มี 16 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

[SmilingCat]

ระยะเวลานานในแต่ละช่วงพระพุทธธันดร น่าจะยังพอจะมีหลักฐานเหลืออยู่หรือไม่ เช่นในยุคภัทรกัลป์นี้
พระพุทธเจ้าองค์ก่อน พุทธกัสสปน่าจะยังพอหาหลักฐานได้ เช่นเสาหินหรือหลักศิลาจารึก

ผมเคยได้ยินว่าทางเหนือของประเทศเนปาลมีเสาหินจารึกชื่อกษัตริย์และศาสนาของพุทธกัสสป ไม่รู้พอเป็นไปได้หรือไม่

[MiraclE...DrEaM]

เท่าที่รู้มาไม่น่าจะมีหลักฐานเหลือนะครับ เพราะระยะห่างระหว่างพุทธันดรหนึ่งนั้นเป็นระยะเวลาที่นานมาก แล้วการที่พระโพธิสัตว์องค์ใหม่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เก่าจะต้องอันตรธานหายไปจนหมดสิ้นแล้วครับ แม้แต่พระบรมสารีริกธาตุก็ยังไม่เหลือเลยครับ เพราะมีบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อถึงเวลาที่พระธรรมของพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นอันตรธานจนหมดสิ้นลง พระบรมสารีริกธาตุที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกก็จะมาประชุมรวมกันแล้วปรากฏเป็นรูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้าย แล้วพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดก็จะอันตรธานหายไปด้วยครับ

[ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี]

เมื่อถึงเวลาที่พระธรรมของพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นอันตรธานจนหมดสิ้นลง พระบรมสารีริกธาตุที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกก็จะมาประชุมรวมกันแล้วปรากฏเป็นรูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้าย แล้วพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดก็จะอันตรธานหายไปด้วยครับ

อธิบายว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็น ๑ ใน ๓ ลักษณะของการปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเรียกว่า "ธาตุนิพพาน" ส่วนอีก ๒ ประการนั้น ได้แก่

๑. เมื่อถึงวันเพ็ญวิสาขมาสกลางเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๕ ปี พระสิทธัตถราชกุมารทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แล้วจึงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ ครั้งนั้น กิเลสานุสัยอันนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของพระองค์ ก็พลันมลายหายสูญสิ้นเชื้อมิเหลือเศษเป็นสมุจเฉทปหาน ซึ่งความสิ้นไปแห่งสรรพกิเลสทั้งหลายอย่างไม่มีวันหวนกลับมากลุ้มรุมเสียดแทงดวงจิตแห่งองค์พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ เรียกว่า "กิเลสนิพพาน"

๒. ความแตกกายทำลายขันธ์ของพระพุทธองค์ ซึ่งแม้ในภพชาติใดๆ ก็ตาม ขันธ์ทั้งหลายในภพ ๓ นี้ ก็จะต้องสวมซ้อนพระองค์มาโดยตลอด เมื่อถึงคราวแห่งการแตกทำลายแห่งเบญจขันธ์ในภพชาติอันเป็นที่สุด กองแห่งทุกข์ (ขันธ์) ทั้งหลายเหล่านั้น ก็มิอาจมาสวมซ้อนและพระองค์เองก็ไม่กลับมาสวมขันธ์เหล่านั้นอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงพ้นไปจากอาณัติแห่งกองขันธ์ทั้งปวง ด้วยอาการเช่นนี้จึงเรียกว่า "ขันธนิพพาน"

[SmilingCat]

ขอบคุณทุกคำตอบครับ

ลองฟังสัณนิษฐานดูนะครับ

ระยะเวลาพุทธันดรนั้นนานก็จริง แต่กัลป์นี้มีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ระยะเวลาช่วง
พุทธันดรย่อมสั้นลง จนอาจจะถึงช่วงที่พอจะมีหลักฐานเหลืออยู่บ้างเช่น ในช่วงปลาย
อันตรกัลป์ เกิดกลียุค มีไดโนเสาร์มาเกิดเหลือเป็นฟอสซิล ให้เห็นแสดงให้เห็น
ว่าช่วงอันตรกัปล์ที่แล้วยังพอมีหลักฐานอยู่ เนื่องจากไดโนเสาร์จะมาเกิดได้ต้องเป็นปลาย
อันตรกัลป์ที่แล้ว ต่อจากศาสนาของพระพุทธเจ้านามว่า พุทธกัสสป จนมาถึงศาสนาของ
สมณโคดมนั้นถ้าเป็นอันตรกัลป์ต่อกันอาจจะยังเหลือหลักฐาน เช่นเสาหิน หรือหลักศิลา
จารึกที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ และต่อจากอันตรกัปล์นี้ไปมนุษย์อายุเพิ่มขึ้นและลดลงได้
แสนปีเมื่อไร พระศรีอาริยเมตไตย จะลงมาตรัสรู้ ก็อาจจะพอมีหลักฐานบ้างเพราะตอนนี้
มนุษย์ใกล้เข้ากลียุคภายในเร็ว ๆ นี้ถ้าเทียบกับอายุกัลป์

