ความเหมือนกับความแตกต่าง ระหว่างพระพุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์
เริ่มโดย Dd2683, Mar 22 2006 08:40 PM
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 22 March 2006 - 08:40 PM
พระพุทธศาสนา กับ วิทยาศาสตร์
ประเด็นที่พึงศึกษา
(๑) จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนากับของวิทยาศาสตร์
(๒) ความเชื่อตามหลักพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
(๓) ความคิดแบบพุทธกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์
(๔) ความสอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์
๑. จุดมุ่งหมายของวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์
วิทยาศาสตร์
- แก้ไขปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ต้องการรู้จักกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
พุทธศาสตร์
- เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติในนิยาม ๕ คือ อุตุ, พีช, จิต, กรรม, ธรรมชาติ
- ต้องการให้รู้กฎเกณฑ์ความจริงของชีวิตมนุษย์
๒. ความเชื่อ ตามหลักวิทยาศาสตร์ การจะเชื่อสิ่งใดต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน
เอาปัญญาและเหตุผลเป็นตัวตัดสินความจริง หลักพุทธศาสนาถือว่า
ความจริงจะต้องพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ ดุจหลัก กาลามสูตร และที่ไหนมีศรัทธาที่นั่นจะต้องมีปัญญา
๓. ความคิดแบบพุทธกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์คล้ายกันคือ
๓.๑ สืบสาวหาเหตุผลของปรากฏการณ์และของทุกข์
๓.๒ การเริ่มต้นหาความจริงจากประสบการณ์ อายตนะ และสภาวธรรม คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
๓.๓ กระบวนความคิด มีดังนี้
กระบวนการวิทยาศาสตร์
๑. ตั้งปัญหาให้ชัด
๒. ตั้งคำถามชั่วคราวเพื่อตอบทดสอบ
๓. รวบรวมข้อมูล
๔. วิเคราะห์ข้อมูล
๕. ถ้าคำตอบชั่วคราวถูกตั้งทฤษฎีไว้
๖. นำไปประยุกต์แก้ปัญหา
กระบวนการพุทธศาสตร์
๑.ทุกข์-ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
๒. หาคำตอบจากลัทธิ
๓. ลองปฏิบัติโยคะ
๔. รวบรวมผลการปฏิบัติ
๕. ผิดก็เปลี่ยน ถูกก็ดำเนินถึงจุดหมาย
๖. เผยแผ่แก่ชาวโลก
๔. ความสอดคล้องและความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากับหลักวิทยาศาสตร์
๔.๑ หลักไตรลักษณ์ คืออนิจจัง (impermanent) ทุกขัง (conflict) และอนัตตา (no-self)
๔.๒ การยอมรับโลกที่อยู่พ้นสสารวัตถุ (Metaphysics)
ทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ยอมรับสสารวัตถุ ซึ่งรู้จักได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ว่ามีจริง
โลกที่พ้นจากสสารวัตถุวิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับเพราะเชื่อว่าประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือสุดท้าย
ที่จะต้องตัดสินความจริง
พุทธศาสนาเชื่อว่า สัจธรรมชั้นสูงคือมรรค ผล นิพพาน ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส รู้ได้ด้วยปัญญินทรีย์
การอธิบายความจริง
วิทยาศาสตร์ถือว่า ความจริงเป็นสิ่งสาธารณะสามารถพิสูจน์ได้
สัจธรรมทางพุทธ มีทั้งสิ่งสาธารณะและปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ - อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน
สรุปความว่า
ความแตกต่างระหว่างพุทธศาสตร์ กับ วิทยาศาสตร์ที่สำคัญคือ
วิทยาศาสตร์ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม ความดีความชั่ว วางตัวเป็นกลางในเรื่องถูกผิด
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ให้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์
ส่วนคำสอนทางพุทธ-ศาสนานั้น เป็นเรื่องศีลธรรม ความดี ความชั่ว
มุ่งที่จะให้มนุษย์ในสังคมมีความสุขเป็นลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ
จนถึงความสงบสุขอันสูงสุดแล้วแต่ว่าใครจะไปได้แค่ไหน
ที่มา : พระไตรปิฎกวิจารณ์ (A Critical Study of the Tipitฺaka) / มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม
#2 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 23 March 2006 - 06:52 PM
วิทยาศาสตร์ (นอกจากการแพทย์) มุ่งหาความรู้รอบตัว มุ่งหาความรู้นอกตัว ไปสู่สุดขอบฟ้าขอบจักรวาล
พุทธศาสตร์ มุ่งหาความรู้ในตัว เกิดญานทัสสนะกว้างไกลไม่สิ้นสุด
พุทธศาสตร์ มุ่งหาความรู้ในตัว เกิดญานทัสสนะกว้างไกลไม่สิ้นสุด
#3 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 05:57 PM
แตกต่างคือไม่เหมือน....เหมือนคือไม่แตกต่างหรือ....เออไงอะ...วิชาการนี้ปวดหัวนะ....
