ไปที่เนื้อหา


- - - - -

กราบเรียนถาม ทุกท่านในที่นี้ ครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 *ลูกแกะหลงทาง*

*ลูกแกะหลงทาง*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 20 February 2005 - 09:46 AM

กราบเรียนถาม ทุกท่านในที่นี้ ครับ

ผมเป็นคนนึงที่ดูมีโอกาส ได้ดู DMC นะครับ แล้วก็ผมก้เป็นคนนึงที่สนใจในเรื่องของศาสนา

เป็นอันมากครับ แล้วก็ กอปร กับที่บ้าน เป็น ชาวพุทธ ที่ค่อนข้างเคร่ง พอสมควรครับ

ผมมีข้อสงสัย ดังนี้ นะครับ

เรื่องนรก สวรรค์ ดุสิตบุรี อะไรพวกนี้ นี่มีจริงเหรอ ครับ ?

เพราะผมหาอ่านในพระไตรปิฏก ไม่พบนะครับ แต่ผม มาพบ เรื่องนรก สวรรค์ ใน

เรื่องไตรภูมิพระร่วงนะครับ ซึ่ง ก็มีก็ มี กฏ การ ลงโทษ ต่างๆ เหมือนกับ สมัยใน อยุธยา นะครับ

ไม่ทราบว่าตกลง เรื่อง นรก สวรรค์ นี่ เป็น เรื่อง ใน พระพุทธศาสนา หรือ ว่า เป็นการ อ้างอิง จาก

เรื่องไตรภูมิ พระร่วงครับ

เรื่องที่สอง นะครับ เสือบ เนื่อง จาก พระไตรปิฏก นะครับ ผม อ่านพบ ว่า

พระพุทธเจ้าท่าน ไม่ทรงอนุญาต ให้ ภิกษุ ต่างๆ แสดง อิทธิอำนาจ ต่างๆ ใช่ ไหม ครับ ?

เพราะ อยู่ ใน กฏ ของ สงค์ 228 ข้อนะครับ ( ไม่แน่ใจในตัวเลขนะครับ )

ไม่ว่าจะเป็นการ เหาะ เหิน เดิน อากาศ หรือ ว่า ใดๆ ก็ ตาม ดังจะพบได้ว่า พระพุทธเจ้า ทานเคย

กล่าวตักเตือน พระโมคละนะ เป็นต้น

สาม เนื่องจาก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า จุดมุ่งหมายสูง สุด ของการ เป็น

ชาว พุทธ คือ การ นิพพาน ใช่ไหม ครับ นิพพาน

( ผมอ่านพบว่า เป็น การว่างเปล่า สูญเปล่า ไร้ ตัวต้น )

ไม่ทราบว่า ดุสิต บุรี สวรรค์ ชั้นต่างๆ นั้นนะ ใช่ นิพพานไหมครับ

สี่ เนื่องจาก พระพุทธเจ้า ท่าน เคยเป็นเจ้าชาย เป็น กษัตริย์ มาก่อน ใช่ไหมครับ

แต่ท่านละทิ้ง ความสบาย อำนาจ ความุขทางโลก ความสุขทางวัตถู ต่างๆ มาออกผนวช เพื่อหา

ความสุข สงบที่แท้จริงใช่ไหมครับ ทำไม ที่วัด ถึง ขยันสร้างนู่น สร้างนี่ กัน จังเลยครับ ทำไม

เน้นทาง ด้าน วัตถุจังเลยครับ ทำไมไม่เน้นทางด้านพุทธธรรม บ้าง แล้วก็ แนวความคิดละครับ เท่า

ที่ผมพบ จะเป็น การเน้น ทางด้าน วัตถู ซะ เป็น ส่วนใหญ่ ล่ะครับ

ทั้งหมดนี้ ต้องกราบขอเรียนถามด้วยครับ ถ้า กระผม ผิดพลาดประการใดขออภัย

เป็น อย่างสูงด้วยครับ
ปล.เนื่องจากผม ตอนนี้ กำลังหลงทางครับ เพราะ ผม สับสน กับพระไตรปิฏก

