ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

สิ่งที่หาได้ยาก ในเวลานี้


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 12:38 AM

สิ่งที่หาได้ยากในเวลานี้
ปรีดา เรืองวิชาธร


ในจูฬโคสิงคสาลสูตร (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒) เล่าไว้ว่า
คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระเถระ ๓ ท่านคือ
พระอนุรุทธะ พระนันทิยะ และพระกิมิละ ณ ป่าโคสิงคสาลวัน พระองค์ทรงตรัสถามทั้ง ๓ ท่านว่า
“อยู่เป็นสุขสบายดีหรือ มีความพร้อมเพรียงและชื่นชมต่อกันดีอยู่หรือ”
ทั้ง ๓ ท่านทูลตอบว่า
“อยู่สบายดี และยังมีความชื่นชมต่อกัน เข้ากันได้ดังน้ำกับนม”
พระพุทธองค์ทรงถามต่อว่า
“ที่เป็นเช่นนั้น เพราะได้อาศัยคุณธรรมอะไรหรือ”
ทั้ง ๓ ท่านทูลตอบว่า

“เพราะมีเมตตาต่อกันทั้งกาย วาจาและใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง
นอกจากนี้ในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติประจำวันก็ถือเอาภารกิจส่วนรวมเป็นเรื่องส่วนตัวไปด้วย
ดังเช่นการดูแลเรื่องบิณฑบาตร การเตรียมอาสนะ น้ำฉันน้ำใช้ การล้างทำความสะอาดหลังฉัน เป็นต้นนี้
พวกข้าพระองค์ทั้ง ๓ ก็จะร่วมรับผิดชอบดูแล มิได้คิดว่าเป็นการทำเพื่อประโยชน์ตนส่วนเดียว
แต่กลับเป็นประโยชน์ที่เกิดร่วมกับสหพรหมจรรย์ เมื่อเป็นดังนี้ พวกข้าพระองค์จึงรู้สึกว่า
นับเป็นลาภอันประเสริฐแท้ ๆ ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนพรหมจรรย์ที่ดีงามเช่นนี้”


รื่องที่กล่าวมานี้ สะท้อนบรรยากาศการเป็นอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลเป็นสุขสงบ
ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้สมาชิกกลุ่มขวนขวายปฏิบัติกิจการงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ไม่ติดขัดด้วยเรื่องขัดแย้งนานาประการ
เรื่องที่งดงามนี้ ฟังแล้วรู้สึกแช่มชื่นเบิกบานใจ


แต่กลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากในเวลานี้

เพราะเมื่อเราหันกลับมาดูบรรยากาศการเป็นอยู่ร่วมกันของคนในกลุ่มองค์กร ชุมชนและสังคมในปัจจุบันนี้
กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แก่งแย่งแข่งขัน ทะเลาะกันจนแบ่งแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า
แต่ละคนคิดถึงแต่ผลประโยชน์ที่ตนจะได้
จิตใจไม่รู้สึกยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นสุขและกำลังก้าวหน้า เป็นต้น

ที่เป็นดังนี้ ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็เพราะหลายคนเชื่อว่า
หากเราได้ครอบครองประโยชน์ทั้งหลายทั้งปวงไว้สมบูรณ์พร้อม โดยไม่จำต้องใส่ใจว่า ผู้อื่นจะเป็นอย่างไรนั้น
จะทำให้เราประสบกับความสุข เพราะสามารถใช้จ่ายทรัพย์สินเพื่อหาความสุข
หรือใช้อำนาจจากตำแหน่งหรือยศศักดิ์เพื่อบังคับบ่งการให้คนอื่นต้องปฏิบัติตามที่ตนต้องการ

ซึ่งอาจจะจริงในบางด้าน แต่เรามักจะลืมหรือมองข้ามความจริงไปว่า
มนุษย์เราดำรงอยู่อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
แต่ละคนหากทำอะไรไม่ว่าดีหรือร้ายย่อมส่งผลถึงคนอื่น กับสิ่งแวดล้อม
และย่อมต้องย้อนกลับมากระทบถึงตนเองไม่มากก็น้อย

