ไปที่เนื้อหา


- - - - -

เอ่อ คือว่า...อย่างนี้จะบาปมั๊ยเนี่ยะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 *sitapanno*

*sitapanno*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 14 March 2005 - 02:25 PM

คือว่าดูเคเบิ้ลแล้วเกิดความรู้สึกแวบขึ้นมาว่า เรากำลังรับสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริง เรากำลังอยู่ในวงจรที่เรียกว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า ความรู้สึกนี้บาปหรือไม่ครับ คือ ดูๆ แล้ว แล้วก็ปฎิบัติธรรมก็แล้ว ผมว่าการนั่งสมาธิมันก็ให้ใจสงบนะครับ แต่จิตใจลึกๆ ที่แท้จริง จริง นั้น มีใครเป็นเหมือนผมบ้างครับ คือ รู้สึกว่ามันใช่รึเปล่า อยู่ตลอดเวลา เรากำลังจมอยู่ในเรื่องที่มนุษย์ปั้นแต่งขึ้นมารึเปล่า สวรรค์ที่แท้จริงอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมยิ่งทำ ก็เหมือนจะมีสุขนะครับ แต่ลึกๆ ที่ถามตัวเองจริงๆ นั้น มันรู้สึกว่ายังไม่เจอสิ่งที่ใช่ และเป็นของจริงเลย

ก่อนหน้านี้ วิ่งเข้าวัด วิ่งกราบพระทุกที่ที่เจอ สวดมนต์ก่อนนอนเสมอ แต่อยู่ๆ ผมก็มีความรู้สึกว่า ชีวิตคนอื่นก็ดำเนินอยู่ได้ อย่างชาวตะวันตก เค้าก็สุขสบายเยอะแยะไป ทั้งที่ไม่ต้องทำกรรม ทำบุญอะไรเลย เราทำบุญกันในประเทศเอเชีย ที่เป็นศาสนาพุทธกันไม่ได้เยอะเท่าพวกตะวันตกซึ่งเชื่ออย่างอื่น แล้วทำไมคนที่ทำบุญๆๆๆ ถึงไม่ได้สิ่งดีๆ เหมือนคนไปเกิดฟากโน้นบ้าง พวกเค้าไม่รู้จักทำบุญ จะได้เกิดเหรอครับ แล้วพวกเราทำบุญ จะได้เป็นประเทศพัฒนาจากผลของบุญหรือไม่ครับ

คือ การดูเคเบิ้ลไม่ได้ช่วยให้ผมสงบใจได้จริงๆ กลับยิ่งให้ผมสงสัยและพยายามแสวงหาคำตอบของโลกนี้มากขึ้น ผมคิดทุกวัน แต่ก็สับสนทุกวัน ผมใช้สมองอ่ะครับ คิดว่าคงไม่เกี่ยวว่าอะไรมาบังหรอก ถ้าเรามุ่งทำบุญเพื่อชาติต่อไปจะเกิดมาดี ก็เท่ากับว่าเราเห็นแก่ตัวใช่มั๊ยครับ แล้วเมื่อเวลาปฎบัติธรรม เหมือนระลึกชาติได้ (สมัยนานมาแล้ว) ผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่เรื่องจริง (ทั้งที่เคยได้ยินเสียงเลยด้วย) รู้สึกพิกลๆ เกี่ยวกับโลกจนจะระเบิดอยู่แล้ว ทุกสิ่งนี่เป็นบาปมั๊ยครับ แล้วบาปพวกนี้ จะถ่วงผมในชาตินี้หรือชาติหน้า ถ้าผมหลุดพ้นไปจริงๆ ผมจะคิดแบบนี้มั๊ยครับ

คือ ลองเปรียบเทียบกับคนทั่วไป ที่ไม่ได้ทำบุญ เค้าวิวัฒนาการ พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ โลกก็หมุนไป คนพวกนี้ ผมว่าเค้าสร้างสรรค์โลก โดยที่พวกเค้าไม่ได้มาปฎิบัติธรรมเหมือนพวกเรา เค้าจะขาดบุญหรือ เช่น เค้าประดิษฐ์ที่นั่งคนพิการไฮเทค อย่างนี้บาปมั๊ย คือ เอาเวลาไปทำเทคโนโลยี เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง ไม่ได้ทำบุญ

