ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระจักรวรรดิวัตร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 3 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 12:55 AM

โดย พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์

ประเทศไทยนับว่า เป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ที่ได้รับอารยธรรมมาจากประเทศอินเดียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๓
เชื่อกันว่า ในช่วงเวลานั้น กษัตริย์อินเดียแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ทรงปกครองอาณาจักรสยามด้วย
และในโอกาสนี้ พระพุทธศาสนาจึงได้แผ่เข้ามาในอาณาจักรสยามด้วยเช่นกัน
อันสืบเนื่องมาจากอารยธรรมของอินเดีย และโดยอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ซึ่งมีลักษณะการบริหารประเทศโดยมีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานตั้งแต่ก่อนพุทธกาล
จึงได้มีการวางรูปแบบการปกครองและการบริหารของประเทศในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ไว้ว่า

"....กษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ ทรงมีอำนาจไม่มีขอบเขต....ทรงเป็นจอมทัพ...ทรงเป็นประมุขด้านตุลาการ....
ทรงเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหลายในราชอาณาจักร...... ....

แต่กษัตริย์ก็มิได้ทรงเป็นราชาที่มีอำนาจเด็ดขาด เพราะในวันประกอบพิธีบรมราชาภิเษกนั้น
กษัตริย์จะต้องปฏิญาณพระองค์ต่อประชาชนว่า

....ความสุขและสวัสดิภาพของกษัตริย์อยู่ที่ความสุขและสวัสดิภาพของประชาชน
สวัสดิภาพของกษัตริย์มิได้อยู่ที่ความสุขของกษัตริย์เองแต่อยู่ที่ความสุขของประชาชนของกษัตริย์

สิ่งใดที่ให้ความสุขแก่กษัตริย์จะถือว่าสิ่งนั้นมิใช่สิ่งดีงาม
แต่สิ่งใดที่ให้ความสุขแก่ประชาชนจะถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดีงาม....


ข้อความดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่า กษัตริย์ไม่ทรงเป็นเผด็จการ
ไม่ทรงทำความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ไม่ทรงถือเอาผลประโยชน์จากประชาชนตามพระประสงค์
หรือตามพระทัยของพระองค์เอง
แต่กษัตริย์จะต้องทรงส่งเสริมสวัสดิการของประชาชน ต้องทรงถือพระองค์ว่า เป็นผู้รับใช้ของรัฐ......"

โดยหลักการบริหารประเทศดังกล่าว ได้มีการวางรูปแบบการปกครองและการบริหารของประเทศ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกษัตริยไว้เป็นหลักใหญ่รวม ๓ ประการ คือ

๑. ทศพิธราชธรรม หรือ ธรรมะในการปกครองประเทศ ๑๐ ประการ
เพื่อให้อาณาประชาราษฎร์ร่มเย็นเป็นสุขบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง

๒. ราชสังคหะ หรือ ธรรมะในการทำนุประชาราษฎร์ ๔ ประการ
๓. จักรวรรดิวัตร ธรรมะในการคุ้มครองป้องกันอาณาประชาราษฎร์

ดังนั้น เจ้าชายองค์รัชทายาทซึ่งมีสิทธิ์ที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์ในอนาคตแม้กระทั่งเจ้าชายสิทธัตถะ
แห่งราชวงศ์ศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือเจ้าชายจันทรคุปต์
ซึ่งต่อมาได้เป็นพระเจ้าจันทรคุปต์ แห่งราชวงศ์เมารยะ จอมจักรพรรดิ์ผู้ปลดแอกกู้ชาติอินเดีย
ให้พ้นจากการปกครองของขนขาติกรีกเมื่อประมาณ ๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช
(น่าเชื่อว่า เป็นพระองค์เดียวกับพระจันทโครพ ในนิยายจักร์ๆ วงศ์ๆ ของเรา....ผู้เขียน)

