คัดลอกมาบางส่วน
พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้แพร่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เริ่มมาจากการทำสังคายนาครั้งที่ ๓
นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงเป็นแบบอย่างให้พระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะ ดำเนินตามคือ
อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
ดังปรากฏในศิลาจารึก ฉบับน้อย จารึกฉบับใต้ ตอนที่ ๑ ความว่า
“…………..นับเป็นเวลาเกินกว่า ๒ ปีครึ่งแล้วที่ข้า ฯ ได้เป็นอุบาสก
แต่ตลอดเวลา ๑ ปี
ข้าฯ มิได้กรำทำความพากเพียรใดๆ อย่างจริงจังเลย
และนับแต่เป็นเวลาปีเศษแล้วที่ข้าฯ ได้เข้าหาสงฆ์
ข้าฯ จึงได้ลงมือทำความเพียรอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา”
พระจริยาวัตรนี้ พระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย
จนถึงปัจจุบันได้ปฏิบัติมาโดยไม่ขาดสาย
จริยาวัตรที่งดงามอีกหลายประการเช่น
- การแต่งตั้งอำมาตย์ผู้แนะนำประชาชนให้ตั้งอยู่ในธรรม
- การประกาศให้ข้าราชการรักษาอุโบสถศีลในวันพระ หรือวันอุโบสถ
- การขุดบ่อน้ำเพื่อสาธารณประโยชน์
- การปลูกต้นไม้เพื่อพักในการเดินทาง หรือ
- การตั้งโรงพยาบาลรักษาทั้งมนุษย์และสัตว์
แต่ที่เป็นหลักฐานสำหรับนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังคือ
จารึกของพระองค์ ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความจริง
ที่มีบุคคลและประวัติศาสตร์ สถานที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาปรากฏให้โลกรับทราบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลาจารึกที่ลุมพินี ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระพุทธเจ้าประสูติที่ลุมพินี
เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องเล่า หรือนิยายปรัมปรา
นอกจากนี้ พระเจ้าอโศกมหาราชยังได้ประกาศห้ามมิให้ฆ่าสัตว์เพื่อการกีฬาและกินเป็นอาหาร
และประกาศนี้ ส่งผลให้ชาวอินเดียเกือบทั้งหมด ไม่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร กินแต่พืชผักผลไม้
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง
รัฐบาลอินเดียได้ประกาศให้รูปสลักบนเสาศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ
สิงห์สี่ตัวนั่งหันหลังชนกัน
(สลักจากหินก้อนเดียว อยู่บนเสาศิลาจารึกที่ป่าอิสิปตนะ มฤคทายวัน เมืองพาราณสี)
เป็นตราประจำประเทศอินเดียมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับจารึกของพระเจ้าอโศกนั้น มีเป็นจำนวนมาก พบเกือบทั่วทวีปเอเชียตอนใต้ และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทีสำคัญของพระพุทธศาสนาและของโลก
แต่สำหรับในทีนี้เห็นว่ายาวเกินไป จึงไม่ขอนำมากล่าว
ปัจจุบันถึงแม้ว่า นครปาฏลีบุตรจะไม่รุ่งเรืองเหมือนดังเดิม วัดอโศการาม สถานที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ เหลือเพียงซากปรักหักพังและถูกน้ำท่วมในฤดูฝน
แต่เกียรติคุณของพระเจ้าอโศกมหาราชยังคงอยู่ความทรงจำของชาวพุทธและประชาชนทั่วโลก ในฐานะพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่ปกครองบ้านเมืองด้วยธรรม พระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย
ก็สืบเนื่องมาจากการสังคายนาครั้งที่ ๓ เกียรติประวัติของพระองค์ได้ถูกยกย่องไว้เป็นอย่างมาก
ดังที่นายเอ็ช จี เวลส์ ( H G Wels) เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง
เปิดเผยประวัติศาสตร์( OUTLINE OF HISTORY) ว่า
“ ในท่ามกลางพระนามของราชามหากษัตริย์นับได้จำนวนหมื่นๆ พระองค์
ซึ่งปรากฏอย่างมากมายในหน้ากระดาษประวัติศาสตร์
ในท่ามกลางพระนามของพระเจ้าแผ่นดินและเจ้าฟ้าราชันผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระนามของพระเจ้าอโศกพระองค์เดียวเท่านั้นก็แทบจะว่าได้ส่องแสงจรัสจ้าดังดวงดารา
ตั้งแต่ดินแดนในลุ่มน้ำวอลก้าจนถึงประเทศญี่ปุ่น
พระนามของพระเจ้าอโศกยังคงได้รับการคารวะอยู่แม้กระทั่งในยุคปัจจุบัน จีน ทิเบต และแม้แต่อินเดียซึงได้ละทิ้งหลักธรรมของพระเจ้าอโศกเสียแล้ว
