๓.๕ ความฝันย่อมเกิดขึ้นได้ในบุคคล ๗ ประเภท คือ
๑. ทุคติบุคคล ได้แก่ เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ยกเว้นสัตว์นรก
๒. สุคติอเหตุกบุคคล คือ มนุษย์และเทวดา ที่ปฏิสนธิมีกำลังอ่อน
เพราะมีอกุศลเข้ามาพัวพันขณะปฏิสนธิ หมายถึง ผู้พิกลพิการมาแต่กำเนิด
จะเป็นมนุษย์ หรือเทวดาก็ตาม (ชั้นจาตุมหาราชิกา) เช่น
ร่างกายไม่สมประกอบบ้าง จิตไม่สมประกอบบ้าง หรือทั้งกายและจิตไม่สมประกอบทั้งสองอย่าง
ทั้งนี้เพราะบุญนำเกิดก็จริง
แต่มีบาปเข้ามาพัวพันเลยทำให้ไม่สมประกอบ เช่นชอบยิงนก ตกปลา
ดังนั้น แข้งขาเสีย ปากเสีย หน้าเสีย แขนไม่ดี อะไรก็ได้ที่บกพร่องไป
หรือเป็นคนชอบทำบุญ แต่ติดเหล้า เวลามาเกิดเป็นคนเลยปัญญาทึบเป็นต้น
๓. ทวิเหตุกบุคคล หมายความว่า บุคคลผู้มี ๒ เหตุคือ บุคคลผู้มีอโลภะ อโทสะ
เวลามาเกิด ไม่ประกอบด้วยความโลภ และความโกรธเข้ามาพัวพัน เวลาทำกุศลส่วนมากก็ตั้งใจดี
ด้วยอำนาจของกุศล นำให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเพราะเป็นการทำบุญเผื่อเหนียว จึงกลายเป็นบุคคลผู้เกิดเป็นทวิเหตุกบุคคลคือ ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ในขณะปฏิสนธิ
แต่มีโมหะ ความโง่อยู่ภายในจิตใจ (ไม่มีปัญญาทางธรรม)
๔. ติเหตุกบุคคล ได้แก่ผู้มีปัญญาเข้ามาประกอบ คือ ได้ศึกษาเล่าเรียนเรื่องของชีวิต ชอบคิดพิจารณาลึกซึ้ง เข้าใจในปัญหาของชีวิต จิตก็มีปัญญาเกิดขึ้น เมื่อตายไปแล้วไปเกิดชาติหน้าก็เป็นติเหตุกบุคคลคือ
ในขณะเกิดมีปัญญาร่วมด้วย ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ปละไม่มีความหลง ได้อโลภะ อโทสะ อโมหะ ในขณะปฏิสนธิ
เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาเหล่านี้ก็ฝันได้
พวกติเหตุกบุคคลนี้ เมื่อทำสมาธิจะได้รับผลดี ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป
เมื่อตายลงก็จะไปเกิดเป็นพรหม เพราะทำสมาธิจนได้ฌานในขั้นต่าง ๆ
ในบรรดาพรหมทั้งหลายตลอดถึงอรูปพรหมด้วย พักผ่อนนอนหลับอยู่ในฌานเป็นส่วนมาก
และกิเลสทั้งหลายก็ถูกอำนาจสมาธิข่มเอาไว้ จึงไม่ฝัน
๕. โสดาบันบุคคล ฝันได้
๖. สกทาคามีบุคคล ฝันได้
๗. อนาคามีบุคคล ที่เป็นมนุษย์ ยังไม่สิ้นอาสวกิเลส และยังมีการพักผ่อนนอนหลับ
เพราะวิปลาสบางประการยังหลงเหลืออยู่ อาจมีการฝันได้ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย เรียกว่าเกือบจะไม่มีเลย
ส่วนพระอรหันต์นั้น ไม่มีความฝันเลย ไม่มีการหลับพักผ่อนเหมือนปุถุชน และเสกขบุคคลทั้งหลาย เพราะพระอรหันต์ท่านสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน วิปลาสสิ้นแล้ว ไม่มีความฝันแต่อย่างใด
๓.๖ ความฝันเชื่อได้หรือไม่ ?