ของท่านพระพุทธ แล้ว ก็ หนังสือ ธรรมต่างๆ ของท่าน พุทธาตุ นะครับ แล้วก็

แนวทางของที่วัดนะ ครับ ไม่ทราบว่า แหล่งใด เป็น แหล่งที่ถูกต้องนะครับ

ปล.2 ผมเพิ่งอายุ 23 เองครับ ถ้า ผิดพลาด บกพร่อง ประการใด ขออภัย ด้วยครับ
เนื่องจาก หลงทาง จริงๆ ครับ

#2 *หนึ่ง*

*หนึ่ง*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 20 February 2005 - 11:10 AM

เรื่องนรกสวรรค์ มีในพระไตรปิฎกแน่นอนครับ ถ้าพระไตรปิฎกที่คุณอ่านเป็นฉบับที่สมบูรณ์ ไม่มีการตัดต่อย่อความอะไรนะครับ ไม่ต้องอะไรมากเอาแค่พุทธประวัติก็พอ ได้มีการกล่าวถึงสวรรค์ชั้นต่างๆอยู่ เช่น ตอนเสด็จไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น ลองไปหามาอ่านดูนะครับ

การแสดงฤทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านกำหนดพระวินัย ในศีล227ข้อ มีข้อที่ห้ามแสดงฤทธิ์จริงครับ แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยอยู่ ซึ่งผมก็จำไม่ได้ เอาเป็นว่าลองไปหาอ่านพระวินัยสงฆ์ดูละกันครับ

คำว่านิพพาน แปลตรงตัวตามพระบาลี แปลว่า ดับ ครับ ดับเฉยๆนะครับไม่ใช่ดับสูญ แต่ถ้าถามว่าอะไรดับ ตอบว่ากิเลสดับครับ คือนิพพานนั้นไม่มีกิเลสเหลืออยู่เลยดับสนิทหมด

ดุสิตบุรีไม่ใช่นิพพานครับ เป็นสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่สี่ในสวรรค์ทั้งหกชั้น

วัดสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อรองรับสาธุชนมีมาวัดครับ ถ้าไม่มีคนมา วัดคงไม่ต้องสร้าง แต่นี่บางงานมีคนมาเป็นแสนๆ ถ้าไม่สร้างแล้วจะให้สาธุชนไปปฏิบัติธรรมที่ไหนล่ะครับ ไปนั่งกลางทุ่งนาก็คงไม่ได้(เมื่อก่อนสภาธรรมกายสากลที่ใช้ปฏิบัติธรรมอยู่ประจำเป็นทุ่งนาโล่งๆ) แล้วที่คนมาเยอะเพราะเขามาแล้วเขาได้ธรรมะกลับไปนี่แหละครับ ไดรับความสุขจากธรรมะของพระสัมมาสัสพุทธเจ้า ทำให้คนมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณดูDMC จะเห็นว่าทุกอย่างเป็นการสอนธรรมะทั้งสิ้นนะครับไม่มีอย่างอื่นเลย

#3 *ณัฐฤดี*

*ณัฐฤดี*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 20 February 2005 - 04:16 PM

สวัสดีจ๊ะลูกแกะหลงทาง ลูกแกะตัวน้อย ๆ กำลังหลงทางจริง ๆ ด้วย พี่ก็เคยเป็นอย่างน้องนี่แหละไม่เคยมีใครมายืนยันให้เราว่า นรก สวรรค์ มีจริง แต่พี่ชอบอ่านพระสุตันตปิฎกนะ อ่านแล้วเพลินดี รู้ประวัติพระชาติต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้าและพระอริยะสาวก ซึ่งก็มีเรื่องเวียนว่ายตายเกิด มีสถานที่รองรับคนที่ทำความดี ความชั่ว แต่พี่ก็ยังไม่แน่ใจ จนกระทั่งได้มีโอกาสมานั่งสมาธิ แบบพุทธโธ, ยุบหนอ พองหนอ, และสัมมาอะระหัง นั่งมาหม๊ดทุกแบบ พอได้นั่งใจเราก็ละเอียดขึ้น ๆ จน พี่ก็ไม่รู้ว่า พี่เริ่มเชื่ออย่างมั่นคงตอนไหนว่า นรก สวรรค์ มีอยู่จริง พี่อยากให้น้องลองนั่งธรรมะดูตามที่หลวงพ่อ และพระอาจารย์นำนั่งแหละจ๊ะ เมื่อใจเราละเอียดขึ้น เราค่อยมาศึกษาใหม่ อ่านทีละแผ่นทีละหน้า เราจะเห็นว่าความคิดของเราจะเปลี่ยนไปจ๊ะ

เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้พระมหาโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์นั้น เหตุมีอยู่ว่า วัน ๆ ชาวบ้านพากันมาขอให้พระโมคคัลลานะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดู ท่านเป็นพระก็ไม่รู้จะปฏิเสธญาติโยมอย่างไร แสดงก็แสดง เป็นอันว่า ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ทั้งพระทั้งโยม พระพุทธเจ้าทราบเรื่องเข้าจึงเรียกประชุมสงฆ์ สั่งห้ามแสดงฤทธิ์ ซึ่งหลักของพระพุทธศาสนาคือการปฏิบัติธรรม การเอาใจไปติดกับเรื่องฤทธิ์ ทำให้ใจเราห่างจากพระนิพพานจ๊ะ ปกติฤทธิ์จะเป็นผลพลอยได้ของการนั่งธรรมะได้หนะจ๊ะ ซึ่งแต่ละคนจะได้ไม่เท่ากันแล้วแต่กำลังบุญ บารมี

พระนิพพาน คือ บรมสุข สุขอย่างยิ่ง เป็นภพ ที่ออกจากภพสามแล้ว ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ภพภูมิที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่สามภพนะจ๊ะ คือ สวรรค์ มนุษย์ และนรก พระนิพพานไม่ต้องทำกิจอย่างมนุษย์ คือไม่ต้องนอน ไม่ต้องขับถ่าย ไม่ต้องทำมาหากิน มีความสมบูรณ์แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว และพระอริยะสาวก ก็อยู่ที่นั่น นั่งเข้านิโรธสมาบัติ ด้วยกายใสบริสุทธิ์ อยู่บนพื้นที่โล่ง ๆ กว้าง ๆ เราจะเอาร่างกายของเรา คือ กายมนุษย์ของเราไปเปรียบกับท่านไม่ได้นะ เพราะเรายังไม่สมบูรณ์ ที่ว่าสุขอย่างยิ่ง คือ การเป็นมนุษย์ ชาวสวรรค์ และสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ยังต้องเศร้าโศกกับเรื่องราวที่พบเจอไม่รู้จักจบจักสิ้น เปลี่ยนร่างแล้วเปลี่ยนร่างอีก มีแต่พระนิพพานเท่านั้นจ๊ะที่จะทำให้เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก

ดุสิตบุรี คือ สวรรค์ ชั้นที่ 4 จากสวรรค์ ทั้ง 6 ชั้น เป็นที่พักระหว่างทาง ของพระบรมโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์ ในการสร้างบารมีจ๊ะ ยังไม่ใช่นิพพานจ๊ะ สวรรค์ มนุษย์ นรก ยังจัดอยู่ในกามภพอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เมื่อบารมีของพระโพธิสัตว์เต็มเปี่ยมก็จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเมื่อปรินิพพานแล้วก็จะไปอยู่ในอายตนะนิพพานจ๊ะ