[หัดฝัน]

หลักฐานทางวัตถุนั้นไม่มีเหลือแล้วครับ แต่หลักฐานทางความรู้จะยังมีหลงเหลืออยู่ เช่น
1. ความรู้เรื่องลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ จะบันทึกหรือทรงจำสืบทอดกันมา ทำให้โกทัญญะพราหมณ์ สามารถทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัติถะว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็เพราะเป็นความรู้ที่สืบต่อกันมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ว่า ผู้ที่มีลักษณะมหาบุรุษจะสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ เป็นต้น

2. ความรู้เรื่องการเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า ก็เป็นความรู้ที่สืบทอดมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนเช่นเดียวกัน โดยมีหลักฐานจากพระมหากัปปินะ ถึงกับถ่ายทอดคำสั่งไปว่า ผู้ใดทราบว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ให้มาแจ้งพระองค์แล้วพระองค์จะประทานรางวัลให้ จากนั้น ก็มีคนมาแจ้ง พระองค์ก็สละราชสมบัติออกบวช บรรลุธรรม และชอบเปล่งวาจาว่า สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ
แสดงว่า พระองค์ต้องมีความรู้บ้างว่า พระพุทธเจ้าจะมาช่วยให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ ถามว่าความรู้นี้มาจากไหน ก็ย่อมต้องมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ นั่นเอง

3. ความรู้เรื่อง นิพพาน ว่าเป็นความสุขนิรันดร์ (แต่ไม่รู้วิธีการ) ก็สืบทอดมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน เช่นเดียวกัน ผู้คนในอดีตกาลแสวงหาวิธีการ นิพพาน กันมากมาย เช่น บำเพ็ญฌาน ทรมาณตัวเอง เป็นต้น

[สิริปโภ]

ความรู้เรื่องนิพานจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนอย่างที่พี่หัดฝันว่า ก็คงคล้ายๆกับ ฤาษีชีไพร บำเพ็ญตบะหาทางเป็น อำมตะ
หรือ สุขนิรันด์ จึงอาจเป็นต้นเหตุของการเกิดศาสนาพราห์ม ก็ได้

[VCO]

แล้วอย่างกรณีศาสนาอื่น เช่น คริสต์ศาสนา และ อิสลาม มีต้นกำเนิดอย่างไร ทำไมคำสอนบางส่วนเขาถึงพ้องกับศาสนาพุทธ เช่น อิสลาม ห้ามดื่มเหล้า ให้รู้จักให้ทานแก่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าตน คริสต์สอนให้เสียสละ บ้างเป็นต้น

[MiraclE...DrEaM]

ขอบคุณ คุณเกียรติก้องที่ช่วยเสริมครับ ถูกต้องแล้วครับ ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกจะมีนิพพาน 3 ครั้ง และสิ่งที่ผมบอกคือ ธาตุนิพพานครับ

สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมจึงมีคำสอนของบางศาสนาคล้ายกับศีล 5 ของศาสนาพุทธ จริงๆ แล้วเรื่องศีล 5 เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ และมีอยู่แล้วก่อนศาสนาพุทธจะเกิดด้วยครับ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาก็รับเอาศีล 5 นี้เข้ามาเป็นหลักในการปฏิบัติของชาวพุทธด้วย
เพราะศีล 5 ถือเป็นปกติของมนุษย์ ถ้าใครละเมิดศีลข้อใดไป ความสมบูรณ์ในฐานะมนุษย์ของคนๆ นั้นก็จะลดน้อยลงไป และศีล 5 นี้เองที่เป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ จะว่าไปก็คือมนุษยธรรมพื้นฐานของบุคคลที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีคำสอนของศาสนาอื่นคล้ายๆ กับศีล 5 ครับ

สำหรับการทำบุญทำทาน ก็เป็นคุณธรรม เมตตาจิตพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้วครับ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ศาสนาอื่นจะเอาไปเป็นคำสอนบ้าง เพราะแม้แต่คนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ยังรู้จักให้และแบ่งปันครับ

[CEO]

ตอบได้เลยว่า ไม่ ครับ

[SmilingCat]