โอววว ผมจะทำไงดีครับเนี่ยะ ถึงจะหลุดพ้นได้จริงๆ ไม่เกิดความรู้สึกที่ว่าขึ้นมาอีก อยากเจอความจริงแห่งจักรวาลจริงๆ ตายแล้วก็ดับไปเลย กลายเป็นส่วนหนึ่่ง เป็นปุ๋ยของแผ่นดินโลก ไม่ต้องมาคิดเรื่องจริงไม่จริงให้กลุ้มใจ ว่าจะเลิกดูแล้ว ไปทำเพื่อคนอื่นดีกว่า (คิดอย่างนี้บาปอีกมั๊ย) ไม่อยากนั่งปวดสมองคิดเรื่องตัวเอง เอาเวลาช่วยเหลือคนอื่นได้จริงๆ เห็นใจเพื่อนมนุษย์ผู้ระกำลำบากกว่าเราไปเลย ขอให้ทุกคนได้พบความจริงเช่นกัน เพราะผมรู้สึกว่าที่ผ่านมา มันก็แค่ภาพลวงตาอ่ะครับ สรุปแล้ว ผมก็บาปอีกที่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องใช่มั๊ย

#2 *สุวิทย์*

*สุวิทย์*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 14 March 2005 - 06:28 PM