จำเป็นจะต้องศึกษาวิชาต่างๆ ตั้งแต่พระชนมายุประมาณ ๑๖ ปี
ทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ในห้วข้อวิชาต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย พระเวท และศิลปศาสตร์รวม ๑๘ อย่าง ได้แก่
การคำนวณ ภูมิศาสตร์ วิชาช่าง ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน การค้าขาย การขับร้องดนตรี
ดาราศาสตร์ การใช้ศรและธนู โบราณคดี แพทยศาสตร์ โหราศาสตร์ การแต่งกาพย์ ฉันท์
ตรรกวิทยา เกษตรศาสตร์และปศุสัตว์ พิชัยสงคราม เวทมนตร์คาถา การสื่อสารมวลชน และความรู้ทั่วไป

สถาบันการศึกษาที่สำคัญในยุคนั้นแห่งหนี่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยตักศิลา
โดยต้องใช้ระยะเวลาการศึกษาประมาณ ๘ ปี
โดยรูปแบบการปกครองและการบริหารของประเทศที่ได้วางไว้

เมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว
กษัตริย์จะต้องทรงปฏิบัติพระองค์ในลักษณะธรรมราชาปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้กินดีอยู่ดี
มีความร่มเย็นเป็นสุขบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง บนพื้นฐานที่มาจากความเชื่อว่า
ราชาที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งธรรมะสำคัญที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม"

ทศพิธราชธรรม ประกอบด้วยหลักธรรม ๑๐ ประการ ได้แก่

๑. ทาน ได้แก่ การเอาใจใส่สงเคราะห์อนุเคราะห์ให้ประชาราษฎร์ได้รับประโยชน์สุข
ความสะดวกปลอดภัย ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เดือดร้อน ประสบทุกข์และให้การสนับสนุนแก่คนทำความดี
พระมหากษัตริย์จะทรงยินดีจ่ายพระราชทานทรัพย์ให้แก่ข้าราชการและราษฎรผู้สมควรได้รับในคราวที่ควร
ตลอดจนถึงการจ่ายเพื่อบำรุงกิจการเพื่อให้ความสะดวกและความสมบูรณ์แก่ราษฎร

พระมหากษัตริย์จะทรงชุบเลี้ยงพระราชวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วยพระราชทานพระราชทรัพย์
เครื่องอุปโภคบริโภคภัณฑ์ตามฐานะของบุคคลนั้นซึ่งได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณ
และพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่องค์การหรือบุคคลและราษฎรเมื่อถึงคราวอันสมควร
รวมทั้งพระราชทานจตุปัจจัยแก่บรรพชิตผู้ประกอบกิจพระศาสนา

๒. ศีล ได้แก่ การรักษาความสุจริต มีความประพฤติดีงาม สำรวมกายและวจีกรรม
ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เป็นที่เคารพนับถือของประชาราษฎร์
พระมหากษัตริย์จะทรงประพฤติพระจริยาทางพระกาย พระวาจาให้สะอาดตามขัตติยราชประเพณี
ดำรงด้วยดีในเบญจศีลให้เป็นคุณสมบัติในพระองค์

๓. บริจาคะ ได้แก่ การเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
พระมหากษัตริย์จะทรงสละบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นต้น
ตลอดจนความสุขส่วนพระองค์เพื่อความสุขของประชาราษฎร์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

๔. อาชชวะ ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความจริงใจ
ไม่หลอกลวงประชาชน
พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอัธยาศัยประกอบด้วยความซื่อตรง ดำรงในความสัตย์สุจริตต่อพระราชสัมพันธมิตร
และพระราชวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองพระบาททั้งปวง ไม่ทรงคิดลวงประทุษร้ายโดยอุบายอยุติธรรม

