ทำไม่คนชั่วไม่กลัวนรก
#1
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:11 PM
#2
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:18 PM
#3
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:30 PM
#4
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:31 PM
ส่วนคนที่ไม่มีบุญพอช่วยได้ ก็ไม่ต้องทัวร์ก่อน ไปเห็นตอนใช้บริการเลยทีเดียว
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:33 PM
ต่อเลยนะครับ "แต่เมื่อใดก็ตามที่บาปนั้นให้ผล เมื่อนั้นเขาย่อมประสบทุกข์"
#6
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:36 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#7
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:38 PM
ขี้เล่นจังเลยนะ เจ้าหมาน้อย
#8
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 02:17 PM
ว่าแล้วก็ต้องปล่อยวางอีกตามเคย
#9
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 02:35 PM
ส่วนกรณีคนใจบาปนั้นได้เห็นแน่ๆ ครับ หลังจากตายละโลกไปแล้วได้เห็นแน่ๆ เพราะตีตั๋วฟรีไว้ตั้งแต่บนโลกแล้วครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#10
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 03:26 PM
การที่พวกเราตกนรก เพื่อให้การเวียนว่ายตายเกิดของเรามียาวนานไม่จบไม่สิ้น ผู้รู้กล่าวว่า เมื่อเราตกนรก ตราบใดที่แผ่นดินยังพูดไม่ได้ เราก็ยังไม่พ้นจากนรกไม่ได้ คนตกนรกอายตนนรกจะพยายามดึงดูดให้เราอยู่ในนั้นนานเท่านาน เพื่อให้มรรคผลนิพพานล่าช้า เพื่อให้วัฏฏสงสารยืดยาวขึ้น ทำให้เราเสียเวลาอันพึงจะทำประโยชน์คือสร้างบารมีไปอีกยาวนาน.......
#11
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 04:32 PM
1. ทำบุญแล้วอธิษฐานจิตให้ชีวิตมีแนวทางที่ถูกต้องไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน ได้สร้างความดีไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะถึงนิพพาน คำอธิษฐานเหล่านี้จะกลายมาเป็นอธิษฐานบารมี มาคอยช่วยเหลือตักเตือนไม่ให้ไปทำชั่วในรูปแบบต่างๆ เช่น พระโพธิสัตว์ บางชาติเกิดเป็นชายหนุ่มช่างทอง ไปหลงรักกับเจ้าหญิงที่มีคู่หมั่นแล้ว จึงคิดลอบเป็นชู้กัน โดยเจ้าหญิงนัดให้ไปพบตอนกลางคืน แต่ปรากฏว่า พระโพธิสัตว์ไม่ไปตามนัด เพราะอยู่ๆ ก็ง่วงนอนมากโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงรอดพ้นจากการทำบาปไปได้ นั่นเป็นเพราะอธิษฐานบารมีที่ทำมา มาคอยช่วยไว้ แต่ในที่สุด เมื่ออกุศลเข้าสิงจิตเต็มที่ จึงลอบเป็นชู้กันจนได้ แล้วก็รับผลบาปไปเต็มๆ
หรือแม้แต่พระเจ้าปเสนธิโกศล เห็นภรรยาคนอื่นสวย คิดจะเอามาเป็นของตัวโดยฆ่าสามีนางเสีย แต่พอฝันประหลาดเป็นนรกน่าสะพึงกลัว ไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า นี่คือผลบาปของการไปแย่งภรรยาผู้อื่น ทำให้พระเจ้าปเสนธิโกศลเลิกคิดไม่ดัทันที
2. เคยเป็นกัลยาณมิตรชักชวนคนอื่นทำความดีมามาก บุญนี้จะคอยส่งผล ให้มีผู้มาคอยแนะนำตักเตือนเราทำความดีบ้าง แม้เตือนแล้วเราไม่ยอมทำ เขาก็จะอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเตือนเรา เช่น เคส Study หนึ่ง ผู้นำบุญ ไปชวนผู้หญิงคนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม แต่ผู้หญิงคนนี้ดื้อไม่ยอมไป ผู้นำบุญเลยอธิษฐานให้เทวดาดลใจ ซึ่งก็ได้ผล อยู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ฝันเห็นผีมาบอกให้ไปนั่งสมาธิ เธอกลัวมาก จึงไปบอกผู้นำบุญว่าเปลี่ยนใจแล้ว จะไปนั่งสมาธิเป็นต้น ซึ่งในความคิดของผม คิดว่า ผู้หญิงคนนี้ในอดีตย่อมเคยชักชวนคนทำความดีมา บุญนี้จึงทำให้มีผู้มาชักชวนทำความดีบ้าง เป็นต้น