ถึงคุณ sitapanno
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าสิ่งท่ผมแนะนำหรือแสดงความคิดเห็นนั้น เป็นคว่ามคิดของผมเองอาจมีผิดบ้างถูกบ้างนะครับ และผมก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสอยู่ ยังกำลังฝึกตนเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตเช่นเดียวกัน
ขอตอบคำถามข้อแรกว่าสิ่งที่คุณคิดเป็นบาปหรือเปล่า ขอตอบว่าไม่เป็นบาปครับแต่เป็นความสับสนในความคิด ซึ่งถ้าคุณยังคงวนเวียนคิดแต่เรื่องพวกนี้อีกจะทำให้คุณมีส่วนของความเป็นบ้าได้ครับ
ข้อคิดที่ 2 ที่ว่า คนตะวันตกไม่เห็นจะต้องทำบุญเหมือนชาวตะวันออกเลยแต่ทำไมจึงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ขอตอบเป็นประเด็นนะครับ ประเด็นแรกที่ว่าชาวตะวันตกมีความสุขสบายกว่าชาวตะวันออกนั้น ผมไม่ยอมรับครับ เพราะการพูดเช่นนี้เป็นการเหมารวมไปหมด ถ้าเรามาพิเคราะห์จริงๆจะต้องบอกว่ามีชาวตะวันตกบางชาติท่มีความสุขสบายกว่าชาติตะวันออกบางชาติ สำหรับชาติที่มีความเป็นอยู่แย่กว่าชาติตะวันออก หรือชาติไทยที่เห็นมีแน่ๆก็รัสเซียไงครับ ประชาชนของเขาทุกข์ยากกว่าคนของเรามากนัก และอีกอย่างผมก็ไม่ยอมรับว่าคนชาติตะวันตกจะสุขกว่าเรา แต่ยอมรับครับว่าเขาสบายกายกว่าเราเฉพาะในประเทศที่เจิญแล้วเท่านั้น แต่ปรากฏว่าประเทศดังกล่าวนี้มักจะมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าบ้านเรามาก อันนี้แสดงให้เห็นว่าจริงแล้วคนของเขาอาจจะไม่มีความสุขใจมากกว่าคนของเรา แต่อาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำไป ประเด็นต่อมาใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ดังคำที่ว่าปลูกถั่วก็ย่อมเป็นถั่ว ปลูกงาก็ย่อมเป็นงา จะปลูกถั่วให้เป็นงาไม่ได้ยกเว้นคนตาถั่ว อันนี้ก็แสดงว่าการที่เขาได้รับความสุขสบายกายก็เพราะว่าเขาคงทำบุญเกี่ยวกับการให้เครื่องอำนวยความสะดวกกับคนอื่นมามากในชาติก่อนหรือแม้แต่ในชาติปัจจุบันเขาก็ยังทำการสังคมสงเคราห์อยู่อย่างเสมอๆ และที่เขาประดิษฐ์ของได้มากมายก็เป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศทำบูญเกี่ยวกับปํญญาบารมีทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติไว้มาก เช่นการให้ทุนการศึกษา การให้ทุนในการค้นคว้าวิจัยสิ่งต่างๆเป็นต้น
สำหรับข้อที่ว่าสวรรค์นรกเป็นเรื่องที่คนสมมุติขึ้นหรือเปล่านั้น ขอตอบดังนี้ครับ สวรรค์คือสถานที่ที่เสวยผลแห่งกรรมดี ส่วนนรกเป็นที่เสวยผลของกรรมชั่ว ถ้าจะพูดถึงนรกหรือสวรรค์ในปัจจุบันก็จะกล่าวว่า สวรรค์คือที่เราอยู่แล้วสุขใจ หรือสุขทั้งกายทั้งใจ นรกคือที่ที่เราอยู่แล้วทกข์ใจหรือทุกข์ทั้งกายและใจ ดังนั้นจะเห็ว่านรกและสวรรค์นั้นอยู่ได้ทุกๆที่ในลกนี้แต่ไม่ได้อยู่ในอกหรือยู่ในใจอย่างที่บางคนเข้าใจนะครับ ทีนี้มามองสวรรค์และนรกที่เป็นภพกันบ้างนะครับ อันนี้คงต้องอ้างผู้ที่เป็นผู้รู้และเป็นผู่ที่เคยไปเห็นมาแล้วนะครับ ผู้นั้นก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งท่านตรัสและพรรณาไว้ตั้งหลายแห่งและหลายอย่าง ซึ่งหาอ่านได้ในพระไตรปิฎกครับ สิ่งที่มีคำถามตามมาก็คือแล้วเราจะพิสูจน์ได้อย่างไร คำตอบก็คือ พิสูจน์ได้ครับคือต้องทำตัวให้หมดกิเลสดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับก็จะพิสูจน์ได้เอง
สำหรับการทำบุญนั้นสามารถทำได้ถึง 10 อย่างนะครับ จะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ครับแต่หาอ่านได้ในหนังสือธรรมต่างๆ หรือใน DMC ก็มีครับ เพราะการที่การทำบุญมีถึง 10 อย่างนี้จึงทำให้ผลของกรรมที่ได้ก็ไม่เหมือนกันครับ
และข้อนี้คือการแนะนำนะครับ ถ้าคิดมากแล้วปวดหัวก็ให้ออกจากความคิด ทำจิตให้สงบแล้วก็จะพบคำตอบครับ

#3 *tiddin*

*tiddin*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 March 2005 - 07:33 AM

Test

#4 *tiddin*

*tiddin*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 March 2005 - 08:32 AM

คิดเหมือนผม ตอนเข้าวัดครั้งแรก ๆ เลยครับ
ขอตอบเลยนะครับ ....

1. นั่งสมาธิไม่ได้ทำให้ใจสงบอย่างเดียวหรอก คุณเดินมาถูกทางแล้ว แต่ต้องขยันนั่งมากกว่านี้ แล้วจะพบว่าที่หลวงพ่อสอนมานั้น เป็นจริงทุกอย่าง และ DMC ก็พูดเรื่องจริง

2. ที่บอกว่าชีวิตคนอื่นที่ไม่เข้าวัด มีความสุขความเจริญมากกว่า .... คุณดูให้ดี ๆ และดูให้นาน ๆ นะครับ ผมเคยรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน คือเพื่อน ๆ ไม่ต้องรักษาศีล 5 ไม่ต้องนั้งสมาธิ ก็มีความสุข ผมก็ดูเขาไปเรื่อย ๆ นาน ๆ ปรากฏว่า พบว่าความสุขเขาเกิดจากการใช้จ่ายเงินทอง กินอาหารดีๆ ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวเล่น ดูสิ่งลามก พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติ หรือไม่ก็ทะเลาะกัน ชีวิตตั้งแต่ตื่นนอน ยันมืด ไม่เคยคิดพัฒนาจิตใจตัวเอง จมอยู่ในอบายมุข วันไหนไม่มีอะไรทำก็นอนหลับ พักผ่อน ... แสวงหาเงินทอง สุดท้ายก็ตาย..... นี้หรือเปล่าที่คุณเรียกว่าสุข ความเจริญ