ที่ถามมาทั้งหมดแกล้งถามใช่ไหมจ๊ะ จริง ๆ อยากรู้ข้อสุดท้ายใช่ไหมหละ เรื่องวัดพระธรรมกายนี่
ทำไมสร้างกันไม่เสร็จซักทีไช่ไหมจ๊ะ เมื่อก่อนพี่ก็คิดอย่างน้องแหละจ๊ะ ก็อย่างที่ว่าพอพี่ได้นั่งธรรมะมากขึ้น เรื่องราวต่าง ๆ มันก็ชัดขึ้นตามลำดับ พี่จะเริ่มเล่าแล้วนะ แอ่น แอน แอ๊น การมาบังเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ก็พาสรรพสัตว์ผู้มีปัญญาไปนิพพานได้หยิบมือนึง แต่ก็ไม่หมดภพสามซักกะที เราก็เฝ้าเพียรฝันว่า เมื่อไหร่สรรพสัตว์ทั้งหลายจะไปนิพพานกันหมดซักที ไม่ต้องมานั่งจ๋องอยู่อย่างนี้ และแล้วเราก็พบว่า มีหมู่คณะหนึ่งที่สร้างบารมีเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์มีมโนปณิธารแน่วแน่ ที่จะนำสรรพสัตว์ทั้งอนันตจักรวาลข้ามไปฝั่งพระนิพพาน แต่เราจะเห็นว่าการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ใช้เวลานานมาก และแต่ละชาติก็เข้มข้นมาก เช่นพระปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า 20 อสงไขย แสนมหากัป, พระวิริยาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า 80 อสงไขย แสนมหากัป ยาวนานกันขนาดนั้น เข้มข้นขนาดนั้น แต่ก็พาสรรพสัตว์ไปได้เพียงหยิบมือหนึ่ง การมาเกิดสร้างบารมีของหมู่คณะนี้จะมาระหว่างพุทธธันดร คือ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งกับพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง แต่ละคนต้องมีบุญบารมีมาก ๆ เข้มข้น เท่าทันกันทั้งทีม ฟัง ๆ ดูเหมือนหนังซุปเปอร์ฮีโร่เลยเน๊อะ แต่ก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะจ๊ะ การมาเกิดแต่ละครั้งเราก็จะเพลินกับเรื่องต่าง ๆ ทางโลก จนลืมเป้าหมายของการมาเกิดบางคนมาจากดุสิตบุรี แต่ก็ไม่ได้กลับนะจ๊ะ พลาดไปนรกก็มี ไปสวรรค์ชั้น 1,2, 3 ก็มี บางหมู่คณะมาเจอเราก็มารวมกับเรา แต่บางหมู่ say goodbye จ๊ะ ขอไปนิพพานดีกว่า เพราะการสร้างบารมีแบบนี้มันไม่รู้ว่า จุดปลายสุดอยู่ที่ไหน ต่างกับหนังฮีโร่ตรงที่เราไม่รู้ตอนจบนะจ๊ะ

นั่นแหละ บางทีน้องอาจจะขัดใจ กับการก่อสร้าง กับสถานที่ใหญ่โต การสร้างบารมีเข้มข้น เพราะเราไม่คุ้นเคย กับภาพอย่างนี้ การสร้างสถานที่ใหญ่ ๆ ก็เพื่อรองรับคนมาก ๆ เมื่อก่อนวัดเรามีพื้นทีแค่ 196 ไร่เองนะจ๊ะ ต่อมาท่านมารู้ว่าลูก ๆ ที่ตามมาสร้างบารมีกับท่านมีอีกเป็นล้าน ๆ คน และไหนจะหมู่คณะอื่นอีก ท่านก็สร้างเพื่อให้รองรับพวกเราได้ ถ้าไม่มีสถานที่ ไม่มีห้องน้ำ คนที่มาก็ไม่อยากมาอีกเพราะลำบาก จะเป็นการตัดโอกาสการสร้างบารมีของเขาเอง จ๊ะ นี่แหละความจำเป็นต้องมีสถานที่กว้าง ๆ เพื่อรองรับคน ส่วนเจดีฐ์ วิหาร โบสถ์ ที่แข็งแรง ใหญ่โต รูปร่างเรียบง่ายไม่วิจิตรพิศดารเพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษา ซึ่งจะให้อยู่ได้อีกเป็นพันปี คนรุ่นหลังมาสามารถซ่อมแซมได้ไม่ยากจ๊ะ ส่วนเราก็ได้บุญต่อเนื่อง หลวงพ่ออยากให้เราได้สร้างสมบุญมากๆ เพราะเวลาเราตายมันมีภพภูมิที่รองรับเราอยู่ ท่านอยากให้เราทำบุญทุกวันด้วยซ้ำ ให้นั่งธรรมะมาก ๆ จะได้มีบุญติดตัวไป ถึงแม้เราจะไม่ได้สร้างบารมีไปกับท่านก็ตาม เราจะได้มีบุญติดตัวไปนิพพานก่อนท่าน จ๊ะ

จาก พี่ณัฐ
(ยาวหน่อยนะจ๊ะ พอดีพี่เม๊าท์แตก)