ดังเช่น หากเราคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว พยายามกอบโกยทรัพย์สินและตำแหน่งไว้เองเกือบทั้งหมด
คนที่ขาดแคลนหรือตกต่ำก็ย่อมหาทางแก่งแย่งแข่งขัน จ้องทำลายให้ร้ายกัน
ในใจของเราเองก็คงเฝ้าระแวงระวังกลัวคนอื่นจะเข้ามาแย่งชิง
ทนไม่ได้ที่เขาแซงหน้าเราไป รวมทั้งคิดจ้องที่จะกอบโกยอยู่ตลอดเวลา

จิตใจและบรรยากาศเช่นนี้เราจะเป็นอยู่สุขท่ามกลางความพร้อมสมบูรณ์ของทรัพย์สินและยศตำแหน่งได้จริงหรือ
จิตใจที่คิดจะเอาฝ่ายเดียวนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญที่หล่อเลี้ยงให้มันงอกงามแผ่ไปไกล
ก็คือโครงสร้างของกลุ่มองค์กร ชุมชนและสังคมที่ส่งเสริมให้คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
เน้นบรรยากาศแบบต่างคนต่างทำ ต่างไต่เต้าเอาดีกัน ไม่ใส่ใจการทำงานแบบรับผิดชอบร่วมกัน
สนใจเพียงแต่สิ่งที่ตนเองจะทำและเน้นทำให้เจ้านายหรือผู้ให้คุณให้โทษมองเห็นเท่านั้น
จากนั้นก็เฝ้ารอว่าตนจะได้อะไรเป็นเครื่องตอบแทน หากผลงานสำเร็จก็ขอภูมิใจอยู่คนเดียว
และหากผิดพลาดล้มเหลวก็หาทางกล่าวเพ่งโทษคนอื่นเสมอ
โครงสร้างเช่นนี้เป็นโครงสร้างที่ลดทอนและทำลายจิตใจที่เมตตาของมนุษย์ไปเกือบสิ้นเชิง

เรื่องเล่าจากพระสูตรข้างต้น มีข้อคิดที่น่าใคร่ครวญก็คือ
ทำอย่างไรจึงจะทำให้เราคิดและแสดงออกต่อกันด้วยจิตใจที่มีเมตตาเป็นที่ตั้ง
พร้อมกับเกิดสำนึกที่จะคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมอย่างสมดุลกับประโยชน์ส่วนตน
แต่จิตใจที่เมตตานี้มิได้เกิดขึ้นได้ง่ายในสังคมสมัยใหม่
ดังนั้น เราอาจต้องหมั่นฝึกฝนที่จะคิดพิจารณาอย่างแยบคาย ดังเช่น


คิดและสัมผัสรับรู้อยู่เนือง ๆ ว่า การที่เราคิดและแสดงออกด้วยใจที่ตั้งอยู่บนความมุ่งหวังให้คนอื่นเป็นสุขนั้น
สิ่งแรกที่ได้รับทันทีเลยคือ ความอิ่มเอมใจ


เพราะใจที่ไม่คิดจ้องแต่จะกอบโกย ไม่รู้สึกระแวงหรือจ้องให้ร้ายคนอื่น เราย่อมเป็นสุขได้ทันที ฝึกตระหนักในใจต่อไปว่า
หากเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้รับทรัพย์สินและความก้าวหน้าอย่างเพียงพอแล้ว
ก็จะเป็นเหตุให้ต่างฝ่ายต่างเริ่มเกื้อกูลกัน
นอกจากนั้นเราควรร่วมกันหาอุบายวิธีที่เหมาะสม หากมีบางคนมุ่งคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน
พร้อมกับร่วมกันส่งเสริมบรรยากาศที่เน้นประโยชน์ส่วนรวม ด้วยการชื่นชมยินดีต่อผู้ที่คิดและทำเพื่อส่วนรวม

