็นอนุชาองค์เล็ก ของพระเจ้าอโศก ได้อุปสมบทและจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้
หลังจากครองราชย์ได้ 20 ปี และหลังจากทำสังคายนาครั้งที่ 3 ที่อโศการาม เสร็จ
พระเจ้าอโศกเสด็จธรรมยาตราจาริก แสวงบุญสักการะพุทธสถานตามหมู่สงฆ์
โดยมีพระโมคคัลลานะ หรือสายมหายานเรียกว่าพระอุปคุต
เป็นผู้นำไปยังสังเวชนียสถานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เมืองลุมพินี
เราจะเห็นเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชปักไว้อย่างโดดเด่น
แสดงถึง สถานที่ที่พระมหาโพธิสัตว์ประสูตรจากครรภ์พระมารดา
ดร.ฟือห์เรอร์ เป็นผู้ค้นพบเสาศิลาจารึกเป็นคนแรก เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2438
หลักศิลาจารึกถูกปูนเก่าถมทับอยู่หลายฟุต
ส่วนใหญ่เสาหินพระเจ้าอโศก จะมีสัญลักษณ์ข้างบนเป็นหัวสิงห์
แต่ปรากฏว่าที่ลุมพินีเป็นม้า จึง มีผู้สันนิษฐานว่า
ท่านคงเจตนาใช้ม้าเป็นสัญลักษณ์ในการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ
“เสาหินพระเจ้าอโศก” จะปักอยู่ทุกแห่ง หนที่พระองค์เสด็จ ไปทำนุบำรุงพุทธศาสนา
เพราะพระองค์ตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ว่าจะทำนุบำรุงพระศาสนาและปฏิสังขรณ์ศาสนวัตถุ
ที่กำลังเสื่อมโทรม พร้อมทั้งจัดสร้างสถูปเพิ่มอีก 84,000 องค์
และนำพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานไว้ในสถูปเหล่านั้น
และนำไปไว้ ที่เมืองเวสาลีด้วย
เมือง “เวสาลี หรือไวสาลี”
เป็นเมืองหลวงของอาณาจักวัชชี 1 ใน 16 แคว้นของ ชมพูทวีป
เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พุทธศาสนาที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่ง
และวัดมหาวันที่ชาวลิจฉวีสร้างถวายพระพุทธเจ้า
และเป็นที่ที่พระพุทธองค์จำพรรษาที่ 5
และมีพุทธานุญาตให้นางปชาบดีโคตมีบวชเป็นภิกษุณีครั้งแรก
เมืองนี้มีเสาหินพระเจ้าอโศกอย่างเต็มรูปแบบ และเป็นเมืองที่มีพระราชวังเก่าของพระเจ้าอโศก
ในจดหมายเหตุของหลวงจีนถังซัมจั๋งเล่า ว่า
ตัวพระราชวังเก่าตั้งอยู่ด้านเหนือของแม่น้ำคงคา
หลักฐานนี้ทำให้นักโบราณคดี จับเค้าที่ตั้งวังของพระเจ้าอโศกได้
และได้รับการยืนยันจากมิสเตอร์บล็อก หัวหน้าการขุดค้นที่ขุดพบของโบราณมากมาย
เช่นประตูเมืองโบราณ ล้อรถรบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ ในพิพิธภัณฑ์ของเมืองปัฏนะ
ในคัมภีร์มหาวงศ์กล่าวอีกว่า
พระเจ้าอโศกทรงหมั่นเสด็จไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เมืองพุทธคยาอยู่เป็นนิตย์
ทำให้พระมเหสีองค์ใหม่ที่ชื่อ “ดิศราชเทวี” ไม่พอใจ
และเกิดจิตริษยาต้นพระศรีมหาโพธิ์
จึงเอายาพิษไปรดที่ต้นโพธิ์ หวังจะให้ ต้นโพธิ์ตาย
หลังจากพระเจ้าอโศกทราบก็ทรงเศร้าเสียพระทัย
แล้วทรงสั่งให้ทหาร สร้างกำแพงอิฐล้อมรอบรากต้นโพธิ์ไว้
และโปรดให้นำน้ำนมมารดไม้โพธิ์ให้ชุ่มเพื่อให้แตกหน่อขึ้นใหม่
พระองค์ทรงทอดพระองค์ลงกับพื้นดิน ตั้งสัตย์ว่า
จะไม่เสด็จ ลุกขึ้นจนกว่าจะได้เห็นหน่อโพธิ์โผล่ขึ้นมา