๕. มัททวะ ได้แก่ ความอ่อนโยน การมีอัธยาศัย
พระมหากษัตริย์จะไม่ทรงดื้อดึงถือพระองค์ด้วยอำนาจมานะ
เมื่อมีผู้กราบทูลตักเตือนโต้แย้งด้วยข้ออรรถข้อธรรมที่กอปรด้วยเหตุผล
ซึ่งเป็นวิสัยของบัณฑิตชนกมิได้ทรงห้ามปรามคัดค้าน ทรงวิจารณ์โดยถ้วนถี่
ถ้าดีชอบก็ทรงยินดีด้วยแล้วทรงอนุวัตรตามโดยไม่ทรงถือพระองค์ด้วยอำนาจมานะ
ไม่ทรงเย่อหยิ่งหยาบคายกระด้าง ถือพระองค์
มีความงามสง่าอันเกิดจากท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวลละมุนละไม
ทรงมีสัมมาคารวะอ่อนน้อมแก่ท่านผู้เจริญโดยวัย และเจริญโดยคุณ

๖. ตปะ ได้แก่ การบำเพ็ญความเพียรเพื่อกำจัดความเกียจคร้าน และความชั่ว
พระมหากษัตริย์จะต้องทรงตั้งพระราชหฤทัยกำจัดความเกียจคร้าน และการทำผิดหน้าที่
ทรงตั้งพระราชอุตสาหะวิริยภาพปฏิบัติพระราชกรณียะให้เป็นไปด้วยดีเพื่อคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชน

๗. อักโกธะ ได้แก่ การไม่เกรี้ยวกราด ไม่วินิจฉัยข้อความและกระทำด้วยอำนาจความโกรธ
มีเมตตาประจำใจ
พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีพระราชอัธยาศัยประกอบด้วยพระเมตตา
ไม่ทรงปรารถนาก่อเวรก่อภัยให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ทรงพระพิโรธด้วยเหตุที่ไม่ควร
แม้จะมีเหตุที่ให้ทรงพิโรธ ก็จะทรงข่มเสียให้สงบระงับอันตรธาน
และทรงปฏิบัติด้วยพระสติรอบคอบ

๘. อวิหิงสา ได้แก่ การไม่หลงระเริงอำนาจ ไม่บีบคั้นกดขี่ มีความกรุณา
ไม่หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญาแก่ประชาราษฎร์ผู้ใดด้วยความอาฆาตเกลียดชัง
พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีพระราชอัธยาศัยกอปรด้วยพระมหากรุณา
ไม่ทรงปรารถนาก่อโทษก่อทุกข์แก่ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ทรงเบียดเบียนพระราชวงศานุวงศ์
ข้าทูลละอองธุลีพระบาทและอาณาประชาราษฎร์ให้ลำบากด้วยเหตุอันไม่ควร
ทรงปกครองประชาชนดังบิดาปกครองบุตร


๙. ขันติ ได้แก่ การมีความอดทนอดกลั้นต่อความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก
ได้ ความโกรธความพยาบาทมุ่งร้าย ความหลงงมงาย พลงระเริงในอารมณ์ที่ยั่วให้เกิด
ไม่ยอมละทิ้งกิจกรณีย์ที่ได้บำเพ็ญโดยชอบธรรม
พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีความอดทนอดกลั้นไม่หวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธ
และความหลงที่เกิดขึ้นเป็นอารมณ์ ทรงมีความอดทนต่อเวทนามีเย็นร้อนเป็นต้น
ทรงอดทนต่อถ้อยคำที่มีผู้กล่าวชั่ว ทรงรักษาพระราชหฤทัยและพระอาการกายวาจาให้สงบเรียบร้อย

๑๐. อวิโรธนะ ได้แก่ การวางตนให้เป็นหลัก หนักแน่น
สถิตมั่นในธรรมทั้งส่วนยุติธรรม และนิติธรรม ไม่มีความเอนเอียงหวั่นไหวเพราะถ้อยคำดีร้าย
ลาภสักการะ อิฏฐารมณ์ หรือ อนิฏฐารมณ์ โดยยึดถึงประโยชน์สุข และความดีงามของรัฐและราษฎร์เป็นที่ตั้ง