3. ลองคิดใหม่นะครับ คนอื่น ๆ เขาเข้าถึงพระธรรมกายไปกันเป็นร้อย ๆ คนแล้ว ตัวคุณทำอะไรอยู่ ถ้าไม่ใช่ของจริง แล้วคนอื่น ๆ เขาเห็นได้อย่างไร ...........

4. ความคิดคุณก็ดีนะครับ แต่คำว่าโลกของคุณ ยังนิยามไม่ถูกต้อง ... โลกนี้เป็นของกลาง ๆ คือ มีทั้งคนดี และไม่ดี แต่ทุกคนล้วนตกอยู่ในกฏแห่งกรรม .... รวมทั้งตัวคุณด้วย ... ดังนั้น อย่าสับสนว่าตัวเราเก่งกล้า สามารถอะไร ... เราก็แค่คนธรรมดา เกิด แล้วก็แก่ เจ็บแล้วก็ตาย เหมือนกับคนอื่น ๆ ... คุณลองสังเกตดูก็ได้ มีใครบ้างไม่มีความทุกข์บ้าง .... การสร้างสรรค์โลกที่คุณว่า ทำให้พ้นจากความทุกข์ ได้หรือไม่ หรือพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บตาย ได้หรือเปล่า !?!?!

5. คุณเป็นคนจริงจังมากเกินไป ....... คนปฏิบัติธรรม เขามีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้นั่งงอมีงอเท้านะครับ .... ผมทำงาน Programmer งานก็หนักนะครับ แต่พอมีเวลาว่างก็นั่งธรรมมะ ... พ่อแม่ ญาตพี่น้อง เพื่อน ๆ เดือนร้อนอะไร ช่วยได้ก็ช่วยกันไป ... เพียงแค่ผมไม่เก่งเท่า บิลล์ เกตต์เท่านั้น จะเหมาว่า การปฏิบัติธรรม ทำให้ไม่มีเวลาสร้างสรรค์โลก ก็เกินไป

6. เลิกดู DMC เพื่อเอาเวลาไปช่วยคนอื่น ๆ ..... ส่วนผมดู DMC, ช่วยตัวเอง และช่วยคนอื่น ตายแล้วก็หวังว่าจะไปดุสิตบุรี ... ส่วนคุณต้องนั่งสมาธิมากกว่านี้ อย่าเพิ่งทิ้ง เพราะเวลาที่ผ่านไป จะตอบปัญหาที่คุณสงสัยได้ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ ... เพราะคุณเดินมาถูกทางแล้ว แต่เส้นทางนี้ อีกยาวไกล หนทางอาจจะไม่สะดวกสะบาย แต่ถ้าไม่เปลี่ยนเส้นทางเสียก่อน รับรองว่า เมื่อถึงที่หมายแล้ว มันคุ้มเกินคุ้มแน่นอน ... แม้ไม่เห็นหน้ากัน แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นญาติพี่น้อง .. ไม่อยากให้น้องเดินทางอื่น อยากให้เดินตามหลวงพ่อไปด้วยกัน ... พี่เคยเห็นดวงปฐมรรค เห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา เห็นกายละเอียด... และเห็นพระธรรมกายในตัวเองแล้ว แต่ติดหน้าที่การงานจึงมีเวลาปฏิบัติน้อยจึงไม่เห็นอีก .... ขอยืนยันอีกครั้ง ว่าพระธรรมกายมีอยู่จริง ตายแล้วไม่สูญ ถ้าคุณทำจริงคุณต้องได้เห็นแน่นอน