ส่วนผู้ที่ไม่มีใครคอยมาเตือน เวลาทำชั่ว ก็เพราะ อธิษฐานไม่เป็น ทำบุญแล้วอธิษฐานขอให้รวย สวยหล่อ ฉลาด อย่างเดียว และไม่ชักชวนใครทำความดี ดังนั้น ต่อมา ย่อมใช้ความรวย สวยหล่อ ฉลาดไปในการทำบาปครับ เช่น นักมวยคนหนึ่ง ถือธงขึ้นไปบูชาเจดีย์ในอดีตกาล แล้วอธิษฐานว่า ขอให้หล่อ ให้เป็นที่รักของสาวๆ
พอชาติสุดท้ายได้มาเกิดเป็นหลานของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี หล่อมาก สาวเห็นแล้ว สาวหลง เจ้าหนุ่มจึงลอบเป็นชู้กับสาวๆ ทุกๆ คน จนพระราชาจะจับเข้าคุก ยังดีที่พระพุทธเจ้ามาเทศน์โปรดจนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จึงเลิกทำชั่ว
นี่ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้า นรกเป็นที่ไปชัวร์ๆ
#12
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 04:34 PM
เพราะยังไงก็ต้องรอพวกนี้หลุดพ้นไปให้ได้เสียก่อนอยู่ดีนั่นแหละ ดังนั้น ปลงเสียเถอะ
#13
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 04:45 PM
แต่ไม่ว่าชาติใดก็ตามที่เกิดมาพบพระโพธิสัตว์ แรงบาปที่อธิษฐานไว้ จะทำให้พระเทวทัตคิดจองเวรทุกครั้ง และก็ลงนรกทุกครั้งเช่นกัน บุญที่ทำไม่อาจช่วยได้เลย
แต่หลังจากนี้ไป พระพุทธเจ้าของเราท่านเข้านิพพานไปแล้ว ถ้าพระเทวทัตพ้นนรกเมื่อไหร่ บุญบารมีที่สั่งสมมา จะทำให้ได้บรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต
#14
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 05:45 PM
#15
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 06:11 PM
1. เป็นกัลยาณมิตรให้ท่านเหล่านี้ แม้ท่านจะฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่เราก็ได้บุญแล้วล่ะ
2. แผ่เมตตาให้ท่าน เขาไม่มีบุญ ก็เอาบุญเราไปให้เขา สักวัน... ก็จะส่งผล
ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า หรือชาติต่อๆไป
สำคัญว่า อย่าไปโกรธเคืองเขาเลย ใจจะขุ่นเปล่าๆ
พันธ์รื้อวัฏฏแท้ ควรมองไปที่เป้าหมายค่ะ
โน้นนนน นู้นนนนน ที่สุดแห่งธรรม
#16
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 07:38 PM
นรกสูบลงไปให้ลึกที่สุด เรียกว่าขุดรากถอนโคนตัวเองไปเลย มารคงจะส่งกำลังบาปให้
ได้เต็มที่ เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องนิพพานอยู่แล้ว
#17
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:02 PM
#18
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:44 PM
- อวิชชา(ความมืด)ครอบงำทำให้ไม่ทราบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต
- ผูกพยาบาท อาฆาตแค้น
- มิจฉาทิฐิ คือ ไม่เชื่อว่าภพนี้ ภพหน้า มีจริง คบคนพาล
หากคนชั่วคือผู้ที่ยึดอกุศลกรรมบท10 และเรามีกำลังพอที่จะเป็นกัลยาณมิตรให้เขาได้ ก็ควรเกื้อกูล เพราะตัวผมเองบางครั้งอกุศลก็เข้าสิงจิตมาก่อน ผมได้กัลยาณมิตรจึงทำให้ผมเข้าวัดเพราะอยากเป็นคนดีที่โลกต้องการ เมื่อสัมมาทิฐิพอกพูน ก็ปรารถนาที่จะสร้างบารมีร่วมไปกับหมู่คณะที่ต้องการรื้อวัฏฏะ
#19
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 09:39 PM
เขาจะมีเวลาสำหนึกผิดไหมหนอ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#20
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 09:31 AM
#21
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 01:28 PM
แต่ในบางครั้ง เราต้องเอาอุเบกขาวางบ้างเนาะ ไม่งั้นสะเทือนเลือนลั่น วงการศาสนา แน่ หากมวลหมู่พาลเห็นผิด ชักจูงกันลงคลองขอด เหล่านี้ย่อมกระทบความสงบสุขในสังคมได้
