วันที่ยี่สิบสองเมษา มาคิดสมมติให้คุณเป็นเจ้าภาพจัดงาน
#1
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 08:26 PM
โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณดังนี้
ค่าน้ำค่าไฟทั้งวัน
ค่าอาหารสาธุชน มื้อเช้า มื้อกลางวัน
ถวายอาหารพระสงฆ์ เช้า และเพล
น้ำปานะสาธุชนและพระสงฆ์ ช่วงเย็น
จตุปัจจัยถวายพระสงฆ์แสนสองหมื่นรูป
ปัจจัยถวายค่าเดินทางให้พระสงฆ์เดินทางกลับ
อื่น ๆ เช่น ดอกไม้ประดับในงาน เป็นต้น
ลองคิดเป็นโจทย์กันดูครับ
แล้วคำถามสุดท้าย ลองคิดกันดูว่าจะหาปัจจัยได้อย่างไรครับ
#2
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 08:39 PM
ต้องใช้บุญมากเลยที่จะให้มีคนมาทำบุญ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#3
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:07 PM
#4
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:12 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:51 PM
ผมลองใช้สมการง่าย ๆ นะครับ
- อาหารมื้ออย่างดีสองมื้อ รวมน้ำปานะอีกหนึ่งมื้อ รวมประมาณสักร้อยบาท (พระสงฆ์รวมสาธุชน มารวมสองแสนสี่) ก็เท่ากับยี่สิบสี่ล้านบาท
- ถวายจตุปัจจัยอย่างดี มีย่ามอย่างดี ร่ม ฯลฯ สมมติเจ็ดร้อยบาท ต่อพระสงฆ์หนึ่งองค์ เท่ากับแปดสิบสี่ล้านบาท
- ปัจจัยเดินทางมาและกลับ พระและผู้ติดตาม สมมติวัดละสองพันบาทหมื่นวัด เท่ากับยี่สิบล้านบาท
- ค่าน้ำค่าไฟ สมมติสิบบาทต่อคนต่อรูป เท่ากับสองล้านสี่แสนบาท
ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เท่ากับต้องเตรียมค่าจัดงานไว้ ประมาณร้อยสามสิบล้านบาทเศษ!!! (อย่างน้อย)
มาลองสมมตินะครับว่า คนมาทำบุญส่วนใหญ่ทำคนละสิบบาทยี่สิบบาท มีร้อยละยี่สิบที่ทำได้มากกว่า เท่ากับว่าคนสองหมื่นต้องทำแทนคนแปดหมื่น ก็เท่ากับว่าแต่ละคน ควรต้องทำขั้นต่ำอย่างน้อยหกพันห้าร้อยบาท เพื่อให้วัดฯ อยู่้จัดงานใหญ่ต่อไปได้
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา
โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
#6
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 10:38 PM
ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาประมาณ 200% คาดว่าค่าใช้จ่ายในการจัดงานจะเพิ่มมากขึ้นอีก ประมาณ 2 เท่า ของที่จัดกันมา อัตราเงินเฟ้อประมาณ 5% ของปีที่ผ่านมา คิดอย่างคร่าว ๆ ก็คือ ประชาชนธรรมดา ถ้ามีรายได้เท่าเดิม จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มอีก 5% ซึ่งถ้ารวมคร่าว ๆ แล้ว ปีที่แล้ว ใช้จ่าย 100 บาท ค่าใช้จ่ายในปีนี้ คงจะเพิ่มขึ้น อีก ประมาณ 120 บาท เพราะว่าสภาวะไม่ได้เกิดขึ้นแค่คุณคนเดียว มันไปกระทบทุกคนในสังคมด้วย
ผมว่า ต้องประหยัดอย่างเดียวครับ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญเป็นอันขาด แม้นปัจจัยไทยธรรม ที่ได้มา จะไม่ปราณีตเหมือนแต่ก่อน แต่ในช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ ก็เป็นที่เข้าใจครับ
ถ้าคิดจะทำงานใหญ่และประสพความสำเร็จ ต้องออกมาคิดนอกกรอบบ้าง ไม่อย่างงั้น เคยได้ผลอย่างไร ก็จะได้อย่างนั้น แค่นั้นเอง
#7
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 11:26 PM
ถ้าคิดจะทำงานใหญ่และประสพความสำเร็จ ต้องออกมาคิดนอกกรอบบ้าง ไม่อย่างงั้น เคยได้ผลอย่างไร ก็จะได้อย่างนั้น แค่นั้นเอง
ผมเห็นด้วยกับพี่ดนัยพรนะครับ โดยเฉพาะความเห็นที่ผมเน้นเป็นตัวอักษรสีแดงขีดเส้นใต้ เนื่องจากวัดเราได้ถูกบุคคลภายนอกเข้าใจผิดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอดเป็นเวลานานแล้ว
#8
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 06:18 AM