#5 *เป็นด้วย*

*เป็นด้วย*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 March 2005 - 08:23 PM

รู้สึกเหมือนกันเลย พยายามเป็นคนดีมาหลายปีแล้ว แต่รู้สึกว่าเราช่วยตัวเองไม่ได้เลย
เราอยู่ในโลกนี้ ยังไงก็ต้องทำผิดบาป อยากได้ทางเลือกอื่นบ้าง เริ่มรู้สึกว่าทางนี้งมงายแล้ว และสิ่งที่ได้เห็นมา เป็นภาพลวงตา ที่ลึกๆ จินตนาการมันลวงหลอกตัวเราเอง

รู้สึกว่าการปฏิบัติต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์ มิอาจช่วยให้หลุดพ้นได้จริงๆ โลกหมุนไปจริงๆ ด้วย ก็คงต้องหมุนไปตามโลก มาตามทางนี้ก็คงจะมีแต่สับสน ว้าวุ่น และหลอกตัวเอง

เพราะรู้สึกว่า แท้จริงแล้ว เรื่องพวกนี้ คนเริ่มแรกปั้นแต่งเรื่องขึ้นมา พระพุทธเจ้า ก็มนุษย์คนหนึ่ง เราก็เป็นมนุษย์นี่หน่า ถ้าอยู่ๆ อยากจะคิดกฎอะไรขึ้นมาซักอย่าง ใครก็มีสิทธิ คำสอนพระพุทธเจ้าเรื่องไม่ให้โกหก กินเหล้า มีชู้ ดีนะ ยอมรับ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ทางรอดที่แท้จริงอยู่ดี ค้นหากันต่อไป

#6 *ผ่านมาบอก*

*ผ่านมาบอก*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 March 2005 - 10:16 PM

เรียนเพื่อนกัลยณมิตรทุกท่านทราบ

เนื่องจากเวปนี้เปิดโอกาสให้ใครๆก็สามารถมาแสดงทัสนะใด้ ดังนั้นจึงมีบางคน(พวกที่ไม่หวังดี หรือต้องการทำลาย)ที่แฝงตัวมาตั้งกระทู้หรือตอบกระทู้ เพื่อป่วน และสร้างความสับสนต่อคนวัด

ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณในการตอบทุกครั้ง

#7 *ตั้งข้อสังเกตุ*

*ตั้งข้อสังเกตุ*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 March 2005 - 10:18 PM

รู้สึกเหมือนกันเลย พยายามเป็นคนดีมาหลายปีแล้ว แต่รู้สึกว่าเราช่วยตัวเองไม่ได้เลย
เราอยู่ในโลกนี้ ยังไงก็ต้องทำผิดบาป อยากได้ทางเลือกอื่นบ้าง เริ่มรู้สึกว่าทางนี้งมงายแล้ว และสิ่งที่ได้เห็นมา เป็นภาพลวงตา ที่ลึกๆ จินตนาการมันลวงหลอกตัวเราเอง

รู้สึกว่าการปฏิบัติต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์ มิอาจช่วยให้หลุดพ้นได้จริงๆ โลกหมุนไปจริงๆ ด้วย ก็คงต้องหมุนไปตามโลก มาตามทางนี้ก็คงจะมีแต่สับสน ว้าวุ่น และหลอกตัวเอง

เพราะรู้สึกว่า แท้จริงแล้ว เรื่องพวกนี้ คนเริ่มแรกปั้นแต่งเรื่องขึ้นมา พระพุทธเจ้า ก็มนุษย์คนหนึ่ง เราก็เป็นมนุษย์นี่หน่า ถ้าอยู่ๆ อยากจะคิดกฎอะไรขึ้นมาซักอย่าง ใครก็มีสิทธิ คำสอนพระพุทธเจ้าเรื่องไม่ให้โกหก กินเหล้า มีชู้ ดีนะ ยอมรับ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ทางรอดที่แท้จริงอยู่ดี ค้นหากันต่อไป





เช่นอันนี้เป้นต้น มีลักษณะของผู้ที่นับถือพระเจ้าแล้วแฝงตัวเข้ามาตอบ

#8 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 16 March 2005 - 07:35 AM