ท่านใด พอจะเห็นเป้าหมายกลุ่มนี้ ชัด ๆ ไหมครับ ว่าสิ่งใดแท้ที่เขาต้องการ
#22
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 04:22 PM
#23
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 06:19 PM
ในสมัยพุทธกาล มียายคนหนึ่ง ท่าทางจะเกลียดชังพระพุทธเจ้ามาก นางมาด่าพระอยู่ที่หน้าวัดพระเชตวันทุกวัน วันหนึ่ง พระโมคคัลลานะ ท่านมาเห็นเข้า ท่านจึงขออนุญาตกับพระพุทธเจ้าว่า ท่านจะขอโปรดนางเอง พระพุทธเจ้าบอก นางเห็นผิดเป็นชอบมากๆ สงสัยต้องรอพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป แต่พระโมคคัลลานะขอลองดู พระพุทธเจ้าบอกว่า ลองดูก็ได้
ว่าแล้วพระโมคคัลลานะ ผู้มีฤทธิ์เป็นเลิศ ก็เดินเข้าไปหานางทันที พอยายหอยเห็นพระโมคคัลลานะเดินเข้ามาหา นางก็เลยกลับหลังหันเตรียมจะหนีกลับ พอยายหอยหันหลังกลับเท่านั้น ก็พบพระโมคคัลลานะ ยืนดักอยู่ข้างหลัง ยายตกใจเล็กน้อย หันกลับมาข้างหน้า ก็เห็นพระโมคคัลลานะ 2 องค์ ยืนดักอยู่ทั้งหน้าและหลัง ถึงตอนนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็คงก้มลงกราบและหมดพยศแล้ว แต่ยายหอยซะอย่างไม่เกรงฤทธิ์พระโมคคัลลานะเลย
จึงหันไปทางซ้าย ก็พบพระโมคคัลลานะทางซ้ายอีก จึงหันไปทางขวา ก็พบพระโมคคัลลานะทางขวาอีก เอาละสิ ซ้ายขวาหน้าหลัง พระโมคคัลลานะล้อมไว้หมดแล้ว
ยายหอยไม่หมดพยศ จึงหันหน้ามองขึ้นข้างบน ก็พบพระโมคคัลลานะลอยดักอยู่ข้างบน ยายหอยจึงก้มมองที่พื้น ก็พบพระโมคคัลลานะดักอยู่ที่พื้นเช่นกัน
ตอนนี้หลายคน คงคิดว่า ยายหอยถึงคราวสิ้นฤทธิ์แล้ว แต่เปล่า ยายหอยกลับทำให้พระโมคคัลลานะเลิกคิดโปรดนางแทน ทำอย่างไรน่ะหรือ
ยายหอย ก็เปิดผ้าถุงของตัวเองออก แล้วก็ก้มมองลงไปที่อวัยวะที่ระบุความเป็นเพศของตัวเอง เท่านั้นแหละ พระโมคคัลลานะ ถึงจนปัญญา บอกว่า คนแบบนี้ก็มีในโลก
ดังนั้น ไม่ใช่ว่า มีฤทธิ์แล้วจะแก้ได้ทุกปัญหานะครับ เรื่องของความศรัทธา แม้พระอรหันต์ที่สามารถรับรองได้ทุกเรื่อง ยังไม่กล้ารับรองเรื่องนี้เลย ดังอีกตัวอย่างหนึ่ง
มีอุบาสกคนหนึ่ง นิมนต์พระมาเพื่อทำบุญ แต่ปรากฏว่า พระท่านไม่ว่างขอเลื่อนไปอีก 7 วัน อุบาสกบอกว่า เลื่อนไปแล้วใครจะกล้ารับรอง ชีวิตกับ ศรัทธาของข้าพเจ้าว่าจะไม่เปลี่ยนไป พระโมคคัลลานะจึงบอกว่า ท่านสามารถรับรองได้ว่า อีก 7 วันชีวิตของอุบาสกจะยังคงปลอดภัย แต่ศรัทธาของอุบาสก ท่านไม่อาจรับรองให้ได้ อุบาสกต้องรับรองศรัทธาของตัวเอง
#24
โพสต์เมื่อ 10 April 2006 - 12:02 AM
แต่อย่าทิ้งเลย...ต้องฝึกน้ำใจพระโพธิสัตว์ไว้กันนะค่ะ...คอยไปสะกิดเค้านิด ๆ หน่อยก็ยังดี..อย่างน้อย ๆ การที่เราไปเจอแล้วคุยกับเค้า คิดซิค่ะว่า ...เราโชคดีนะ...เค้าเปิดโอกาสให้เราได้สร้างบารมี...เราชวนแล้วนะ...ยิ่งหากเป็นญาติ ๆ แล้ว เค้าปฎิเสธก็ชั่งเค้า...เราถือว่า เราทำหน้าที่เราแล้ว...ทำสุด ๆ ความสามารถแล้ว....(ใจเป็นกลางด้วยนะค่ะ) มีบุญก็ไปชวน ทั้ง ๆที่รู้เค้าไม่ทำชัวร์...อาจจะโดนด่ากลับก็ได้..ฯลฯ แต่หากวันไหนดวงบุญเค้าเปิดล่ะ...วันนั้นแหละจะเป็นวันที่เราปลื้มใจที่สุดเลย...ปลื้มยิ่งกว่าปลื้มนะ..
แต่ขอร้องเถอะค่ะว่า..อย่าได้เอาความคิดที่ว่า ทำมั๊ยเราช่วยเค้าไม่ได้...ทั้ง ๆ ที่เราตั้งใจเต็มที่..ทำมั๊ยไม่ทำบุญร่วมกับเรา...มาเป็นตัวฉุดเราเองก็เป็นใช้ได้ค่ะ...วันนี้เค้าปฎิเสธใช่ว่าวันหน้าจะปฎิเสธตลอดไปเสียเมื่อไร...อดทน และ ขันติ เท่านั้น ที่ครองโลก... อิอิ
มันแตกต่างตรงไหนค่ะ ระหว่างอดทนกับขันติเนี่ยะ..^^
เค้าให้โอกาสเราได้สร้างบารมี 10 ทัศ....ท่องไว้ ท่องไว้.....^^