ตรึกคิดในใจอยู่เสมอว่า การคิดและแสดงออกต่อผู้อื่นด้วยใจที่เป็นกุศลย่อมส่งผลในทางที่ดีกับผู้อื่น
และย่อมจะย้อนกลับมาที่เราในที่สุด
ในทางตรงกันข้าม หากเราคิดและแสดงออกด้วยใจที่เป็นอกุศล
ที่สุดแล้วผลร้ายก็ย่อมส่งผลกระทบมาที่เราไม่มากก็น้อย


หากเราคิดและแสดงออกกับผู้อื่นด้วยใจที่มีเมตตาแล้ว
ผู้นั้นยังคงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากหรือตอบกลับด้วยใจที่มุ่งร้าย เราก็พึงพิจารณาและวางใจว่า
การเปลี่ยนแปลงภายในของคนย่อมต้องใช้เวลา
และคงมีเหตุปัจจัยอีกมากที่ยังหนุนเสริมให้เขาคิดและทำเช่นนั้นอีก
หากเราฝึกฝนวางใจได้เช่นนี้แล้ว เราก็จะไม่ถดท้อได้ง่าย
และยังอาจช่วยให้เราเพียรพยายามค้นคิดวิธีการที่เหมาะสม
หรือสร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้ผู้อื่นเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย

ฝึกสังเกตและรับรู้ผลอันงอกงามที่เกิดขึ้นภายในใจเราทุกครั้งที่เราได้คิดและแสดงออกด้วยจิตใจดังกล่าวข้างต้น
พร้อมกับตระหนักรู้ความรู้สึกภายในของเราเวลาเห็นคนอื่นกำลังเป็นสุข

นอกเหนือจากการฝึกฝนการคิดและแสดงออกกับผู้อื่นด้วยจิตใจที่เมตตาแล้ว
เรากับเพื่อนร่วมกลุ่มองค์กรควรแสวงหาวิธีการหรือสร้างปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกลุ่มองค์กร
ที่ส่งเสริมให้คนได้ตระหนักถึง

ประโยชน์ร่วมของทุกฝ่าย อย่างสมดุลกับประโยชน์ส่วนตน
และเป็นโครงสร้างที่เกื้อหนุนให้คนได้คิดและแสดงออกด้วยจิตใจที่เป็นกุศล


โครงสร้างกลุ่มองค์กรดังกล่าวนี้อาจหมายถึง ระบบระเบียบ ข้อปฏิบัติของกลุ่มองค์กร อำนาจการตัดสินใจ
การจัดความสัมพันธ์ของคนภายในกลุ่มองค์กร เป็นต้น
ที่ส่งเสริมการกระจายอำนาจ มุ่งเน้นให้คนมีส่วนร่วมในการคิดและแลกเปลี่ยน ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ

ที่สำคัญคือ ร่วมรับผิดชอบไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือผิดพลาดล้มเหลว

ด้วยเหตุนี้โครงสร้างกลุ่มองค์กรที่ดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่คอยหล่อเลี้ยงให้คน
ได้ฝึกฝนที่จะคิดและแสดงออกต่อกันด้วยใจที่มีเมตตาเป็นพื้นฐาน

นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 24 เมษายน 2547

#2 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 03:50 PM


ความเมตตากรุณานั้นเป็นคุณธรรมที่สูงส่งอย่างยิ่ง
การทำงานในหมู่คณะ ย่อมเกิดการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา
ถ้ามีความเมตตาเป็นพื้นฐาน ก็จะรู้จักการให้อภัยซึ่งกันและกันได้ทุกครั้งที่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น

ขอให้ทุกท่านแช่มชื่นในการสร้างบารมีค่ะ



#3 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 11:21 PM

แต่หากเป็นกรณีของผู้ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว "อุเบกขาต้องเดินนำหน้า เมตตาสงสารเดินตามหลัง" เสมอ เพราะศัตรูใกล้ของเมตตา คือ "ราคะ" ครับ