เพราะรู้สึกว่า แท้จริงแล้ว เรื่องพวกนี้ คนเริ่มแรกปั้นแต่งเรื่องขึ้นมา พระพุทธเจ้า ก็มนุษย์คนหนึ่ง เราก็เป็นมนุษย์นี่หน่า ถ้าอยู่ๆ อยากจะคิดกฎอะไรขึ้นมาซักอย่าง ใครก็มีสิทธิ คำสอนพระพุทธเจ้าเรื่องไม่ให้โกหก กินเหล้า มีชู้ ดีนะ ยอมรับ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ทางรอดที่แท้จริงอยู่ดี ค้นหากันต่อไป



คำพูดเช่นนี้ไม่สมควรออกจากปากผู้ที่นับถือศาสนาพุทธอย่างยิ่ง
อาจจะเป็นเพราะผู้โพสไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชนอย่างที่ความเห็นด้านบนบอกไว้ก็ได้

(ผมสังเกตว่าเค้าใช้คำว่า "ทางรอด" ซึ่งปกติชาวพุทธไม่ใช้กัน แต่มักใช้กันในศาสนาเทวนิยมศาสนาหนึ่ง)

#9 sao-wanee

sao-wanee
  • Members
  • 100 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 March 2005 - 12:45 AM

ทุกสิ่งทุกอย่างต้องนำไปปรับไปใช้นะค่ะ เมื่อได้รับฟังคำสอนดี ๆ นำไปปรับใช้
หากไม่นำไปใช้ก็เหมือน ทัพพีที่ไม่รู้รสแกง คือ แค่รู้ แต่ไม่ปฎิบัติตามก็ไร้ผลค่ะ
คนเข้าวัดแล้วมันยังฟุ้งมันยังมีกิเลส มันก็เรื่องปกติของคนที่กำลังฝึกตนนะค่ะ
คนที่สงบมาก อดีตก็คือ คนเคยฟุ้งเคยซ่านมาก่อน

การที่คุณวิ่งกราบพระทุกที่ที่เจอ คุณต้องการอะไร ถามตัวเองสักนิดก่อนค่ะว่า การกราบของคุณต้องการอะไร คุณขาดหลักยึดเหนี่ยวจิตใจหรือเปล่า
ในชีวิตของเรานะค่ะ ไม่เคยวิ่งไปกราบพระที่ไหนเลย ไม่วิ่งหาพระเลยด้วยซ้ำ แต่ชีวิตดูเหมือนมันพัวมันพันกับวิชาธรรมกาย ยังไงก็ไม่รู้ เรียนก็เรียนที่ สตรีวัดอัปสรสวรรค์ ใกล้วัดปากน้ำ
นั่งวิชาธรรมกายมาตั้งแต่เรียน ม.1-ม3. ประเภทนั่งแล้วก็บ่นด้วยน่ะ ว่า เมื่อยก็เมื่อยนั่งทำมั๊ยหว่า
แต่ก็นั่งไป เพราะเป็นชั่วโมงเสริมที่ทางโรงเรียนจัดอาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง นั่งไปก็โคลงไปโคลงเหมือนจะลอย ทั้ง ๆ ที่ไม่หลับหรอก เพราะตอนนั้นยังเด็ก ไม่ง่วง มีแสงวาป ๆ อะไรหว่า ก็นั่งไป ฟังเสียงนำนั่งของหลวงปู่วัดปากน้ำไป ฯลฯ แล้วก็ห่างไปเลยอีกเกือบ 10 กว่าปี แล้วระหว่างนั้น ไม่เคยเลยจะวิ่งไปกราบพระที่ไหน จะเด่นจะดังไงไม่เคยสนใจด้วยซ้ำนะ ก็ตามประสาเด็กทั่วไปที่ไม่มีบารมีมามาก แต่แล้วเหตุชะตาก็มาเจอวัดพระธรรมกาย เมื่อปีที่บวชอุบาสิกาแก้ว ประมาณปี 41
ได้มั่งค่ะ หากจำไม่ผิด แล้วก็ไม่คิดไปไหนอีก ทั้ง ๆ ที่ควรแสวงหาความรู้ต่าง ๆ