ความฝันที่เป็นจริง ควรเชื่อได้นั้น คือ ความฝันที่เป็นบุพพนิมิต
อันบังเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลและบาปอกุศล ที่สั่งสมไว้ บันดาลให้ฝัน ที่สำคัญคือ
ความฝันย่อมเป็นของแน่นอนแต่เพียงผล ส่วนกิริยาที่ฝันเอาแน่นอนไม่ค่อยได้หมายความว่า
ผลที่เกิดขึ้น ไม่ตรงกับที่ฝันเห็น เช่นในเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร ท่านพรรณนาว่า
พระนางมัทรีทรงสุบินนิมิตผิดประหลาดว่า
ยังมีบุรุษหนึ่งนั้นเติบโตดำล่ำสันเห็นพิลึก
ผิวกายดำเป็นหมอกหมึก มืดดังมหาเมฆ ดูนิโกกเกกเก่งฉกาจ นุ่งผ้าย้อมฝาดคาดกาสาว์สักกระสัน พันเป็นเกลียวเหนี่ยวเหน็บรั้งคาดพุงจั้งมั่งทะมัดทะแมง ทัดดอกไม้แดงทั้งสองหูดูสง่า มีหัตถ์เบื้องขวานั้นถือดาบคมเขียวเป็นมันปลาบละเลื่อมแสง แกว่งกวัดฉวัดเฉวียน
วิ่งวู่จู่เข้ามาถึง ถีบทวารตึงทำลายลู่ กระทืบเท้าตะคอกขู่คำรามสำราก
ฉวยชฎานางกระชากฉุดให้หลุดพลัด รวบพระกรกระหวัดทั้งซ้ายขวา ใ
ห้พระนางเธออุตตาภาพ (บรรทมหงาย) ฟาดด้วยดาบ
เหวี่ยงลงตรงพระพาหาทั้งสองซ้ายขวาขาดเป็นสิน
พระกรกระเด็นดิ้นอยู่แดดาน แล้วมิหนำซ้ำแขวะคว้านควักพระนัยเนตรทั้งสองปลิ้นให้วิ่นหวะ
เอาดาบฉะเชือดพระทรวงล้วงชำแหละ แหวะหาพระทัยพระนางนั้น
ถือเอาความว่า พระนางมัทรีฝันว่า
มีบุรุษมาตัดแขนซ้ายและแขนขวา แล้วผ่าทรวงล้วงเอาดวงหทัยไป ก็มิได้เป็นจริงตามนั้น คือ
พระนางมิได้ถูกตัดแขนซ้ายและแขนขวา ผ่าทรวงล้วงเอาดวงหทัยไปดังที่ฝันเห็น
เป็นแต่ว่า พระนางต้องเสียสองกุมารคือ กัณหาและชาลี ซึ่งเป็นเหมือนดวงหทัยและแขนซ้ายแขนขวา โดยชูชกมาทูลขอจากพระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ และพระเวสสันดรก็มีพระทัยยินดีประทานให้แก่ชูชกไปตามประสงค์ เป็นการบำเพ็ญทานบารมีอย่างอุกฤษฏ์ ยากที่คนอื่นจะกระทำได้ เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว
ความฝันที่เชื่อไม่ได้
คือความฝันที่เกิดจากธาตุกำเริบ หรือมีจิตประหวัด ยึดหน่วงอารมณ์ ที่เคยได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง
ได้สัมผัสมาแต่กาลก่อนนั้น แล้วเก็บเอามาฝัน ท่านว่าไม่เที่ยงแท้ เชื่อถือไม่ได้
ความฝันที่เชื่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คือความฝันที่เกิดจากอำนาจเทวดาสังหรณ์ คือ
เทวดามาเข้าฝัน ขึ้นอยู่กับว่า เทวดานั้นมีความรักใคร่ หวังดี ปรารถนาจะสงเคราะห์ให้เป็นประโยชน์หรือไม่