แต่ทุกๆ วัน ผมมีความรู้สึกเหมือนวัดฯ คือบ้านที่สองของผม มันเป็นเหมือนบางครั้งเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องการจัดงานซึ่งต้องใช้ปัจจัยจำนวนมาก ซึ่งบางทีเรามักจะหลีกเลี่ยงพูดความจริงกัน โดยเฉพาะเรื่องตัวเลข หลายครั้งผมได้ยิน เรื่องที่เราจะหลีกเลี่ยง ทั้งที่ความจริง ใครจ่ายเงินเหล่านั้น และจ่ายเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาบุญมาให้เรา สำนึกมันเกิดขึ้นเอง
ผมยังจำได้ ในวันที่วัดฯ เำกิดปัญหาเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเราเดินเข้าแถวไปรับอาหารเช้า กลางวัน วัดฯ มีแต่แกงสัมผักบุ้งอย่างเดียวกับข้าวเปล่า ก็เป็นวันที่ผมเศร้าใจมาก จำได้ว่าผมบอกกับภรรยาว่า ตั้งแต่วันนี้เราเอาข้าวมากินเองเถอะนะ อย่าให้วัดฯ เดือดร้อนไปกว่านี้เลย ผมเชื่อว่าทุกคนรู้สึกสำนึกดี เพราะผมเริ่มเห็นหลาย ๆ คน เอาข้าวมากินเองกันหลังจากนั้น
วันนี้ก็เช่น หลายคนบอกว่าครอบครัวตัวเองเดือดร้อน ผมก็เดือดร้อน แต่ทำไมไม่ลองถามวัดฯ ดูบ้างละครับว่าวัดฯ เดือดร้อนหรือเปล่า อย่ามองแค่ว่าบางคนบริจาคมากน้อย แต่ลองถามดูว่าพอหรือเปล่า เพราะงานแต่ละงานไม่ใช่เล็ก ๆ ถ้าไม่ลองคิดเรื่องปัจจัยที่นำมาใช้ในงานแล้ว บางครั้งก็ดูเหมือนเป็นเรื่องผ่าน ๆ และบางคนก็จะเหมาไปว่า วัดฯ มีพอแล้ว มีมากแล้ว ...
ถ้าเป็นโจทย์ที่ตอบกันยากไป ข้ามไปตอบข้ออื่น ก็ได้นะครับ
ผมยินดีให้ลบกระทู้นี้ ถ้าข้อความดังกล่าวไม่ใช่ความจริง หรืออาจทำให้ใครบางคนเข้าใจผิดไปได้
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา
โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
#9
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 11:53 AM
เราคงต้องร่วมแรงร่วมใจกันระดมกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ตามมีตามเกิด เพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้
เพราะเราต่างรู้ถึงอานิสงค์ของผลบุญใหญ่นั้น แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่เราก็ปิติ เบิกบาน แช่มชื่นเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่นี้ เพื่อประโยชน์ในภพนี้และภพหน้า
ตราบที่ใจเราเต็มร้อย ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้น อานิสงค์นับอสงไขยอปมานัง
#10
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 12:05 PM
การใช้จ่ายที่ทางวัดจ่ายไปแต่ละบาทนั้น ได้มีการคิดทบทวนอย่างรอบคอบกับทุกๆ เม็ดเงินที่เสียไปค่ะ เพราะเป็นเงินที่ญาติโยมตั้งใจหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อแรงงาน เพียงเพราะว่าอยากได้บุญ
หลวงพ่อบอกแล้ว ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ บ้านเมืองจะย่ำแย่เพียงไหนก็ตาม หากเรามีบุญซะอย่าง ไม่มีทางที่จะอับจนได้ค่ะ เพราะฉะนั้นมาหาบุญกักตุนเป็นเสบียงติดตัวไปตั้งแต่ชาตินี้ และภพชาติเบื้องหน้า จนกว่าจะถึงเป้าหมายกันเถอะค่ะ อย่าไปกังวลกับสภาวะแวดล้อม หรือเศรษฐกิจมากนัก เพราะนั่นแหล่ะ คือตัวการที่ทำให้บุญชะงัก ทำให้ความตระหนี่ได้ช่อง เวลาสมบัติจะเกิด มันก็จะไปหยุดชะงักกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นจนได้ล่ะน่า
เคยเห็นไหมคะ ที่แม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำขนาดไหน แต่คนมีบุญ ก็รวยเอารวยเอาแบบไม่มีข้อแม้และเงื่อนไขน่ะค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 09:42 PM
เออ! หลวงพ่อท่านเต็มใจช่วยพวกเราทุกคนกลับดุสิตบุรีกันให้ได้เยอะที่สุด...อันนี้แล้วแต่ใครจะมีปัญญาแค่ไหน...คิดได้มากน้อยแค่ไหนด้วยนะค่ะ.....