รู้สึกว่า อ่านข้อความของคุณแล้ว คุณค่อนข้างไม่ชอบเกิดเป็นคนเอเซีย ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ย่อมมีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบด้วยกันไปเสมอ อย่างฝั่งโน้นของคุณ ยีนส์เค้าไม่เด่นใช่เปล่าค่ะ เค้าก็เอาด้านอื่นเด่นซิค่ะ อย่างประเทศแถวทะเลทราย ต้นไม้น้อย ก็โดนทดแทนด้วย น้ำมัน

ตะวันตก เค้ามีศาสนาคริสต์เป็นหลักใช้เปล่าค่ะ การทำบุญของเค้า คือการสังเคราะห์ชาวโลก
ไม่ว่า เป็นการบริจาคเงินช่วงองค์การกุศลของเค้าตามหลักศาสนา

หากคุณคิด อยากจะหลุดพ้น ควรรีบขวนขวาย ค้นหา ทางที่ถูก ว่าทางหลุดพ้นที่แท้จริงอยู่ที่ไหนกันแน่ อย่ามัวแต่ลังเลมากไป อย่ามีวิจิกิจฉา ละนิวรณ์นะค่ะ

#10 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 17 March 2005 - 03:58 AM

คำตอบเรื่องทำไมชาวต่างชาติถึงเจริญก้าวหน้ากว่าเมืองไทยที่เป็นเมืองพุทธนั้น
อยากจะคัดลอกคำถามคำตอบหนึ่งจากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหา" มาให้อ่านกันครับ

คำถาม
นักวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นบุคคลผู้มีปัญญาใช่ใหม่ครับ แต่ทำไมพวกนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก จึงล้วนนับถือแต่
ศาสนาอื่น ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญญา แล้วทำไมคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธจึงไม่มี
ปัญญาถึงขนาดเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกับเขาบ้างล่ะครับ?

คำตอบ
เขาจะนับถือศาสนาอะไรหรือไม่นั้นไม่สำคัญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า คนเราจะทำอะไรสำเร็จได้
ต้องประกอบด้วยองค์ 4 คือ

1. ฉันทะ มีความพอใจรักใคร่ในการงาน คือมีใจรักที่จะทำงานนั้น
2. วิริยะ มีความตั้งใจจะทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร
3. จิตตะ มีใจทั้งหมดจดจ่อในการงานนั้น คือเต็มใจทุ่มเททำงาน ไม่วอกแวก เผื่อใจไปคิดงานอื่นด้วย
4. วิมังสา มีความพยายามปรับปรุงงานนั้นๆ แก้ไขให้ดีขึ้นอยู่เรื่อยไป คือเข้าใจวิธีทำงานให้ประสบผลสำเร็จ

ใครทำอย่างนี้ก็จะได้รับความสำเร็จในสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม
ถามว่าคุณสมบัติ 4 ประการนี้ในคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ มีกันมากน้อยแค่ไหน เป็นต้นว่า

1. ฉันทะ ความรักในงาน คนไทยจำนวนไม่น้อยที่เป็นประเภทเช้าชามเย็นชาม หรือเช้าช้อนเย็นช้อน
ทำตามหน้าที่พอให้เวลาผ่านไปวันๆ เพราะฉะนั้นพอให้ไปทำงานยากๆ จึงยากที่จะทำสำเร็จได้

2. วิริยะ ความขยัน ความขยันของเรายังไม่ถึงขั้นมุมานะ คนไทยไม่ใช่ประเภทคนขยัน นี่กล้าพูดได้เต็มปาก
เพราะว่าสิ่งแวดล้อมของฟรีตามธรรมชาติมีมาก ทำให้เราสบายกันมาจนเคย

