คำว่า คนพุทธคืออะไรลองมาช่วยกันตอบหน่อยนะจ๊ะ++++
#1
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 08:21 PM
#2
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 08:28 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#3
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 09:12 PM
อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุ และรู้วิธีการดับทุกข์
จึงน้อมเอาคำสอนมาปฏิบัติ ด้วยวิธีการ ที่พระองค์ทรงสอน
คือ..
ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
#4
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 11:24 PM
คนที่ไม่เชื่อว่ามี นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ไม่เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายต้องตกอยู่ในกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อผลของการทำบุญ ไม่เชื่อผลของการทำบาป ไม่เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อการตรัสรู้ของเหล่าพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง ปฏิบัติตนเลวทรามทั้งกับตนเองและผู้อื่น เขาผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าครับ
สาวกต้องไม่หูเบาเชื่อง่าย โดยต้องไตร่ตรองพิจารณา พิสูจน์ ทดลองคำสอนของพระพุทธเจ้าก่อนเชื่อ
ผู้เป็นสาวกต้องไม่เรียนมากจนกลายเป็นเถรใบลานเปล่า แต่ต้องปฏิบัติให้ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
สาวกที่แท้จริงจะต้องไม่ไปอบาย มีสุคติเป็นอย่างน้อย มีนิพพานเป็นที่สุด
สาวกเทียมต้องเสวยสุขในนรก สัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เพราะไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ชาวพุทธที่ดีพึงปฏิบัติตามหลักธรรมของท่านย่อๆ คือ ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 12:03 AM
#6
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 12:07 AM
น้าจี้
#7
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 02:09 AM
#8
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 11:21 AM
"นับถือศาสนา : พุทธ"
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#9
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 11:35 AM
คำว่าคนพุทธ ผมว่าเป็นการเรียกกลุ่มบุคคลที่กระทำตัวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ของตนเอง
เปรียบว่า คนเขา คนหมู่เกาะ ฯ กลุ่มบุคคลเหล่านี้ก็มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองครับ
เพราะฉะนั้น คนพุทธ ควรดำเนินตามวิธีชาวพุทธ ที่พระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านทรงให้แนวปฏิบัติไว้แล้วใช่มั้ยครับ ...
แต่ถ้าเรายังมองไม่ออก ก็เชิญชวน ดู DMC นะครับ
แล้วเราจะได้รับรู้ ถึงวิถีคนพุทธอย่างแท้จริง ครับ
ขอกราบอนุโมทนาบุญนะครับ ... สาธุ ... ครับ
ปล. ก็มีภาพ ของคนพุทธกลุ่มหนึ่งที่ได้ปฏิบัติ กันมาอย่างจริงจังและยาวนานครับ
แหล่งข้อมูล ก็ www.DMC.tv ครับ ^^~*
ไฟล์แนบ
#10 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 12:22 PM
http://www.bpct.org/...&id=286&catid=7
สมาธิ 40 วิธีครับ
http://www.dhammatha...ncentrate03.php
และในสมาธิ 40 วิธี(ซึ่งเป็นลักษณะของสมถะกรรมฐาน) ก็ควรเจริญไปพร้อมกับวิปัสนากรรมฐาน โดยการนำปัญญาที่ไม่ยึดติดกับวิชาสมถะกรรมฐานใดๆไปตรวจสอบดูอารมณ์ของตนขณะปฏิบัติสมาธิ เมื่อใดก็ตามที่รู้เท่าทันอารมณ์ก็ดับในอารมณ์นั้นทำเช่นนี้บ่อยจนเป็นนิสัยก็จะระงับอารมณ์ต่างๆได้เอง ไม่มีอารมณ์เกิดดับขึ้นมาอีกเพราะขัดเกลาจนเป็นนิสัยไปแล้วเหลือเพียงจิตที่สงบนิ่งเพียงจิตเดียวที่ไม่มี การปรุงแต่งจากอารมณ์อีก