หนี้ก็ส่วนหนี้นะ อย่าเอามาปะปนกัน....
ทำเต็มกำลังเต็มใจที่จะทำได้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว...(ดีกว่าไม่ทำเลย)
ไม่ใช่ว่า ทำมากแล้วจะบุญเยอะเสมอไป...แต่มันอยู่ที่ใจปลื้มมากปลื้มน้อยด้วยค่ะ...
ไม่มีเงินมากก็อาศัยแรงกายเข้าช่วยได้นิค่ะ...เมื่อไรมีเงินก็ทำตามที่มี...แบ่งเงินให้เป็นส่วน ๆ
ก็ได้...ใช้หลักพุทธบริหารการเงินกัน...(แต่บางทีมันก็ยากเอาการอยู่นะ) โดยเฉพาะหากใครเป็นเจ้าของกิจการหรือแม้แต่พนักงานกินเงินเดือนแต่มีรายจ่ายมากโขอยู่...ต้องใช้คำว่า ตัดใจได้มั๊ย! ที่จะทำความดี มีเงินหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวครอบครัวหนี้สินที่ต้องจ่ายจริง ๆ แต่เชื่อมั๊ย! เหตุการณ์เล่านี้ครอบครัวเราผ่านมาแล้ว...มีหนี้เกือบ 10 ล้านบาท แต่ไม่รู้ยังไงช่วงเศรษฐกิจเค้าแย่ ครอบครัวกลับไม่แย่ตาม
#12
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 01:21 PM
ทีนี้ก็มีเศรษฐีคนหนึ่ง เห็นอุบาสกมาบอกบุญ จึงซักถามต้นสายปลายเหตุ แล้วก็คิดในใจว่า อุบาสกจอมเวอร์ เอ็งอยากทำบุญ เอ็งก็นิมนต์พระแค่ 1-2 รูป แล้วก็ทำอาหารถวายที่บ้านของเอ็งเองสิ มาทำให้คนอื่นเดือดร้อนตามเอ็งไปด้วยทำไม
แล้วก็ใช้นิ้ว 3 นิ้ว จุ่มอาหารมาหน่อยหนึ่งส่งให้อุบาสก อาการเช่นนี้ เหมือนกับตีนแมวที่มี 3 นิ้ว เศรษฐีจึงได้ฉายาว่า เศรษฐีตีนแมว อุบาสกก็ไม่ว่าอะไร เดินจากไป
ครั้นพอทำบุญเช่นนี้ ก็ไม่สบายใจ กลัวอุบาสกจะไปประจานว่า ตนขี้งก จึงตามไปดูในวันถวายภัตตาหาร พอไปเห็นอุบาสก ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับแบ่งบุญให้ทุกๆ คน เกิดซาบซึ้งใจ สำนึกผิด ขอโทษอุบาสก
#13
โพสต์เมื่อ 09 April 2006 - 11:49 PM
ตอนนี้มีคนทำเป็นหนังสือการ์ตูนสวย ๆ รูปเล่มน่ารักดี..เห็นมีหลายเรื่องแหละค่ะ..
เรื่อง เศรษฐีในพุทธกาล..เล่มกระทัดรัดดี..ความยาวประมาณคืบหนึ่ง..
แต่ราคาเอาเรื่องอยู่เลย...
หากจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นสี่สีทุกหน้าบนกระดาษปอนด์ไม่เคลือบมันค่ะ..
#14
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 01:07 PM
#15
โพสต์เมื่อ 14 February 2007 - 08:34 AM