ครับเวลานานมากแล้ว พระธาตุก็ยังไม่เหลือ ( ธาตุนิพพาน ) คิดดูจากคุณหัดฝันยังมี
ความรู้บางอย่างเหลืออยู่ เช่น ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ การบังเกิดขึ้นของพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า และ ความรู้ว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
เกิดขึ้นซึ่งเราไม่รู้ว่าถ่ายทอดมาจากที่ใด ตรงนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างที่สืบถอดกันมา
ของศาสนาพุทธ แม้แต่ศีลข้อ 5 ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้ ก็ไม่มีใครรู้ว่ากินเหล้าแล้ว
จะต้องไปอบายภูมิ ...น่าคิดเหมือนกัน

[ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี]

และความรู้ว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
เกิดขึ้นซึ่งเราไม่รู้ว่าถ่ายทอดมาจากที่ใด ตรงนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างที่สืบถอดกันมา
ของศาสนาพุทธ

สำหรับความรู้ที่ว่า พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง (นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ) นั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์ว่า เอตํ พุทฺธาน สาสนํ แปลว่า นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าในกาลก่อนที่เสด็จอุบัติขึ้นเพื่อโปรดสัตว์ และประหารกิเลสานุสัยทั้งหลายให้หมดไปจากจิตใจของมวลมนุษย์ ก็ทรงตรัสสอนแบบเดียวกันครับ

[SmilingCat]

ใช่แล้วครับ

นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พราหมณ์เจ้าลัทธิต่าง ๆ
ที่แสวงหาทางนิพพาน น่าจะรู้จักจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน

[SmilingCat]

สงสัยว่าก่อนที่พุทธศาสนาจะถือกำเนิดพวก เจ้าลัทธิทั้งหลาย รู้ได้อย่างไรว่านิพพานเป็น
สุข ถึงแสวงหาทางไปนิพพานกัน แต่ไม่ถูกทาง และแต่ละคนก็รอเวลามาตรัสรู้ของพระ
สัพพัญญู ดังนั้นน่าจะมีบันทึกหรือคัมภีร์ใด ๆ หลงเหลือเป็นหลักฐานบ้าง ว่าคำสอนของ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นอย่างไร ใช่ไหมครับ

[สิริปโภ]

คุณทศพล ผมว่า ถ้าไม่เหลือ คำภีร์ น่าจะได้ยินได้ฟังหรือรู้มาจาก เทวดาหรือกายละเอียด จากฤาษีชีไพรที่มาญาณเป็นทิพย์ก็ได้นะครับ

[หัดฝัน]

ยังมีอีกวิธีหนึ่งครับ ที่จะรู้ได้ ซึ่งครูไม่ใหญ่เคยเทศน์ไว้ นั่นคือ ในยุคว่างจากพระพุทธศาสนา มีฤษีตนหนึ่ง มีบริวารมากมายหลายหมื่น มาคอยกราบไหว้บูชาท่านทุกวัน แต่ท่านกลับไม่รู้สึกยินดีเลย โดยท่านคิดว่า โลภ โกรธ หลง ในใจเรายังกำจัดไม่ได้เลย แต่ลูกศิกษ์เหล่านี้กลับเห็นเราเป็นที่พึ่ง แล้วเราล่ะจะหาใครเป็นที่พึ่ง เราจะหาใครให้เราเคารพ คิดเช่นนี้แล้ว ฤษี(โพธิสัตว์) ท่านนั้นก็ระลึกชาติไป จนไปเห็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในอดีต

ท่านฤษีจึงก่อเจดีย์ทราย แล้วระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า จากนั้นก็สั่งสอนศิษย์ต่อๆ มาว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมช่วยสรรพสัตว์ ตามที่ท่านได้ระลึกชาติเห็นมา นี่เองความรู้เรื่องพระพุทธเจ้าในอดีตก็ถูกถ่ายทอดต่อมาอีกครั้งได้อีกวิธีหนึ่ง

[SmilingCat]

ขอบคุณคุณหัดฝันมากที่ช่วยค้นคำตอบจากฝันในฝันของครูไม่ใหญ่ให้
เข้าใจแล้วครับ ในสมัยก่อนฤษีชีไพรที่มีฤทธิ์สามารถย้อนระลึกอดีตชาติ
จึงเห็นว่าได้พบพระพุทธเจ้า จึงนำคำสอนออกเผยแพร่

[หัดฝัน]

ผมเองก็ต้องขอแก้ข้อมูลในความผิดพลาดบางอย่างไว้นะที่นี้ด้วยนะครับ ที่ผมโพสต์ว่า ฤษีตนนั้นเป็นฤษีโพธิสัตว์ แต่หลังจากไปตรวจสอบข้อมูลแล้ว ท่านมาเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาลครับ (แต่ชื่อผมจำไม่ได้)