3. จิตตะ ความเอาใจจดจ่อ คนไทยไม่ใช่คนทำงานแบบจดจ่อหรอก หลวงพ่อก่อนบวช
เคยไปนั่งทำงานอยู่กับชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นพวกทำงานวิจัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ไปทำอยู่กับเขา 2 ปี
พบว่ามีอยู่คนหนึ่ง อยู่กันมาเป็นปีๆ แต่เราแทบจะไม่ได้พูดกันเลย เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องแบคทีเรีย
บางทีเดือนทั้งเดือนหมอนี่ไม่กลับบ้าน เช้าขึ้นมาก็นั่งอยู่กับหลอดแก้วทดลอง เดี๋ยวก็เขี่ยเชื้อเอาจากหลอดโน้นมาใส่หลอดนี้
เอาเชื้อจากหลอดนี้ไปใส่หลอดนั้น เดี๋ยวก็ไปนั่งส่องกล้อง พอนึกอะไรได้ก็รีบจดๆ พอติดอะไร คิดไม่ออกเข้า
ก็ยืนเอามือไพล่หลัง ลอยหน้าลอยตาคิด บางทีตั้ง 2-3 ชั่วโมง พอคิดได้ก็จดๆกับใครแกก็ไม่อยากพูดด้วย
นักวิจัยคนนี้แต่ละปีๆมีงานค้นคว้าทดลองออกมาเป็นสิบๆชิ้น

คนไทยมีใหม่ที่จดจ่อจ้องทำงานแบบนี้ ที่จ้องมีเหมือนกันคือ จ้องจอ จ้องอยู่แต่ที่หน้าทีวี ส่องกล้องเหมือนกัน
แต่ส่องกล้องเล่นม้า กล้องดูแบคทีเรีย กล้องดูดาวไม่ชอบดู มีเหมือนกันบางคนที่ตั้งใจทำงาน
แต่มักจะทำหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน เลยเอาดีไม่ได้สักอย่าง

เรามักเป็นกันอย่างนี้ แล้วจะเอานักวิทยาศาสตร์ที่ดีมาจากไหน นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลก
เขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ได้อ่านพระไตรปิฏก แต่เขาใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาเอาไปปฎิบัติงานโดยไม่รู้ตัว
ส่วนของเราแม้จะประกาศตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ก็เป็นพุทธโดยทะเบียน ในชีวิตประจำวันเราปฎิบัติตามหลักธรรมน้อยมาก
ก็ไม่เป็นไร วันใดวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราช่วยกันประกาศพระพุทธศาสนาไปได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญๆที่นับถือศาสนาพุทธก็มีขึ้นมาเอง
เพราะพระพุทธศาสนาเป็นวิทยศาสตร์แท้อยู่แล้ว

4. วิมังสา การปรับปรุงงาน คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างใหม่
ดูตามข่าวหนังสือพิมพ์ก็แล้วกัน จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไหน พอกระทบความเป็นอยู่เดิมๆเข้าสักหน่อย
ชวนกันเดินขบวนต่อต้านกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต

ส่วนใครที่ชอบประดิษฐ์คิดค้นอะไรใหม่ๆออกมา ทั้งๆที่มีประโยชน์มาก แต่ออกข่าวไม่เท่าไหร่ก็เงียบ
เพราะขาดการสนับสนุนให้เอาไปทำประโยชน์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
พวกเราคนไทยนับถือพระพุทธศาสนากันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด สติปัญญาก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าชนชาติใด
ท่านที่ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่จนได้รับรางวัลระดับโลกก็มีอยู่ แต่ผลงานของท่านไม่แพร่หลาย ไม่มีคนสานต่อ
เพราะคนไทยเราตั้งแต่ระดับผู้บริหารประเทศลงมา ปฎิบัติคุณธรรมในพระพุทธศาสนาไม่จริงจัง ปฎิบัติขาดๆเกินๆ
ไม่ครบสูตร ไม่เป็นไปตามขั้นตอน งานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมนุษยชาติจึงมักไม่สำเร็จ น่าเสียดายจริงๆ

#11 *seng*

*seng*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 17 March 2005 - 10:09 AM

เห็นด้วยกับทุกความคิดเห็น
ก็มันสับสนกันได้ จริงๆ นะ

#12 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 29 January 2007 - 09:17 AM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