http://84000.org/tip...299&pagebreak=0
"
ยังมีอันนี้อีกไม่ทราบว่าพวกท่านมีความเห็นว่ายังไงบ้างกับคำพูดของชาวพุทธคนหนึ่งในwebboard bpct
"
จากความคิดของผมนะครับ
สำหรับสมาธิบางอย่างใช้อารมณ์ในการปรุงแต่งจิตให้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงยึดอารมณ์นั้นเป็นสำคัญในการทำสมาธิ อาจฟังดูเหมือนขัดแย้งกับจุดมุ่งหมายที่ใช้กำจัดอารมณ์ แต่ถ้าพิจรณาให้ดีแล้ว สาเหตุที่พระพุทธองค์ยังทรงแนะนำก็คงเป็นเพราะการปรุงแต่งจิตบางอย่างเป็นการปรุงแต่งอารมณ์ชนิดหนึ่งเพื่ อทำร้ายอารมณ์อีกชนิดหนึ่งเช่น
ตัวอย่างที่1
อย่างอสุภะ 10เป็นการปรุงแต่งจิตแห่งความรู้สึกรังเกียจให้เกิดความรู้สึกรังเกียจในราคะ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการปรุงแต่งจิตเพื่อทำลายการปรุงแต่งจิตที่เกิดจากราคะก็ว่าได้จัดได้ว่าเป็นแนวทา งอีกอันหนึ่งที่ดีสำหรับ ผู้ที่ทำสมาธิแล้วถูกเบียดเบียนจากราคะ
(ในความเห็นของผมนะครับข้อเสียคือทำให้เกิดความกลัว)
ตัวอย่างที่2 อนุสติ 10
ขอยก6ข้อบนมาก่อนนะครับ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ เหมาะสำหรับคนที่เกิดอาการกลัวเพราะต้องนั้งสมาธิในที่เปลี่ยวจึงปรุงแต่งอารมณ์ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในนี ้มาปกปักรักษาเพื่อให้สามารถรักษาสมาธิในที่นั้นได้
(ในความเห็นของผมนะครับข้อเสียคือทำให้เกิดโมหะ บางครั้งอาจลามไปถึงความถือดี อวดตัว) "
แต่โดยส่วนตัวผม ผมกับรู้สึกว่ามันฟังดูเรียบง่าย(แต่ปฏิบัติยากจัง)
#11 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 12:26 PM
#12 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 12:31 PM
"แล้วที่พระพุทธองค์ทรงเน้นไปที่อานาปานสติมากที่สุดเพราะการทำสมาธิแบบอื่นมักก่อให้เกิดภาวะโมหะได้ง่ายท ั้งนี้เนื่องจากสมาธิบางอย่างใช้อารมณ์ในการปรุงแต่งจิตให้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงยึดอารมณ์นั้นเป็นสำคัญในก ารทำสมาธิ ผิดกับอานาปานสติซึ่งใช้สติเป็นตัวยึดสภาวะสังขารในตัวเราแล้วจึงก่อเกิดเป็นสมาธิ แล้วจุดประสงค์สุดท้ายในการทำสมาธิจริงๆก็เพื่อกำจัดอารมณ์แห่งการปรุงแต่งจิตซึ่งจะก่อให้เกิดความฟุ้งซ่ าน(อุทธัจจะ)ไม่ใช่หรือครับ ผมเลยเข้าใจว่าอานาปานสติน่าจะดีที่สุด ก็ไม่รู้นะครับ "
#13
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 03:46 PM
สำหรับกสิณนั้นเป็นกสิณภาพสังเกตได้นึกได้ ย่อมจะทำให้จิตรวมเป็นสมาธิได้ง่ายกว่าการพิจารณาลมหายใจอยู่แล้วครับ แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคลนะครับ ไม่จำเป็นต้องฝึกอานาปานุสติหมดทุกคนครับ
สำหรับแนววิชชาธรรมกายนั้นเป็นการฝึกอาโลกสิณ คือ กสิณแสงสว่างซึ่งมีในวิสุทธิ์มรรคครับ อย่ากังวลใจไปเลยครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#14 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 04:51 PM
"ผู้ไม่ประมาทในการสร้างบารมี"
#15 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 05:15 PM
มั่วแล้วคุณxlmen
อาโลกสิณเป็นอันเดียวกันกับ กสิณแสงสว่าง คือการเพ่งแสงสว่างที่ลอดช่องหลังคาลงมากระทบพื้น หรือฝาผนังเป็นวงกลม หรืออาจจะประยุกต์ใช้แสงอย่างอื่นก็ได้ โดยทำความรู้สึกถึงความสว่าง ไม่ใช่เพ่งที่สีของแสงนั้น ซึ่งแสงดังกล่าวที่เพ่งจะต้องไม่มีรูปหรือวัตถุใดๆอยู่ในแสงนั้นไม่งั้นจะเป็นการเพ่งแสงขาวได้ยังไง
