ประโยชน์ของพระอภิธรรม
#1
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:12 PM
นับว่ามากกว่าหมวดอื่น เนื้อหาก็ว่าด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีตัวบุคคลเป็นปรมัตถธรรม
แนวทางนี้นำไปปฏิบัติเรียกว่าปริยัติ แต่ถ้าปฏิบัติได้ผลก็เป็นปฏิเวธ
ผมอยากถามหลาย ๆ เรื่องดังนี้
ทำไมใช้สวดพระอภิธรรมในงานศพ โดยไม่ทราบความหมาย
แนวทางของพระอภิธรรมสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผล (ปฏิเวธ) ได้อย่างไร
แนวคิดขั้นพื้นฐานในการศึกษาพระอภิธรรมคืออะไร
#2
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:39 PM
ความจริงถ้าคนที่เคยบวชเรียนมาอย่างจริงจังแล้วและยิ่งถ้าได้เคยไปสวดในงานศพมาก่อนและถ้าใฝ่ศึกษาถามพระอาจารย์โดยมากจะรู้ความหมายของบทสวดครับ เสียดายจริงๆ ที่ผมเองก็เคยบวชน้อยพรรษาไปนิดจวนจะไปถึงขั้นนั้น ทำให้ไม่รู้ความหมายของบทสวดพระอภิธรรมในงานศพครับ ผมทราบเพียงแค่ กุศลาธรรมา อกุศลาธัมมา อัพพยากตาธรรมา แค่นี้เองครับที่ผมรู้ความหมายของคำสวด
ขนาดคนบวชเรียนก็ยังไม่ค่อยจะทราบความหมายชัดเจนเลยครับ ยิ่งชาวบ้านหละก็ไม่ต้องห่วงเลยครับฟังกันไม่รู้เรื่องนั่งหลับกันเป็นแถวๆ หรือไม่ก็ทำหน้าเหวอไปเลยหละครับ 555+
แต่ในบางวัดตามต่างจังหวัดบางวัดก็มีการสวดบทพระอภิธรรมเป็นภาษาไทยก็มีนะครับ ผมเคยได้ยินพระสวดมาแต่จำไม่ได้ครับ
หัวใจพระอภิธรรมอย่างที่ทราบกันก็คือ จิ เจ รุ นิ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถือเป็นหัวใจหลักของพระศาสนาเลยครับ เมื่อมีรูปก็ต้องมีนาม มีนามก็ต้องมีรูป มีจิตก็ย่อมต้องมีเจตสิก จิตคือตัวรู้ เจตสิก คืออารณ์ที่มากระทบกับจิต เจตสิกดีก็อารมณ์ดี เจตสิกเสีย ก็อารมณ์เสีย มีใจที่ไหนก็ต้องมีกายที่นั่น แต่เมื่อจิตละวางความยึดมั่นถือมั่นในรูปแล้ว ไม่ยินดียินร้ายในเจตสิกที่มากระทบทั้งปวง มีใจเป็นอิสระจากเจตสิกที่เป็นบาปอกุศลที่จะเข้ามาบังคับบัญชาจิต จิตย่อมผ่อนคลายจากรูปคือกาย เข้าถึงปรมัตถนิพพานในที่สุด
ไม่มีอคติเอนเอียงหรือเข้าข้างตนเองในการศึกษา ไม่หูเบาเชื่อง่ายแม้ตนจะได้ศึกษาอภิธรรมมาจากพระอาจารย์รูปใดก็ตามที่ตนนับถือ มีใจรักในการศึกษา หมั่นค้นคว้าศึกษาและปฏิบัติ พิสูจน์ความจริงของพระอภิธรรมด้วยปฏิบัติบูชา
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#3
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:54 PM
ครับ ขอถามต่ออีกนิดครับถ้าศึกษาพระอภิธรรมเพียงอย่างเดียวสามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้หรือไม่
#4
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 09:07 PM
ถ้าศึกษาเพียงอย่างเดียวแล้วไม่ปฏิบัติ ปฏิเวธก็ไม่เกิดครับ แต่ถ้าศึกษาพระอภิธรรมแล้วปฏิบัติด้วย ก็สามารถหมดกิเลสเข้าถึงพระนิพพานได้ครับ ส่วนเรื่องที่ว่าจะบรรลุได้จริงหรือไม่นั้นเท่าที่พระอรหันต์ได้รจนามาท่านยืนยันว่าสามารถเข้าถึงได้จริงครับ ส่วนผมนั้นเป็นเพียงทรงจำคำสอนเท่านั้นครับคงต้องให้คุณทศพลพิสูจน์คำสอนนี้ด้วยตัวของตัวเองดูครับ
หลักการทดสอบว่าจิตมีกิเลสหรือไม่ก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าจิตยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่หรือไม่ก็ต้องดูเวลาที่เกิดเจตสิกไม่ดีมากระทบจิตว่าจิตจะตอบรับในอารมณ์ไม่ดีหรือไม่ เช่น เห็นรูปสาวๆ แล้วกำหนัดหรือไม่ ได้ยินคำผุสวาจาแล้วจิตขุ่นมัวหรือเข้ามากระทบถึงใจหรือไม่ จิตรู้เกิดแล้วหรือไม่หรือยังมีคำว่าไม่รู้หลงเหลืออยู่
ข้อสุดท้ายที่เป็นการรู้เท่าทันเจตสิกโมหะนั้น จะต้องเป็นอธิศีล อธิจิต เพื่อให้เกิดอธิปัญญา แล้วอวิชชาคือความไม่รู้เท่าทันกิเลสจะหมดไปครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 09:34 PM