#4 *dadd*

*dadd*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 20 February 2005 - 10:34 PM

อ่านกระทู้นี้แล้ว ได้ความรู้ ความเข้าใจ เพิ่มขึ้นมากเลยครับ

#5 sao-wanee

sao-wanee
  • Members
  • 100 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 February 2005 - 08:46 AM

ความรู้ด้านอื่น ๆ ท่านอื่นช่วยตอบแล้วนะค่ะ
ส่วนเรื่องที่วัด สร้างโน้นสร้างนี่ สร้างกันจัง
หลวงพ่อท่านก็คอยพูดย้ำว่า หากท่านใจแข็งสักหน่อย(ทนได้) คนมาจะมากหรือน้อยแค่ไหน
ก็ทำเท่าเดิม ตามจริงตัวท่านไม่เดือดร้อนเลยนะค่ะ แต่ท่านห่วงสาธุชน ลูก ๆ ของท่านต้องนั่งตากแดดตากลม บางทีหน้าฝน จะทำยังไงล่ะค่ะ หากแดดมันเย็น ฝนมันไม่เปียก ก็ดีซิค่ะ เพราะเราก็ชอบวัดที่โปร่งโล่ง ๆ กว้าง ๆ มีต้นไม้ให้ร่มเงา ประเภทแบบอาคารชิด ๆ ติดกันไปหมด ไม่ไหวค่ะท่านจำเป็นต้องสร้างสัปปายะ เพื่อสาธุชน และสำหรับลูก ๆ พระธัมที่ติดตามท่านสร้างบารมีนะ
ลองนึกดูนะค่ะ เอาแค่วันอาทิตย์ธรรมดา บางส่วนอยู่ในอาคาร อย่างสภาหลังเก่า ไปดูซิค่ะ เ
คิดว่าเกือบล้นแล้วนะ แล้วอาทิตย์ต้นเดือนล่ะ ล้นแน่ ๆ แล้วคนที่มาทีหลัง มาเยอะกว่าเก่า คนเหล่านั้นจะเอาอาคารที่ไหนอยู่ระหว่างปฎิบัติธรรมค่ะ ก็เหมือนพี่ณัฐบอกล่ะค่ะ
แต่พี่คิดว่านะทุกสิ่งทุกอย่างเงินทุกเม็ดที่เราฝากไว้ในพระพุทธศาสนา สถานที่ใดมีการใช้สอยอยู่เรื่อย ๆ จากผู้มีบุญมีบารมีจะอ่อนจะเข้ม ย่อมได้ประโยชน์มากกว่าจริงเปล่าค่ะ

ส่วนทางด้านพระธรรมคำสั่งสอน ท่านก็เน้นไปทางพระภิกษุสามเณร เพราะ ถือว่าเป็นภารกิจสำคัญของสมณะ ส่วนสาธุชน และลูกพระธัมที่บารมีทางนี้ยังอ่อน ท่านก็ดึงบางส่วนมาสอนให้เข้าใจง่ายๆ


ปล.เนื่องจากผม ตอนนี้ กำลังหลงทางครับ เพราะ ผม สับสน กับพระไตรปิฏก

ของท่านพระพุทธ แล้ว ก็ หนังสือ ธรรมต่างๆ ของท่าน พุทธาตุ นะครับ แล้วก็

แนวทางของที่วัดนะ ครับ ไม่ทราบว่า แหล่งใด เป็น แหล่งที่ถูกต้องนะครับ

ไม่ทราบว่าน้องไปอ่านในเว็บพลังจิตมาบางหรือเปล่า
เพราะพี่ก็เคยอ่าน เพราะมีคนบอกว่า ท่านพุทธทาส ท่านบิดเบือน (ประมาณนี้นะค่ะ)
เค้าจะโพสต์ยังไงแล้วแต่นะค่ะ พี่ว่า หากน้องศึกษาพระไตรปฎิกมา ย่อมแยกแยะออกนะค่ะ
พี่ว่า น้องเป็นคนมีบุญมากนะค่ะ ที่อายุยังน้อยแล้วมีโอกาสได้อ่านพระไตรปฎิก
หากว่าง ๆ พี่ว่าน่าบวชธรรมทายาทนะค่ะ เพราะถือว่าได้มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะที่ดีที่สุด
เพราะต่อไปโตขึ้น มีงานมีการทำ จะไม่มีเวลา
ลิงค์นี้เกี่ยวกับวัดค่ะ
http://www.palungjit...read.php?t=3528