ก็ยังคงรักษาประเพณีนิยมแห่งความยิ่งใหญ่ของพระองค์ไว้
ทุกวันนี้มวลมนุษย์เทิดทูนกิตติคุณของพระเจ้าอโศกมากยิ่งกว่าที่เราได้ฟังพระนาม
ของคอนสตันไตน์(Constantine) หรือชาร์ลมาญ(Charlemagne) เสียอีก”
ประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช
อดีตชาติของพระเจ้าอโศก (ตามจดหมายเหตุของหลวงจีนฟาเหียน)
หลวงจีนฟาเหียนได้เล่าไว้เพียงเล็กน้อย ดังต่อไปนี้
ในอดีตชาติ พระเจ้าอโศกเกิดเป็นเด็กเล็กๆ เล่นอยู่บนถนน และได้พบกับพระพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสปะกำลังเสด็จมาบิณฑบาต
เด็กชายอโศกได้เอากอบเอาดินเต็มกำมือไปถวายแด่พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงรับและทรงเทลงบนพื้นดิน และเสด็จไป ฯ
ด้วยผลบุญนี้
เด็กชายอโศกจึงกลับชาติมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
ปกครองชมพูทวีปทั้งหมดแด่เพียงผู้เดียว
ในมงคลทีปนี ภาคที่ ๒ ข้อที่ ๓๖ กล่าวไว้ ดังต่อไปนี้
ในอดีตได้มีพ่อค้าขายน้ำผึ้งคนหนึ่งในเมืองพาราณสี ฯ
พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งอาพาธ พระอีกรูปหนึ่งจึงไปบิณฑบาตเพื่อนำน้ำผึ้ง
มาปรุงเป็นยาถวายพระที่อาพาธจึงได้เข้าไปในเมืองพาราณสี ฯ หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทราบว่าท่านต้องการจะไปบิณฑบาตน้ำผึ้งในเมือง
จึงชี้บอกทางไปร้านขายน้ำผึ้ง พร้อมกับคิดว่าถ้าพ่อค้าไม่ถวายน้ำผึ้งแก่พระคุณเจ้า เราจะจัดถวายเอง ฯ
พ่อค้าน้ำผึ้งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ถวายน้ำผึ้งจนล้นบาตร
พร้อมตั้งความปรารถนาว่า
ท่านขอครับ ด้วยบุญกุศลนี้ กระผมพึงเป็นใหญ่ในชมพูทวีป
อำนาจจงแผ่ในทั้งบนอากาศและบนบกประมาณ โยชน์หนึ่ง ฯ
พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงอนุโมทนา ฯ
ต่อมาหญิงชาวบ้านพบพระอีกครั้งหนึ่ง
ทราบว่าท่านได้น้ำผึ้งแล้วและรู้ว่าพ่อค้าน้ำผึ้งตั้งความปรารถนาไว้อย่างนี้
จึงอธิษฐานขอให้เกิดเป็นเมียของพ่อค้าน้ำผึ้งในอนาคต ฯ
ในปัจจุบันชาติพ่อค้ากลับชาติมาเกิดเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช
หญิงชาวบ้านเป็นอัครมเหสีของพระองค์ ฯ
ในอรรถกถาสมันตปาสาทิกา (ภาคภาษาบาลี) ภาคที่ ๑
ตอนการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ หน้าที่ ๕๐ เป็นต้นไป บันทึกประวัติของพระเจ้าอโศกไว้ดังต่อไปนี้
พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นพระราชโอรสองค์หนึ่งในจำนวน ๑๐๑ พระองค์ของพระเจ้าพินทุสาร ซึ่งต่อมาได้ฆ่าพระราชกุมารพี่น้องเกือบหมดยกเว้นแต่พระติสสกุมารที่เกิดจากพระมารดาพระองค์เดียวกัน
พระเจ้าอโศกได้เป็นอุปราชปกครองเมืองอุชเชนี และได้อภิเษกกับลูกชาวเศรษฐีชื่อว่า เวทิสา แห่งเมืองเวทิสา มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งพระนามว่า มหินทะ และพระราชธิดาพระนาม สังฆมิตตา
เมื่อพระเจ้าพินทุสารพระราชบิดาทรงชราภาพ พระเจ้าอโศกได้ย้ายมาจากเมืองอุชเชนีสู่เมืองปาฏลีบุตร
และได้ฆ่าพี่น้องเป็นจำนวนมากผู้ขัดขวางการครองราชสมบัติของพระองค์เป็นระยะเวลาถึง๔ ปี
จึงได้ครองราชสมบัติที่กรุงปาฏลีบุตร
พระองค์เมื่อทรงได้ครองราชสมบัติแล้ว ก็ได้เลื่อมใสในศาสนาพราหมณ์ตามพระบิดาเป็นระยะเวลาถึง ๓ ปี
และได้ถวายทาน และปัจจัยอื่นๆ นักบวชในศาสนาพราหมณ์เป็นประจำ
พระเจ้าอโศกได้ถวายทานสืบต่อมา โดยตั้งโรงทานในเมืองวันหนึ่งทรงยืนที่หน้าต่าง
ได้เห็นพวกปริพพาชกและพราหมณ์ที่มารับอาหารทาน มีกิริยามารยาทีไม่เรียบร้อย จึงทรงดำริที่จะนิมนต์นักบวชที่มีความประพฤติดีมานับอาหารบิณฑบาต จึงรับสั่งให้พวกอำมาตย์ไปนิมนต์นักบวชที่มีความประพฤติดีมารับบิณฑบาตภายในวัง
พวกอำมาตย์จึงพาพวกนักบวชเหมือนเดิมเข้ามา แต่ก็ไม่ทรงพอพระทัย
ต่อมาได้เห็นสามเณร นิโครธ เดินบิณฑบาต ด้วยกิริยาสำรวม สงบ สง่างาม น่าเลื่อมใส
ในที่สุดจึงได้ให้ราชบุรุษนิมนต์มารับภัตตาหาร และได้สนทนาธรรม จนเกิดความเลื่อมใสอย่างยิ่งในคำสอนและวัตรปฏิบัติของบรรพชิตในพระพุทธศาสนา
จึงได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและทำนุบำรุง เผยแผ่พระธรรมไปทั่วชมพูทวีปในที่สุด ....