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#6
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 10:42 PM
การเมื่อปฏิบัติธรรมแล้วพิจารณาสภาวะธรรมจากพระอภิธรรมควบคู่ไปด้วยจึงจะได้ผล
ปฏิเวธ
ถ้าผมเปรียบเทียบพระอภิธรรมคือ หนังสืออ้างอิง TEXT BOOK คงจะไม่ผิดนะ
#7
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 11:06 AM
#8
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 04:13 PM
1. เป็นพระผู้เชี่ยวชาญคันถะธุระมาก (คือ เชี่ยวชาญด้านการศึกษาธรรมะ) มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ลูกศิษย์หลายคนปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอาจารย์จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็มาก แต่อาจารย์กลับไม่ได้บรรลุสิ่งใด วันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านต้องการเตือนให้ทราบ จึงทักท่านว่า "มาแล้วเหรอ ท่านใบลานเปล่า" "นั่งเถิด ท่านใบลานเปล่า" "ไปเภิดท่านใบลานเปล่า" ท่านได้สติจึงไปเรียนกับลูกศิษย์ที่ท่านสอนนั่นแหละ แต่ลูกศิษย์ก็ส่งต่อไปเรื่อยๆ จนถึงสามเณรอรหันต์ สุดท้ายท่านต้องไปเรียนกับเณร (เพื่อกำจัดความอวดดื้อถือดี ว่าเป็นครูเขาอาจารย์เขา) ในที่สุดจึงค่อยบรรลุธรรม
2. อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องราวพระภิกษุผู้คิดสึก เพราะทรงจำธรรมะเพียงแค่บรรทัดเดียวก็ยังจำไม่ได้ (แสดงว่า ศึกษาอะไรไม่ได้) พระพุทธเจ้า เสด็จมาโปรด เนรมิตผ้าให้เช็ดมือไปเรื่อยๆ แล้วให้ท่องว่า "รโชหรณัง (ผ้าเช็ดธุลี)" ท่านท่องจนจิตเป็นสมาธิ ใจหยุดนิ่ง เห็นผ้าขาวเปื้อนคราบไคล แล้วพระพุทธเจ้าก็มาเทศน์ซ้ำ ใจน้อมสู่วิปัสสนา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ โดยศึกษาธรรมะแค่คำเดียว(รโชหรณัง) อย่างนี้ก็มี
#9
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 07:47 AM
หลวงพ่อวัดปากน้ำเทศในหัวข้อระดับพระอภิธรรมไว้หลายกันฑ์เลยในมรดกธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งมี 63 กัณฑ์เทศน์ลองไปหาอ่านดูนะครับ นั่นหมายความว่าวิชชาธรรมกายนี่แหละสามารถพิสูจน์เรื่องของพระอภิธรรมได้
ตามประวัติศาสตร์ พระอภิธรรมปิฎกนั้นมีข้อมูลว่า ภิกษุนิกายสรวาสติวาทินหรือพวกไวภาษิต(นิกายนี้เป็น หนึ่งใน 18 นิกายของเถรวาทในยุคหลังพุทธปรินิพพาน)เป็นผู้รจนาขึ้น พระมหาเถระที่สำคัญของนิกายนี้ คือพระมหาอุปคุต ต่อมาก็มีพระนาคเสน ฯลฯ นิกายนี้เคยรุ่งเรืองในอินเดียตอนกลางและตอนเหนือมาหลายร้อยปี นิกายนี้พอมีข้อมูลให้ศึกษาได้บ้างแต่ข้อมูลส่วนใหญ่อยู่ในพระไตรปิฎกของมหายาน นิกายนี้เชื่อว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นเนื้อธรรมหนังธรรม ทุกอย่างเป็นดวง และมีความคล้ายคลึงกับวิชชาธรรมกายมาก ตอนหลังนิกายนี้รุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้ากนิษกะช่วงราว พ.ศ.600 ก่อนที่ตอนเหนือของอินเดียจะถูกนิกายมหายานเข้าครอบครอง และเมื่อนิกายมหายานเข้าครอบครองอินเดียตอนเหนือ นิกายสรวาสติวาทินก็ถูกนิกายมหายานกลืนเข้าไปด้วยทั้งๆ ที่นิกายนี้เป็นเถรวาทนิกายหนึ่ง อินเดียตอนเหนือจึงได้รับอิทธิพลของมหายานอย่างเต็มที่
#10
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 05:42 PM
ขอบคุณคุณใสแจ๋วที่ค้นหาแนวคิดและประวัติของพระอภิธรรมมาให้
คืออยากตั้งใจศึกษาดูและมันงงครับไม่รู้จับต้นชนปลายอย่างไร เพราะมันจะ
เป็นแบบท่องจำอย่างเดียว
และไม่รู้ว่าศึกษาพระอภิธรรมแล้วมีอานิสงส์อย่างไรบ้าง
#11
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 11:52 AM
#12
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 08:11 PM
#13
โพสต์เมื่อ 14 February 2007 - 08:39 AM