เถียงไป..เถียงมา...พิสูจน์ไปๆ..มาๆ...สรุป...ตายหมด...เอ่อ...ไม่รู้จะกดขี่...กดดันใจ...
ไปถึงไหน....นี่ถ้าใจพูดได้นะ...เขาจะบอกว่าพอแล้ว.....ฉันอยากสบายๆๆๆ......
เถียงไป..เถียงมา...พิสูจน์ไปๆ..มาๆ...สรุป...ตายหมด...เอ่อ...ไม่รู้จะกดขี่...กดดันใจ...
ไปถึงไหน....นี่ถ้าใจพูดได้นะ...เขาจะบอกว่าพอแล้ว.....ฉันอยากสบายๆๆๆ......
#4
โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 10:52 AM
ไอน์สไตน์ถึงบอกไงว่าศาสนาแห่งอนาคตคืศาสนาพุทธ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
สุนทรพ่อ
muralath2@hotmail
#5
โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 04:59 PM
ในฐานะนักเรียนอนุบาลคนใหม่ อยากได้คำอธิบาย จากนักเรียนรุ่นพี่ๆถึงความแตกต่างระหว่าง อัตตา กับ อนัตตา ว่าเป็นอย่างไร ผมคลับคล้ายคลับคลาว่า วัดธรรมกายของเรา ถูกโจมตีในประเด็นนี้ อย่างรุนแรง แท้จริงแล้ว อะไรผิดอะไรถูก รบกวนเถอะครับ
บวชพระฟรี ที่ใหน ถามได้ที่ Google
#6
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 12:56 PM
QUOTE
ในฐานะนักเรียนอนุบาลคนใหม่ อยากได้คำอธิบาย จากนักเรียนรุ่นพี่ๆถึงความแตกต่างระหว่าง อัตตา กับ อนัตตา ว่าเป็นอย่างไร ผมคลับคล้ายคลับคลาว่า วัดธรรมกายของเรา ถูกโจมตีในประเด็นนี้ อย่างรุนแรง แท้จริงแล้ว อะไรผิดอะไรถูก รบกวนเถอะครับ
ก็เรื่องนิพพานน่ะค่ะ
บางคนว่าเป็นอัตตา บางคนว่าเป็นอนัตตา
ต้องไปอ่านหนังสือเรื่อง นิพพานเป็นอัตตาค่ะถึงจะเข้าใจ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
สุนทรพ่อ
muralath2@hotmail
#7
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 03:32 PM
ปัจจัตตังเวทิพตัพโพวิญญูหิ เป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตนเถียงไปก็เท่านั้น ไม่มีคัยรู้ว่าจริงๆเป็นยังไงนอกจากจะเข้าถึงสะก่อน เถียงกันก็เหมือนเถียงกันว่าไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกันนั้นละ
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
เพียงพอ
#8
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 04:01 PM
QUOTE
ปัจจัตตังเวทิพตัพโพวิญญูหิ เป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตนเถียงไปก็เท่านั้น ไม่มีคัยรู้ว่าจริงๆเป็นยังไงนอกจากจะเข้าถึงสะก่อน เถียงกันก็เหมือนเถียงกันว่าไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกันนั้นละ
ไม่เหมือนกันเสียหน่อย
เปรียบกันคนละเรื่องเลย
ใครๆก็รู้ว่าไก่เกิดก่อน
คำถามคือ เคยมีใครออกจากนิพพานมาเกิดใหม่ไหม?