พระมหากษัตริย์จะต้องทรงตั้งอยู่ในขัตติยประเพณี ไม่ทรงประพฤติผิดจากราชจรรยานุวัตร
(ราชสังคหะ ๔ ประการ)
นิติศาสตร์ และราชศาสตร์ ทรงอุปถัมภ์ผู้ที่มีคุณความชอบ ทรงบำราบผู้ที่กระทำความผิดด้วยความเป็นธรรม
ไม่ทรงอุปถัมภ์ยกย่อง หรือบำราบบุคคลด้วยอำนาจอคติ ๔ ประการ คือ
ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ ไม่ทรงหวั่นไหว สะทกสะท้านต่อโลกธรรม


ในส่วนที่เกี่ยวกับราชสังคหะ หรือ การทำนุประชาราษฎร์ด้วยหลักธรรม ๔ ประการนั้น จะประกอบด้วย

๑. สัสสเมธะ ได้แก่ พระปรีชาสามาถในเรื่องการบำรุงพืชพันธุ์ธัญญาหาร ส่งเสริมการเกษตรให้อุดมสมบูรณ์

๒. ปุริสเมธะ ได้แก่ พระปรีชาสามารถในการสงเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์และ
ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ประกอบราชกิจฉลองพระคุณ ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน
โดยทรงยกย่องพระราชทานยศ ฐานันดร ตำแหน่งหน้าที่โดยสมควรแก่กุลวงศ์ วิทยาสามารถ และความชอบในราชการ

๓. สัมมาปาสะ ได้แก่ พระปรีชาสามารถในการส่งเสริมอาชีพ เช่น
การจัดทุนให้คนยากจนยืมไปสร้างตนในพาณิชยกรรม เกษตรกรรม หรือดำเนินกิจการต่างๆ
เพื่อมิให้บังเกิดช่องว่างในสังคมมากจนเกินไป

๔. วาจาไปยะ ได้แก่ พระปรีชาสามารถในการใช้พระวาจาที่เตือนสติแก่ผู้ฟัง
ทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ ดูดดื่มใจ
รวมทั้งจะไม่ทรงรังเกียจเบื่อหน่ายที่จะทรงทักทายปราศรัยถามไถ่ทุกข์สุขของประชาราษฎร์
ทุกระดับชั้นโดยสมควรแก่ฐานะ และภาวะ

สำำหรับจักรวรรดิวัตร หรือธรรมะในการคุ้มครองป้องกันอาณาประชาราษฎร์ นั้น
มีรายละเอียดครอบคลุมเรื่องที่เกี่ยวกับการปกครองไว้อย่างกว้างขวาง
ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย

มีแนวทางปฏิบัติของพระมหากษัตริย์สำคัญที่น่าสนใจดังนี้

๑. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงพิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สมบัติของประชาชน

๒. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงอนุเคราะห์ประชาชนชาวนิคมชนบทโดยฐานานุรูป
ทรงแนะนำชักนำให้ประชาชนตั้งอยู่ในกุศลสุจริต ประกอบอาชีพโดยชอบธรรม
หากชนใดไม่มีทรัพย์พอเลี้ยงชีพโดยสัมมาอาชีวะ จะพระราชทานทรัพย์เจือจานให้เลี้ยงชีพด้วยวิธีอันเหมาะสม
ไม่ให้แสวงหาด้วยทุจริต


๓. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงช่วยชีวิตของประชาชนในยามเกิดภัยพิบัติจากธรรมชาติ เช่น
อุทกภัย วาตภัย ดินฟ้าอากาศแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล รวมทั้ง โรคระบาด อัคคีภัย

๔. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
ด้วยการผูกพระราชไมตรีสมานราชสัมพันธมิตรกับกษัตริย์ ประธานาธิบดี และผู้นำของประเทศต่างๆ
เพื่อให้ราชอาณาจักรอยู่รอดปลอดภัย