และไม่ช้าโพธิ์ก็แตกหน่อขึ้นจากรากเดิม อีก
เรื่องนี้มีภาพแกะเป็นหินสลักอยู่ที่สถูปที่เมืองสาญจีด้วย
รวมถึงประวัติและเนื้อหาธรรมที่พระ – พุทธเจ้าตรัสสอนก็สามารถดูได้จากสถูป
“ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ณ เมืองสารนาถ”
เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐม เทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้า
ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช เคยเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้เมื่อ พ.ศ. 295
พระองค์ทรงโปรด ให้สร้างสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
(ธัมเมกขสถูป แปลว่า สถานที่แสดงธรรมที่นำพาให้ถึงความหลุดพ้น)
และศิลาจารึกไว้ให้เป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญ
ศิลาจารึกส่วนที่เป็นหัวเสา ประดิษฐ์ขึ้นด้วยหินทรายอย่างดี
มีรูปสิงโต 4 ตัวหันหลังเข้าหากัน หันหน้า ออก 4 ทิศ
ที่ขอบแท่นสลักเป็นรูปกงล้อธรรมจักร
และรูปสัตว์ 4 ชนิดสลับกัน คือ ราชสีห์ ช้าง ม้า และโค
สัตว์ทั้ง 4 คือ
ความหมายแห่งอำนาจ
ความกล้าหาญ
ปัญญาชาญฉลาด
พลัง ความอดทน แข็งแรง
สัตว์ทั้งสี่นี้จะคอยเฝ้าพิทักษ์ธรรมจักร คือ พุทธศาสนา
ด้านล่างมีอักษรเทวนาคี แปลได้ว่า
“ความจริงเท่านั้นมีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง”
สิงโต 4 ทิศ ถือเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช
ที่โปรดสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายของการประกาศพระธรรมจักร
ตั้งอยู่บนยอดเสาของหลักศิลา
ซึ่งปัจจุบันอินเดียใช้เป็นตราแผ่นดินและนำธรรมจักรประดิษฐ์ไว้ที่ธงชาติอินเดีย
ส่วนที่เมือง “กุสินารา”
เป็นอีกเมืองที่พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จจาริกแสวงบุญเมื่อประมาณ ปีพ.ศ. 310
เมื่อพระองค์ทรงทราบแน่ชัดว่า ณ จุดนี้เป็นที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ทรงสลดพระทัยถึงเป็นลมสิ้นสติ
ทรงบริจาคทรัพย์ 100,000 กหาปณะ เพื่อเป็นค่าก่อสร้างสถูปเจดีย์ และเสาศิลา
สถูปที่พระเจ้าอโศกทรงสร้างที่เมืองกุสินารานี้
เป็นหนึ่งในจำนวน 84,000 องค์ มีข้อความที่เป็นหลักฐานยืนยันในคัมภีร์อโศกกาวทาน
แม้เรื่องราวจะผ่านมากี่พันปีแล้วก็ตาม
แต่ปัจจุบันการประกาศความยิ่งใหญ่ด้วยสงคราม
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยังคงดำเนินอยู่
แต่มีรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั้งรูปแบบของการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ และทางวัฒนธรรม
จริงแล้วสงครามภายนอกจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ได้ยุติสงครามภายในใจตน
และมองเห็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และสั่งสอนมา นานนับพันปีมาแล้ว
เช่นเดียวกับสิ่งที่พระเจ้าอโศกได้ค้นพบว่า
“ความยิ่งใหญ่และชัยชนะอันแท้จริง”
ของพระองค์เกิดขึ้นก็เมื่อพระองค์เข้าใจความจริงแห่งธรรมะ
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
…………