ขออ้างเวปนี้นะครับ
http://www.konmeungb...asin10/alo.html
แต่ที่หลวงพ่อท่านสอนนี้ให้จับถึงดวงธรรมกายที่เห็นเป็นพระพุทธรูปอยู่เลยไม่ใช่หรือครับ
อ้อแล้วที่ผมพูดนี้หมายถึงแสงขาวนะครับไม่ใช่วัตถุสีขาวเดี๋ยวจะกลายเป็นกสิณสีขาวไป ที่ให้เพ่งแสงขาวนี้ก็เพราะหากเพ่งนานๆตาจะแยกสเปรกตรัมสีได้ไม่เชื่อลองดูครับ
#16
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 05:31 PM
เกือบไปนะครับ เกือบไป ผมกะแย้งแล้วเชียว เพราะกสิณสีขาว คือ โอทาตกสิณ ซึ่งเป็นคนละอย่างกับอาโลกกสิณ ขอทิ้งท้ายไว้ว่า กสิณที่เกื้อหนุนต่อการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น มีอยู่ด้วยกัน ๓ ประการ ได้แก่ แสงสว่าง (อาโลกกสิณ) ไฟ (เตโชกสิณ) และสีขาว (โอทาตกสิณ) ครับ
#17
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 08:31 PM
#18 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 12:30 PM
#19
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 02:58 PM
ทำไมถึงมีแค่ 3 ประการหละค่ะ แล้ววิธีอื่น ๆ มีไว้ทำไมกันหละ เอาไว้ฝึกขั้นต้นหรือค่ะ
ขอบคุณค่ะ
#20
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 10:53 PM
ได้ทั้งสองครับ
ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจนะครับ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงคำจำกับความของคำว่า วิปัสสนา เสียก่อน คำๆ นี้มีความหมายว่า การเห็นอันวิเศษครับ ซึ่งองค์กสิณที่เกื้อหนุนต่อการรู้เห็นธรรมอันละเอียด สุขุม ประณีต (โดยตรง) นั้น พระวิปัสสนาจารย์ท่านว่า กสิณ ๓ กองนี้แล เหมาะสมที่สุดครับ
คุณ VCO ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับว่า ขณะนี้ผมกำลังพูดเน้นถึงรายละเอียดของสมถกรรมฐานในส่วนของกสิณ ๑o แต่ถ้าหากจะถามผมว่า
วิธีอื่นนั้นมิได้เกื้อหนุนต่อการเจริญวิปัสสนาหรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ
และที่ถามว่ามีเอาไว้เพื่อฝึกขั้นต้นหรือเปล่า? ตอบว่า ถูกต้องครับ เพราะสมถกรรมฐานทั้ง ๔o วิธีนั้น ล้วนเป็นฐานในการปรับใจให้หยุดนิ่งภายในให้ได้เสียก่อน เพราะหากยังหยุดนิ่งไม่ได้ ก็ยังเข้าภูมิของสมถะไม่ได้อยู่นั่นเอง และเมื่อยังเข้าภูมิของสมถะไม่ได้ การรู้เห็นอันวิเศษ (ซึ่งต้องอาศัยใจหยุดนิ่ง (สมถกัมมัฏฐาน) เป็นพื้นฐาน) จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? จริงไหมครับ?
#21
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 11:01 PM
#22 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 09 March 2006 - 03:26 PM
#23
โพสต์เมื่อ 09 March 2006 - 08:36 PM
#24
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 06:46 AM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#25 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 12 March 2006 - 07:53 AM
#26 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 05:14 PM
#27
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 02:39 PM
อรูปฌาน คือ การไม่กำหนดนิมิตเป็นอารมณ์มีการกำหนดอารมณ์ของอากาศบ้าง วิญญาณบ้าง ความว่างบ้างเป็นอารมณ์ให้เกิดสมาธิและองค์ฌาน
กสิณ ๔๐ จัดเป็นการฝึกในระดับ รูปฌาน สิ่งที่ตาเห็นได้จัดเป็นรูปที่มากระทบจักขุประสาท ส่งต่อให้จักขุวิญญาณรับรู้
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#28
โพสต์เมื่อ 29 June 2007 - 01:01 PM