๕. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงส่งเสริมสิลปะและการศึกษารวมทั้งสุขภาพ อนามัย สุขาภิบาล
ทรงให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ ปลดเปลื้องภาระคนยากจน
ตลอดจนการกระทำอันเป็นบุญกุศลซึ่งได้แก่ การสร้างโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา คนกำพร้า คนอนาถา เป็นต้น

๖. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงอุปการะสมณชีพราหมณ์ผู้มีศีลประพฤติชอบ
โดยพระราชทานไทยธรรม บริขารเกื้อกูลแก่ธรรมปฏิบัติ ฯลฯ



ากได้นำพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติต่อประเทศชาติ ต่อส่วนรวม
ต่อพสกนิกรประชาชนคนไทยมาโดยตลอด
นับตั้งแต่วันที่ได้เสด็จขึ้น ครองราชย์มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินกว่าครึ่งศตวรรษ
มาเปรียบเทียบกับหลักการปกครองและบริหารประเทศตามตำราอรรถศาสตร์


ซึ่งถือเป็นตำรามาตรฐานในการปกครองและบริหารประเทศตามอำนาจหน้าที่ของ
พระมหากษัตริย์มาแต่โบราณกาลดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้อย่าง ชัดเจนว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติตามแนวทางเหล่านั้นมาโดยตลอด
โดยไม่มี ขาดตกบกพร่องจากเลยแม้แต่ข้อเดียว


ถึงแม้ว่า พระองค์ท่านจะมิได้ทรงมีโอกาสเข้ารับการศึกษาตามหลักสูตรที่ได้กำหนดไว้
ในตำราอรรถศาสตร์ดังกล่าวเช่นเดียวกับเจ้าชายรัชทายาทอันเนื่องมาจากกาลเวลา
และสภาพสังคมที่ได้ปลี่ยนแปลงไป กับการที่ต้องเสด็จขึ้นครองราชย์โดยกระทันหัน
ด้วยเหตุการณ์ที่มิได้คาดคิด ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า
ถึงความเป็นพหูสูต ของพระองค์ท่านเท่านั้น

ประชาชนคนไทยนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีโชคดีที่พระมหากษัตราธิราชซึ่งทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม
ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพสูงส่ง ทรงมีความเป็นพหูสูต ในสาขาวิชาการต่างๆ
และทรงมีพระมหากรุณาแก่พวกเราอย่างมากมายเหลือคณานับ


ดังนั้นใน วโรกาสที่สำคัญยิ่งที่วันพระราชพิธีฉัตรมงคล
หรือวันพระบรมราชาภิเษกได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราทุกคนจะได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรประชาชนคนไทยตลอดไป


*********************
เอกสารอ้างอิง "ประวัติศาสตร์เอเชียใต้ยุคโบราณ", ดนัย ไชยโยธา, บริษัทอักษรเจริญทัศน์ฯ
เรียบเรียง ณ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๑

ฑีฆายุโก โหตุ มหาราชา

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ


#2 ลูกพระธัมฯ Merry Ma

ลูกพระธัมฯ Merry Ma

    The STRONGEST is the GENTLEST!!!

  • Members
  • 891 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Bangkok, Thailand

โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 01:37 AM

พระองค์ท่านทรงมีพระบารมียอดยิ่ง
(เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ลงสร้างบารมี)

เพราะมีพระองค์ท่านเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
ประเทศไทยถึงได้ผ่านวิกฤตมาตลอด 50 ปี

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ



The Strongest is The Gentlest!

ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด

#3 ideal

ideal
  • Members
  • 605 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:TRANG
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 06:54 PM

[attachmentid=3545]

60 ปี นานเพียงไรแล้ว ที่เราได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานไม่เคยว่างเว้น และวันนี้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานที่สุดในโลก

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ไฟล์แนบ



#4 CEO

CEO
  • Members
  • 577 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 02:36 PM

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน
ท่านก็ยังห่วงประชาชนชาวไทย
สร้างบารมีทุกวินาที
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้