#6 *ผ่านมา*

*ผ่านมา*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 21 February 2005 - 03:07 PM

นรก สวรรค์มีแน่นอน ลองอ่านดู
๑๐. เทวทูตสูตร
[๕๐๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว.
[๕๐๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนเรือน ๒ หลังมีประตูตรงกัน บุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ระหว่างกลางเรือน
๒ หลังนั้น พึงเห็นมนุษย์กำลังเข้าเรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลัง
เดินมาบ้าง กำลังเดินไปบ้าง ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
เราย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มี
ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ย่อมทราบชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมได้ว่า สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้
ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็น
สัมมาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิเมื่อตายไปแล้ว เข้าถึง
สุคติโลกสวรรค์ก็มี สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจ
สัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว บังเกิดในหมู่มนุษย์ก็มี สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้
ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉา-
ทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงปิตติวิสัยก็มี
สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อ
ตายไปแล้ว เข้าถึงกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานก็มี สัตว์ผู้กำลังเป็นเหล่านี้ ประกอบ
ด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ
เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
นรกก็มี.
[๕๐๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะจับสัตว์นั้นที่ส่วน
ต่าง ๆ ของแขนไปแสดงแก่พระยายมว่า ข้าแต่พระองค์ บุรุษนี้ไม่ปฏิบัติชอบ
ในมารดา ไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อม
ต่อผู้ใหญ่ในสกุล ขอพระองค์จงลงอาชญาแก่บุรุษนี้เถิด.
ว่าด้วยเทวทูตที่ ๑
[๕๐๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระยายมจะปลอบโยน เอาอกเอาใจ
ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๑ กะสัตว์นั้นว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็น
เทวทูตที่ ๑ ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ.
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยเจ้าข้า.
พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเด็ก
แดง ๆ ยังอ่อนนอนแปดเปื้อนมูตรคูถของตนอยู่ในหมู่มนุษย์หรือ.
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า.
พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความ มีสติ
เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความเกิดเป็น
ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา
และทางใจ.
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสียเจ้าข้า.


ส่วนสวรรค์ ก็ลองอ่าน

๖. สัทธาสูตร
ว่าด้วยศรัทธา
[๑๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วง
ไปแล้ว พวกเทวดาสตุลลปกายิกามากด้วยกัน มีวรรณะงาม ยังพระวิหารเชตวัน
ทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๑๑๓] เทวดาองค์หนึ่ง ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้
กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน หาก
ว่าความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาไม่ตั้งอยู่ แต่นั้น
บริวารยศและเกียรติยศย่อมมีแก่เขานั้น
อนึ่ง เขานั้นละทิ้งสรีระแล้วก็ไปสู่สวรรค์
บุคคลพึงละความโกรธเสีย พึงทิ้งมานะ
เสีย พึงล่วงสังโยชน์ทั้งปวงเสีย กิเลส
เป็นเครื่องเกี่ยวข้อง ย่อมไม่เกาะเกี่ยว
บุคคลนั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องในนามรูป ผู้ไม่
มีกิเลสเป็นเครื่องกังวล.
[๑๑๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
พวกชนพาลผู้มีปัญญาทราม ย่อมตาม
ประกอบความประมาท ส่วนนักปราชญ์

#7 Somsakul V.

Somsakul V.
  • Members
  • 106 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Nonthaburi, Thailand + Tochigi Japan
  • Interests:Personal Computer

โพสต์เมื่อ 21 February 2005 - 07:25 PM

ร่วมด้วยช่วยแจมครับ ผมชื่อโตอายุ 26 ขวบ

-- เรื่องนรก สวรรค์ ดุสิตบุรี อะไรพวกนี้ นี่มีจริงเหรอ ครับ ?