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
สุนทรพ่อ
muralath2@hotmail
#9
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 03:59 PM
แท้จริงแล้ว ความคิดเห็นเรื่องนิพพานว่าเป็นอัตตา หรือ อนัตตา มีมานานแล้วล่ะครับ ตั้งแต่สมัยอดีต เพียงแต่ว่า นักปราชญ์บัณฑิตสมัยก่อน ที่มีความคิดเห็นที่ต่างกันเช่นนี้ ก็จะไม่หักล้างวาทะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่คิดว่า อีกฝ่ายต้องกลายเป็นฝ่ายผิดด้วยเรื่องแค่นี้
แต่เนื่องจากในช่วงปี 2541-2543 จากการที่คนนับหมื่นเห็นอัศจรรย์ตะวันแก้ว จึงไม่อาจปฏิเสธความเจริญเติบโตของวัดพระธรรมกายไปได้ แน่นอนว่า ในความคิดเห็นที่เข้าใจ ก็ย่อมมีความคิดเห็นที่ไม่เข้าใจ การเสียผลประโยชน์ การไม่ไว้วางใจ และการกลัวการสูญเสีย
และโดยการจุดชนวนของสื่อมวลชนในยุคนั้น จึงทำให้ทุกความแตกต่าง กลายเป็นประเด็นนำมาสู่ความแตกแยกทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องนิพพาน
ซึ่งหลวงพ่อท่านกลับกล่าวอย่างบัณฑิตว่า "มันเป็นความผิดของเราเอง ที่ไม่สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจทุกๆ คนได้" จึงเกิดเหตุเช่นนี้ แต่ด้วยความอดทนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ยึดหลัก ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยๆไป แล้วค่อยๆ อธิบาย อธิบาย จนในที่สุด ก็ค่อยๆ ลดกระแสแห่งความไม่เข้าใจลงไปได้เยอะ
ผมยกตัวอย่างประเด็นหนึ่ง เช่น เรื่องความกลัวการสูญเสีย ทำให้สังคมมีอารมณ์ร่วมขึ้นมา (เหมือนที่นายกโดนอยู่ขณะนี้) คือ เมื่อสาธุชนจากต่างจังหวัดที่ไปวัด หลายๆจังหวัด นั่งสมาธิแล้วเห็นผลการปฏิบัติธรรมที่ดีขึ้นมา เขาก็มาเชิญให้พระจากวัดพระธรรมกายไปจำพรรษาที่จังหวัดของเขา บางท่านถึงกับบริจาคที่ดินให้หลวงพ่อเพื่อใช้ทำเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ตรงนี้เอง ฝ่ายที่เสียประโยชน์ในเรื่องที่ดิน ก็เกิดความกังวัล จึงสร้างกระแสให้สังคมเห็นว่า วัดพระธรรมกายกำลังจะยึดที่ดินของประเทศไทย แล้วก็ได้ผล ความกลัวการสูญเสียเกิดขึ้น สังคมส่วนหนึ่งคิดไปตามนั้นจริงๆ
จนเมื่อ DMC เป็นแนวใหม่ แสดงให้เห็นเจตนาของวัดชัดเจนว่า ไม่คิดยึดที่ดินของใคร แค่อยากให้ทุกคนได้รู้ธรรมะ โดยเฉพาะการฝึกสมาธิ ให้ใจมีพลัง แล้วจะเป็นประโยชน์กับทุกคนเอง ตอนนี้เอง จึงกลายเป็นกระแสที่ไม่ต่อต้าน เพราะไม่มีใครสูญเสียที่ดิน ทีวีก็ยังเป็นของทุกคน แค่เปิดรับธรรมะที่ทางวัดเผยแผ่เท่านั้น และเมื่อฟังหลวงพ่อพูดผ่านจานดาวธรรมทุกๆ วัน กระแสแห่งความไม่เข้าใจก็คลายตัว กลายเป็นกระแสแห่งความเข้าใจเข้ามาแทน เป็นต้น
แต่เนื่องจากในช่วงปี 2541-2543 จากการที่คนนับหมื่นเห็นอัศจรรย์ตะวันแก้ว จึงไม่อาจปฏิเสธความเจริญเติบโตของวัดพระธรรมกายไปได้ แน่นอนว่า ในความคิดเห็นที่เข้าใจ ก็ย่อมมีความคิดเห็นที่ไม่เข้าใจ การเสียผลประโยชน์ การไม่ไว้วางใจ และการกลัวการสูญเสีย