ตอบว่า มีจริงครับ

-- เพราะผมหาอ่านในพระไตรปิฏก ไม่พบนะครับ แต่ผม มาพบ เรื่องนรก สวรรค์ ใน
เรื่องไตรภูมิพระร่วงนะครับ ซึ่ง ก็มีก็ มี กฏ การ ลงโทษ ต่างๆ เหมือนกับ สมัยใน อยุธยา นะครับ
ไม่ทราบว่าตกลง เรื่อง นรก สวรรค์ นี่ เป็น เรื่อง ใน พระพุทธศาสนา หรือ ว่า เป็นการ อ้างอิง จาก
เรื่องไตรภูมิ พระร่วงครับ


ตอบ เป็นเรื่องในพระพุทธศาสนาครับ ที่คุณน้องหาไม่เจอเป็นเพราะคุณน้องอ่านยังไม่จบ
ลองใช้ google แล้วพิมพ์คำว่า "นรก" หรือ "สวรรค์" จะเจอครับ


-- เรื่องที่สอง นะครับ เสือบ เนื่อง จาก พระไตรปิฏก นะครับ ผม อ่านพบ ว่า
พระพุทธเจ้าท่าน ไม่ทรงอนุญาต ให้ ภิกษุ ต่างๆ แสดง อิทธิอำนาจ ต่างๆ ใช่ ไหม ครับ ?


ตอบ ถูกต้องนะค๊าบ แต่ยังไม่ที่สุด ถ้าภิกษุนั้นไม่มีฤทธิ์แล้วแสดงฤทธิ์เพื่อหวังลาภสักการะ ถึงขั้นอาบัติปราชิก เพราะตั้งใจโกหกครับ แต่ถ้ามีฤทธิ์แล้วแสดงฤทธิ์ก็เป็นอาบัติไม่ร้ายแรง ปลงอาบัติได้ค๊าบ


--- เพราะ อยู่ ใน กฏ ของ สงค์ 228 ข้อนะครับ ( ไม่แน่ใจในตัวเลขนะครับ )
ไม่ว่าจะเป็นการ เหาะ เหิน เดิน อากาศ หรือ ว่า ใดๆ ก็ ตาม ดังจะพบได้ว่า พระพุทธเจ้า ทานเคย
กล่าวตักเตือน พระโมคละนะ เป็นต้น


ตอบ ศีล 227 ค๊าบโผม ถ้าจะคิดว่าหลวงพ่อกำลังแสดงฤทธิ์ คิดผิดแล้วค๊าบ ท่านไม่เคยบอกว่า อ่านี่ท่านแสดงฤทธิ์อยู่นะ ท่านบอกว่าท่านหลับแล้วฝัน เป็นตุเป็นตะ จึงเล่าให้ฟังเป็นนิทาน เพราะฉะนั้น ต้องวินิจฉัยดีๆ นะค๊าบ

--- สาม เนื่องจาก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า จุดมุ่งหมายสูง สุด ของการ เป็น
ชาว พุทธ คือ การ นิพพาน ใช่ไหม ครับ นิพพาน
( ผมอ่านพบว่า เป็น การว่างเปล่า สูญเปล่า ไร้ ตัวต้น )


ตอบ ถูกต้องนะค๊าบ โอ้.. ศูนย์เปล่าจากกิเลสตะหากค๊าบ และไร้ตัวตนที่ทำให้เกิดห่วงในโลกนี้ ตัวตนที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นนั่น เป็นนี่ มีเครื่องผูกมัดต่างๆน่ะครับ แต่ไม่ได้หมายความว่า ตัวเราดับสูญ ไม่ใช่ค๊าบ

--- ไม่ทราบว่า ดุสิต บุรี สวรรค์ ชั้นต่างๆ นั้นนะ ใช่ นิพพานไหมครับ

ตอบ คือสวรรค์ชั้นดุสิตค๊าบ (4th ชั้นที่ 4)

--- สี่ เนื่องจาก พระพุทธเจ้า ท่าน เคยเป็นเจ้าชาย เป็น กษัตริย์ มาก่อน ใช่ไหมครับ
แต่ท่านละทิ้ง ความสบาย อำนาจ ความุขทางโลก ความสุขทางวัตถู ต่างๆ มาออกผนวช เพื่อหา
ความสุข สงบที่แท้จริงใช่ไหมครับ


ตอบ ถูกต้องเกือบหมดค๊าบ ท่านละความสบายเพื่อฝึกตัว แต่ท่านไม่ได้ละความสบายใจนะค๊าบ
ท่านละอำนาจทางโลก แต่แสวงหาอำนาจของใจตัวเองค๊าบ เพื่อหาความสุขภายในที่แท้จริงค๊าบ ที่กิเลสจะบังคับใจให้เศร้าหมองมิได้


-- ทำไม ที่วัด ถึง ขยันสร้างนู่น สร้างนี่ กัน จังเลยครับ ทำไม
เน้นทาง ด้าน วัตถุจังเลยครับ ทำไมไม่เน้นทางด้านพุทธธรรม บ้าง แล้วก็ แนวความคิดละครับ เท่า
ที่ผมพบ จะเป็น การเน้น ทางด้าน วัตถู ซะ เป็น ส่วนใหญ่ ล่ะครับ


ตอบ วัดสร้างสิ่งก่อสร้างๆต่างๆ ก็ไม่ได้โอเว่อเลยนะค๊าบ เพราะคนมาเยอะ ก็เลยต้องสร้างใหญ่ ถ้ามาแล้วต้องนั่งตากแดดหัวแดง ก็คงไม่มีใครมานะค๊าบ *** ที่สำคัญ พวกเรายังไม่หมดกิเลส สาธุชนนี่แหละค๊าบ ที่รักสบาย ถ้ามาแล้วกายไม่สบาย ใจก็ยากที่จะสบาย นอนอยู่บ้านสบายกว่ามังค๊าบ จึงจำเป็นมากๆๆๆๆๆ ที่ต้องสร้างสภาใหญ่ๆ สร้างเจดีย์ใหญ่ๆ มีห้องน้ำดีๆ สะอาดๆ แบบนี้ไงค๊าบบบบบ *** ถ้าอยากรู้ว่าพระที่นี่อยู่สบายไหม ให้มาบวชดูค๊าบ หรือมานอนหมู่บ้านปฏิบัติธรรมได้ค๊าบ
ส่วนธรรมะ ก็เน้นค๊าบ เพียงแต่ว่าพูดให้เข้าใจง่าย ลองดูจาก DMC จะพบว่าเข้าใจง๊าย ง่าย ซึมซาบง่าย ถ้าไม่เน้น พระท่านคงไม่ต้องมาเทศน์ทุกวันๆ หรอกค๊าบโผม


--- ทั้งหมดนี้ ต้องกราบขอเรียนถามด้วยครับ ถ้า กระผม ผิดพลาดประการใดขออภัย
เป็น อย่างสูงด้วยครับ
ปล.เนื่องจากผม ตอนนี้ กำลังหลงทางครับ เพราะ ผม สับสน กับพระไตรปิฏก
ของท่านพระพุทธ แล้ว ก็ หนังสือ ธรรมต่างๆ ของท่าน พุทธาตุ นะครับ แล้วก็
แนวทางของที่วัดนะ ครับ ไม่ทราบว่า แหล่งใด เป็น แหล่งที่ถูกต้องนะครับ


ตอบ มิเป็นไรค๊าบ ที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้วคือ ถ้าสงสัยก็ควรถามค๊าบ ของท่านพุทธทาสท่านก็ถูกค๊าบ เพียงแต่คุณเข้าใจไม่หมดน่ะเอง เพราะเรามัวแต่มองต่างมุมค๊าบ ก็เลยคิดว่าแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน แล้วก็เกิดเป็นอัตตา คือตัวเรา ตัวเขา ทำให้ทะเลาะกัน ถ้ามองกลาง แล้วทำใจขยายๆ ก็จะเห็นภาพรวมหมดแหละค๊าบ (เข้าใจมั๊ยเนี่ย)

--- ปล.2 ผมเพิ่งอายุ 23 เองครับ ถ้า ผิดพลาด บกพร่อง ประการใด ขออภัย ด้วยครับ
เนื่องจาก หลงทาง จริงๆ ครับ


ตอบ ดีจังเลยครับ อายุไม่มาก แต่สนใจพระพุทธศาสนา ถามได้อีกนะค๊าบ สาธุ
ปล่อยวางซะมั่ง

#8 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 29 January 2007 - 08:34 AM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