และโดยการจุดชนวนของสื่อมวลชนในยุคนั้น จึงทำให้ทุกความแตกต่าง กลายเป็นประเด็นนำมาสู่ความแตกแยกทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องนิพพาน
ซึ่งหลวงพ่อท่านกลับกล่าวอย่างบัณฑิตว่า "มันเป็นความผิดของเราเอง ที่ไม่สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจทุกๆ คนได้" จึงเกิดเหตุเช่นนี้ แต่ด้วยความอดทนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ยึดหลัก ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยๆไป แล้วค่อยๆ อธิบาย อธิบาย จนในที่สุด ก็ค่อยๆ ลดกระแสแห่งความไม่เข้าใจลงไปได้เยอะ
ผมยกตัวอย่างประเด็นหนึ่ง เช่น เรื่องความกลัวการสูญเสีย ทำให้สังคมมีอารมณ์ร่วมขึ้นมา (เหมือนที่นายกโดนอยู่ขณะนี้) คือ เมื่อสาธุชนจากต่างจังหวัดที่ไปวัด หลายๆจังหวัด นั่งสมาธิแล้วเห็นผลการปฏิบัติธรรมที่ดีขึ้นมา เขาก็มาเชิญให้พระจากวัดพระธรรมกายไปจำพรรษาที่จังหวัดของเขา บางท่านถึงกับบริจาคที่ดินให้หลวงพ่อเพื่อใช้ทำเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ตรงนี้เอง ฝ่ายที่เสียประโยชน์ในเรื่องที่ดิน ก็เกิดความกังวัล จึงสร้างกระแสให้สังคมเห็นว่า วัดพระธรรมกายกำลังจะยึดที่ดินของประเทศไทย แล้วก็ได้ผล ความกลัวการสูญเสียเกิดขึ้น สังคมส่วนหนึ่งคิดไปตามนั้นจริงๆ
จนเมื่อ DMC เป็นแนวใหม่ แสดงให้เห็นเจตนาของวัดชัดเจนว่า ไม่คิดยึดที่ดินของใคร แค่อยากให้ทุกคนได้รู้ธรรมะ โดยเฉพาะการฝึกสมาธิ ให้ใจมีพลัง แล้วจะเป็นประโยชน์กับทุกคนเอง ตอนนี้เอง จึงกลายเป็นกระแสที่ไม่ต่อต้าน เพราะไม่มีใครสูญเสียที่ดิน ทีวีก็ยังเป็นของทุกคน แค่เปิดรับธรรมะที่ทางวัดเผยแผ่เท่านั้น และเมื่อฟังหลวงพ่อพูดผ่านจานดาวธรรมทุกๆ วัน กระแสแห่งความไม่เข้าใจก็คลายตัว กลายเป็นกระแสแห่งความเข้าใจเข้ามาแทน เป็นต้น
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#10
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 02:58 PM
เรื่องที่วิทยาศสาตร์ค้นหาคำตอบไม่พบ
แต่ศาสนาพุทธสามารถค้นพบได้ทั้งหมด
แต่ศาสนาพุทธสามารถค้นพบได้ทั้งหมด
สร้างบารมีทุกวินาที
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#11
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 04:51 PM
เป็นเรื่องที่ศาสตร์จารย์ด.ร.ก็คทำไม่ได้หรอกค่ะ
นอกจากผู้เข้าถึงพระศาสนา
นอกจากผู้เข้าถึงพระศาสนา
เมื่อดวงตาปิดสนิมอย่างละมุน
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#12
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 09:04 PM
ไปนั่งสมาธิดีกว่า
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี