ลาบอร์ด....DMC
#1
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 09:09 PM
#2
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 09:15 PM
#3
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 09:28 PM
#4
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 09:37 PM
ไม่คาดหวังได้พบอะไรใหม่
เป็นใจเพียงไม่อยากได้ต่อสิ่งใด
ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ
#5
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 09:53 PM
แต่ถ้าคิดถึงเพื่อนๆ ชาว DMC ก็ขอให้ได้กลับมาร่วมกระทู้กันอีกนะครับน้องจอยซ่าส์
จากกันหมื่นลี้ก็มิอาจกั้นมิตรภาพของใจได้ครับ โชคดีครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#6
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 09:57 PM
#7
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 01:49 AM
หากสายใยอินเตอร์เน็ตเรายังไม่ขาดจากกัน น้องยังต้องกลับมา DMC.TVนะคะ
#8
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 02:40 AM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
![](http://i60.photobucket.com/albums/h38/mooatoontaonoy/cartoon%20one/streamdharma.gif)
#9
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 02:50 AM
#10
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 10:50 AM
ได้นะ เราเป็น ........... พี่น้องวงศ์บุญเดียวกัน ......................
รักเธอเสมอ คนดี
#11
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 11:50 AM
รักษาใจให้ใสเร็วๆนะ
#12
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 12:25 PM
#13
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 01:43 PM
เรื่องเครียดในบอร์ด แค่ขี้ปะติ๋วครับ ชิวชิว
ถ้าทนปฏิฆะเล็กน้อยไม่ได้ ในการใช้ชีวิตประจำวัน ต้องระมัดระวังตัวในการดำเนินชีวิตให้มากอย่างยิ่งเลยนะครับ
เพราะในชีวิตคุณ คุณจะหนีไปแบบในบอร์ดไม่ได้ครับ
#14
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 02:33 PM
เหมือนพี่สิริปโภว่านั้นละ หนีบอร์ดหนีได้นะ
แต่ถ้าพี่เจอเรื่องพันนี้ในโลกแห่งคาวมจริง พี่หนีไม่ได้นะ
อยู๋ๆไปเถอะ อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้อีกหลายๆคนถึงต้นจะไม่ใหญ่โตมาก แต่ก้ให้ร่มเงาให้คนอื่นได้ก็ยังดี เป็นประโยชน์แก่เหล่านกหลายๆชนิด ได้จิกผลกิน อยู่ให้ความรู้เป็นธรรมทานนะครับ ไม่ต้องไปหรอก คัยจะว่าอย่างไร ก็ไม่เห็นเป็นไร เสียงนกร้องพี่เคยทุกข์กะมันปะ คิดว่าเป็นเสียงนกร้อง จะได้ไม่ทุกข์ นกมันมาหากินผลไม้ที่ต้นไม้ ยังไงมันก็ต้องอ้าปากส่งเสียงร้องตามวิสัยอยู่แล้วแหละ น่า จะให้นกหุบปากนะ รอน้ำท่วมหลังเป็ดก่อน อย่าคิดมากไปเรยนะครับ สู้ๆ 30ลิขิตฟ้า 69ต้องฝ่าฟัน อีก1เปอร์เซนต์นั้น ปล่อยวางมันสะก็ได้ กลับมาเถิด
-----------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#15
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 02:56 PM
เอ มันแป่งๆ นะน้องบูม ไม่ใช่ 30 ลิขิตฟ้า 60 ต้องฟ่าฟันเหรอ
99 ต้องฝากฝัง หรือฝากเผาแล้วหละครับ 555
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#16
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 02:58 PM
#17
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 05:43 PM
99 ต้องฝากฝัง หรือฝากเผาแล้วหละครับ 555
เอ ไม่ใช่ 70 ต้องฝ่าฟันหรือคะ 30 + 60 ได้แค่ 90 เองนะคะ
#18
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 05:48 PM
ขอส่งกำลังใจให้นักสร้างบารมีทุกท่านครับ
#19
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 07:51 PM
ไม่พอใจอะไรใครในบอร์ดล่ะคะ
เพราะถ้าไม่ได้ขัดใจแรงละก็ ไม่มีใครเขามาประกาศหรอกค่ะว่าจะไม่มาอีก
ทำตัวเป็นแผ่นดินค่ะ
เราเทขยะลงดิน มันลุกขึ้นมาด่าไหมคะ
หรือมันบอกว่า เราไม่เป็นแผ่นดินให้เจ้าแล้วนะ เจ้าไปลอยในอากาศเถิด
ก็ไม่เคยจะมีเหตุแบบนั้นขึ้น
การทำอะไรเมื่อใจกำลังขุ่น ไม่ควรนะคะ พระพุทธองค์ตำหนินะคะ
ให้กาลเวลาลบเลือนอารมณ์ที่ถูกมารแทรกก่อนเถอะค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#20
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 07:54 PM
สำหรับกระทู้นี้ คนที่คิดจะโพส กรุณาคิดให้รอบคอบนิดนึงก่อนโพสนะครับ ครูไม่ใหญ่ออกเคสมาก็เยอะแล้ว ประเภทที่ทำให้คนอื่นหลุดออกจากหมู่คณะโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้เจตนา ยังไงขอให้ระลึกไว้เสมอนะครับ วิบากกรรมไม่เคยละเว้น ระวังจะมีวิบากกรรมที่อาจจะโดนคนอื่นทำให้ตัวเรารู้สึกน้อยใจหลุดออกไปจากหมู่คณะแบบที่คนทำเค้าก็ไม่ได้ตั้งใจทำเหมือนกันนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#21
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 08:15 PM
น่าเสียดายจังหากจะเสียผู้เพื่อนร่วมบอร์ดที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพไป
#22
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 08:26 PM
แล้ว 22 เมษายน นี่อย่าลืมมาร่วมบุญด้วยละค่ะ (บุญใหญ่ มักๆๆๆๆ เลยค่ะ)
#23
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 08:37 PM
คุณครูไม่ใหญ่ท่านสอนพวกเราในโรงเรียนอนุบาลบางช่วงบางตอนว่าว่าให้พวกเรา
ให้ทุกคนตั้งตนอยู่ในเมตตา คือ ความรักใคร่ปรารถนาดีต่อกัน
เห็นอกเห็นใจกัน ปราศจากการรังเกียจเดียดฉันท์ และริษยากัน ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า เราต้องการความสุข เกลียดกลัวความทุกข์ฉันใด คนอื่นก็ต้องการความสุข เกลียดกลัวความทุกข์ ครับ...
.....................................................................................
ก่อนไปผมขอฝากหลักธรรมที่ทำให้ตอนอยู่ก็เป็นที่รัก จากไปก็คิดถึงคือหลักสาราณียธรรม ๖ ครับ
สาราณียธรรมมีอยู่ ๖ ประการคือ
๑. การเข้าไปตั้งเมตตากายกรรมต่อกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง นั่นคือทรงสอนให้มีน้ำใจช่วย
เหลือกันทางกายทั้งต่อหน้าและลับหลัง การช่วยเหลือกันต่อหน้านั้น ทุกคนทราบดีและเคยทำ แต่การช่วย
เหลือลับหลังนั้นทำอย่างไรเป็นต้นว่า เราเห็นเสื้อผ้าของคนอื่นเขาตากไว้กลางแจ้ง แต่ฝนเกิดตกในขณะ
ที่เจ้าของไม่อยู่ เราก็สงเคราะห์ช่วยเก็บให้พ้นจากเปียกฝน โดยไม่คำนึงว่าเจ้าของเสื้อผ้านั้นเป็นคนที่เรา
รักหรือไม่รัก เมื่อเจ้าของกลับมาทราบการกระทำของเรา หากเป็นคนที่ชอบพอกัน ก็แน่ละ เขาต้องขอบ
อกขอบใจ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบหน้ากัน เขาอาจจะไม่เอ่ยปากขอบใจเรา แต่แน่นอนที่ใจของเขาจะต้อง
นึกถึงการกระทำของเรา นี่ก็เป็นการค่อย ๆ ปลูกความรักลงในใจของผู้อื่นแล้วมิใช่หรือ
๒. การเข้าไปตั้งเมตตาวจีกรรมต่อกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง การพูดถึงผู้อื่นในด้านดีทั้งต่อ
หน้าและลับหลังนั่นแหละชื่อว่าได้แสดงความรักใคร่กันด้วยวาจา
๓. การเข้าไปตั้งเมตตามโนกรรมต่อกัน ข้อนี้หมายถึงให้นึกถึงผู้อื่นในด้านดี คิดช่วยเหลือผู้อื่น
สงเคราะห์ผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นการแสดงความรักใคร่กันทางใจ
๔. แบ่งปันลาภที่ได้มาโดยชอบธรรมแก่ผู้อยู่ร่วมกัน
๕. เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๖. มีทิฏฐิ คือความเห็นเสมอกัน
จากสาราณียธรรม ๖ ประการนี้ สามประการแรก พระพุทธองค์ทรงสอนให้เมตตากันทั้งทางกาย
วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ใช่ว่าต่อหน้าก็ทำเป็นเมตตารักใคร่ แต่ลับหลังก็นินทาว่าร้ายหรือยุยงส่อ
เสียด ให้เกิดความโกรธ ความเกลียด ความแตกแยก หรือความคิดอยากให้เขามีอันเป็นไปในทางร้าย
ถ้าเราเมตตากันเฉพาะต่อหน้า แต่ลับหลังขาดเมตตาแล้ว เราก็ยังอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกโดยแท้จริงไม่ได้
นอกจากพระพุทธองค์จะทรงสอนให้เรามีเมตตาต่อกันทั้งทางกาย วาจา ใจ และทั้งต่อหน้าและลับ
หลังแล้ว ก็ยังทรงสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันด้วย ได้สิ่งใดมาก็แบ่งปันกัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวกันใช้แต่ลำพัง
เพราะการให้เป็นการผูกมิตรไว้ได้ประการหนึ่ง
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้อื่น และคนหมู่มากย่อมคบหาสมาคมด้วย ยิ่งให้ของดี
ของที่เราชอบใจ ของที่เลิศ นอกจากผู้รับจะชื่นชมแล้ว ผู้ให้ก็จะได้รับแต่ของดี ของชอบใจ ของเลิศ เป็นการ
ตอบแทนในอนาคตด้วย ยิ่งให้บ่อยๆ บุญของผู้ให้ย่อมมากขึ้น เจริญขึ้นเกิดชาติใดก็ไม่ขัดสนยากจนทั้งทรัพย์
สมบัติและคนรักใคร่เอ็นดู
สาราณียธรรมข้อที่ ๕ ทรงสอนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์เพราะการเป็นผู้มีศีล ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่
ทำให้อยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนอย่างพวกเรา ไม่จำเป็นต้องมีศีลมากมายเหมือนพระ
ภิกษุ เพียงมีศีลกันคนละ ๕ ข้อเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก
สาราณียธรรมข้อสุดท้าย คือ เป็นผู้มีทิฏฐิความเห็นเสมอกัน
ทิฏฐิความเห็นในที่นี้ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ คือเห็นว่าบุญบาปมีจริงเป็นต้น คนเรา
ถ้ามีความเห็นไม่ตรงกัน คนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่อีกคนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิจะอยู่ร่วมกันเป็นสุขได้อย่างไร
มีแต่จะถกเถียงทะเลาะวิวาทกัน เพราะความเห็นที่ขัดแย้งกันเท่านั้น ถึงอย่างนั้นหากทั้งสองฝ่ายมีเมตตา
อภัยให้กันแล้ว ก็ยังพอจะอยู่ร่วมกันได้ แม้จะไม่เป็นสุขนักก็ตาม
สาราณียธรรม ๖ ข้อดังกล่าวนี้แหละ ที่จะเป็นเหตุให้ระลึกถึงกันด้วยความรักความเอ็นดู และอยู่
ร่วมกันอย่างเป็นสุข ไม่ทะเลาะวิวาทกัน
ในการเจริญสมณธรรมในป่า พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้ภิกษุที่ถูกเทวดาและอมนุษย์รบกวนเจริญ
เมตตา ดังมีกล่าวไว้ใน เมตตสูตร ขุ. ขุททกปาฐะ ข้อ ๑๐ ว่า
กรณียมตฺถกุสเลน
ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ
สกฺโก อุชู จ สุหุชู จ
สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี
สนฺตุสฺสโก จ สุภโร จ
อปฺปกิจฺโจ จ สลฺลหุกวุตฺติ
สนฺตินฺทฺริโย จ นิปโก จ
อปฺปคพฺโภ กุเลสุ อนนุคิทฺโธ
น จ ขุทฺทํ สมาจเร กิญฺจิ
เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุํ
สุขิโน วา เขมิโน โหนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา
เย เกจิ ปาณภูตตฺถิ
ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา
ทีฆา วา เย มหนฺตา วา
มชฺฌิมา รสฺสกา อณุกถูลา
ทิฏฺฐา วา เย จ อทิฏฺฐา
เย จ ทุเร วสนฺติ อวิทูเร
ภูตา วา สมฺภเวสี วา
สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา
น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ
นาติมญฺเญถ กตถจิ นํ กิญฺจิ
พฺยาโรสนา ปฏีฆสญฺญา
นาญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยฺย
มาตา ยถา นิยํ ปุตฺตํ
อายุสา เอกปุตฺตมนุรกฺเข
มานสมฺภาวเย อปริมาณํ
เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ
มานสมฺภาวเย อปริมาณํ
อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ
อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตํ
ติฏฺฐนฺจรํ นิสินฺโน วา
สยาโน วา ยาว ตสฺส วิคตมิทฺโธ
เอตํ สตึ อธิฏฺเฐยฺย
พฺรหฺมเมตํ วิหารํ อิธมาหุ
ทิฏฺฐิญฺจ อนุปคมฺม
สีลวา ทสฺสเนน สมฺปนฺโน
กาเมสุ วิเนยฺย เคธํ
น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุนเรตีติ.
แปลว่า
กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ ปรารถนาเพื่อจะตรัสรู้ สันติบท พึงบำเพ็ญไตรสิกขา กุลบุตรนั้น
พึงเป็นผู้อาจหาญ เป็นผู้ตรง ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย มีความ
ประพฤติเบา มีอินทรีย์อันสงบแล้ว มีปัญญาเครื่องรักษาตน ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย และ
ไม่พึงประพฤติทุจริตเล็กน้อยอะไรๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านผู้รู้เหล่าอื่นติเตียนได้ พึงเจริญเมตตาในสัตว์ทั้ง
หลายว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
มีอยู่ เป็นผู้สะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคง ไม่มีส่วนเหลือ
สัตว์เหล่าใด มีกายยาวหรือใหญ่ ปานกลางหรือสั้น ผอมหรือพี ที่เราเห็นแล้วหรือไม่ได้เห็น
อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ที่เกิดแล้วหรือแสวงหาที่เกิด ขอสัตว์ทั้งหมดนั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด
สัตว์อื่นไม่พึงข่มขู่สัตว์อื่น ไม่พึงดูหมิ่นอะไรเขา ในที่ไหนๆ ไม่พึงปรารถนาทุกข์ให้แก่กันและกัน
เพราะความโกรธ เพราะความเคียดแค้น มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน แม้ด้วยการยอมสละ
ชีวิตได้ฉันใด กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ พึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณในสัตว์ทั้งปวง แม้ฉันนั้น
กุลบุตรนั้นถึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง
ไม่คับแคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู กุลบุตรผู้เจริญเมตตานั้น ยืนอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี พึงเป็น
ผู้ปราศจากความง่วงเหงาเพียงใด ก็พึงตั้งสตินี้ไว้เพียงนั้น บัณฑิตทั้งหลาย กล่าววิหารธรรมนี้ ว่าเป็นพรหม
วิหารในธรรมวินัยของพระอริยเจ้านี้ และกุลบุตรผู้เจริญเมตตา ไม่เข้าไปอาศัยทิฏฐิ เป็นผู้มีศีล ถึงพร้อม
แล้วด้วยทัสสนะ นำความยินดีในกามทั้งหลายออกได้แล้ว ย่อมไม่ถึงความนอนในครรภ์อีกโดยแท้แล
ครั้นเมื่อภิกษุเจริญเมตตาดังกล่าวนี้แล้ว เทวดาและมนุษย์ก็เกิดความเอ็นดู ไม่รบกวนภิกษุนั้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ อย่าง ดังนี้ คือ
๑. หลับก็เป็นสุข ๒. ตื่นก็เป็นสุข ๓. มีหน้าตาผ่องใสเบิกบาน ๔. ไม่ฝันร้าย ๕. เป็น
ที่รักของมนุษย์ ๖. เป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ ๗. เทวดารักษา ๘. ไม่เป็นอันตรายด้วยยาพิษ
หรือศาสตรา ๙. จิตเป็นสมาธิ ๑๐. เมื่อจะตายมีสติไม่หลงตาย ๑๑. หากไม่บรรลุมรรคผลในชาตินี้
ก็จะได้ไปเกิดในพรหมโลก ( ข้อนี้หมายเฉพาะผู้ที่เจริญเมตตาจนได้ญาณ )
ผู้ที่เจริญเมตตาย่อมได้รับอานิสงส์ดังกล่าวนี้ ควรหรือไม่ที่เราจะมีเมตตาต่อกัน ปรารถนาดี
ต่อกัน และอภัยให้กัน เพราะนอกจากตัวเราจะเป็นสุขแล้ว ผู้อื่นก็ยังเป็นสุขด้วย แต่ผู้ที่จะเจริญเมตตา
ให้ได้ผลนั้น ต้องอาศัยขันติธรรม คือ ความอดทน อดกลั้น ไม่โกรธตอบ ควบคู่กันไปด้วย ดังเรื่องของ
นางอุตตรา ที่จะยกมาเล่าดังต่อไปนี้
นางอุตตรา เป็นธิดาของนายปุณณะ ซึ่งเป็นคนยากจน อาศัยอยู่ในเรือนของสุมนเศรษฐี
วันหนึ่งเมื่อนายปุณณะไปไถนา ภรรยาเอาอาหารไปส่ง ได้พบท่านพระสารีบุตรระหว่างทาง จึงเอาอาหาร
ที่เป็นส่วนของนายปุณณะถวายท่านพระสารีบุตรเสียก่อนด้วยความเลื่อมใส แล้วจึงกลับไปทำอาหารมาให้
ใหม่ นายปุณณะทราบแทนที่จะโกรธ กลับชื่นชมอนุโมทนา พร้อมกับเล่าว่า ตนก็ได้ถวายไม้สีฟันและน้ำ
ล้างหน้าแก่ท่านพระสารีบุตรผู้ออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่ๆ ด้วย ครั้นบริโภคอาหารแล้ว นอนหลับไป
ด้วยความเมื่อยล้าจากการไถนา พอตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นก้อนดินที่ตนไถไว้กลายเป็นทองไปหมด จึงไปกราบ
ทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาทรงให้ขนทองมาไว้ที่พระลานหลวง แล้วทรงมอบให้นายปุณณะทั้งหมด
พร้อมกับพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้แก่นายปุณณะ ผลของบุญได้เกิดแก่นายปุณณะในวันนั้นเอง
เมื่อเป็นเศรษฐีแล้วได้ถวายทานแก่พระสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน ในวันที่
๗ พระพุทธองค์ทรงกระทำอนุโมทนา นายปุณณะ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมทั้งภรรยาและนาง
อุตตราธิดา
ต่อมาสุมนเศรษฐี ขอนางอุตตราให้แก่บุตรชายของตน ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปุณณเศรษฐีจึงไม่
ยอมยกธิดาให้ สุมนเศรษฐียกเอาความคุ้นเคยที่มีมาแต่ก่อนขึ้นมาอ้าง ถึงอย่างนั้นปุณณะเศรษฐีก็ไม่ยอม
ยกธิดาให้ ต่อเมื่อสุมนเศรษฐีรับว่าจะจัดหาดอกไม้มีค่าวันละ ๒ กหาปณะมาให้นางอุตตราบูชาพระพุทธเจ้า
ปุณณะเศรษฐีจึงตกลงยกให้
เมื่อนางอุตตรามาอยู่บ้านสามีแล้ว ได้ขออนุญาตสามีรักษาอุโบสถศีล เดือนละ ๘ วัน ตามที่
เคยกระทำเมื่ออยู่บ้านบิดา แต่สามีไม่อนุญาต นางคอยจนถึงวันเข้าพรรษาจึงขออนุญาตอีก สามีก็ไม่ยิน
ยอม ครั้นอีกครึ่งเดือนจะออกพรรษา นางจึงส่งข่าวไปเล่าเรื่องให้บิดามารดาทราบ พร้อมกับขอเงิน
๑๕,๐๐๐ กหาปณะ เมื่อได้รับเงินแล้ว นางอุตตราก็จ้างนางสิริมา หญิงโสเภณีในนครนั้น ให้มาทำหน้าที่
ภรรยาแทนตน ตลอดเวลาครึ่งเดือน ที่นางจะรักษาอุโบสถ ด้วยค่าจ้าง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ ซึ่งสามีก็ยินดี
ว่าจะได้เสพสุขกับนางสิริมา จึงยินยอมให้ภรรยารักษาอุโบสถได้ตามปรารถนา
ตั้งแต่นั้นมา นางอุตตราก็ตระเตรียมอาหารด้วยมือของตนแต่เช้าตรู่ทุกวัน ถวายพระบรมศาสดา
และภิกษุสงฆ์ อธิษฐานอุโบสถศีล แล้วขึ้นไปอยู่บนปราสาท ระลึกถึงศีลของตนอยู่ นางทำดังนี้ จนครบครึ่ง
เดือน ในวันที่จะสละอุโบสถ ได้จัดแจงข้าวปลาอาหารเป็นอันมาก เตรียมจะถวายพระศาสดาอยู่ในครัวกับ
พวกทาสีแต่เช้าตรู่ สามีอยู่บนปราสาทกับนางสิริมา มองลงมาแล้วก็ยิ้มด้วยคิดว่า หญิงนี้ละทิ้งสมบัติมาก
มาย มาทำครัวจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อน มอมแมมไปด้วยเขม่าไฟ นางอุตตราเห็นแล้วทราบความคิดของ
สามี จึงคิดว่า สามีเรานี้โง่แท้ๆ สำคัญว่าสมบัติมากมายของตนจะมั่นคงถาวรทุกเวลา แล้วก็ยิ้มบ้าง นาง
สิริมาเห็นแล้วโกรธว่า ดูสิ ทั้งที่เราก็ยืนอยู่ที่นี่ นางทาสีนี้ก็ยังยิ้มแย้มกับสามีเรา ได้รีบลงจากปราสาทมา
โดยเร็ว
ตอนนี้นางสิริมา ลืมตัวว่า ตนรับจ้างนางอุตตราปรนนิบัติสามีของนางอุตตรา คิดว่าตนเป็นภรรยา
นางอุตตราเป็นทาสีมายิ้มกับสามีของตนจึงโกรธ นางอุตตราเห็นอาการของนางสิริมาแล้ว รู้ว่านางโกรธ จึง
เข้าเมตตาฌาน แผ่เมตตาไปในนางสิริมา นางสิริมาลงมาแล้วก็เอากระบวยตักน้ำมันร้อน ๆ ในกระทะทอด
ขนม ราดลงบนศีรษะของนางอุตตรา แต่ด้วยอำนาจเมตตาฌาน น้ำมันเดือด ๆ นั้นก็ไหลกลับไปเหมือนน้ำ
ที่ราดลงบนในบัวฉะนั้น
พวกทาสีของนางอุตตราเห็นเช่นนั้น ก็บริภาษนางสิริมาว่า รับค่าจ้างจากนายของพวกเราแล้ว
ยังมาทำร้ายนายของพวกเราอีก นางสิริมาฟังแล้วก็ได้สำนึกว่า ตนเป็นเพียงภรรยาที่เขาจ้างมาเท่านั้น
จึงหมอบลงแทบเท้านางอุตตราขอโทษ นางอุตตราบอกให้ไปขอโทษพระพุทธองค์ ถ้าพระพุทธองค์ทรง
ยกโทษให้ ตนก็จะยกโทษให้ ดังนั้นเมื่อพระศาสดาเสด็จมาเสวยที่เรือนของนางอุตตรา นางสิริมาจึงเข้า
ไปหมอบแทบพระบาทกราบทูลถึงความผิดของตน พร้อมกับทูลขอให้พระศาสดาทรงยกโทษให้
พระศาสดาก็ทรงยกโทษให้ นางสิริมาจึงไปขอให้นางอุตตรายกโทษให้ ซึ่งนางอุตตราก็ยกโทษให้
ในวันนั้น เมื่อพระศาสดา ทรงอนุโมทนาภัตทานของนางอุตตราได้ตรัสพระคาถาว่า พึงชนะ
คนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ พึง
ชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง พอจบคาถา นางสิริมา ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน เป็น
อันว่า การเจริญเมตตาของนางอุตตรา นอกจากจะทำให้นางอุตตราไม่เป็นอันตรายจากน้ำมันเดือดๆ
แล้ว ยังเป็นปัจจัยให้นางสิริมาสำนึกถึงความผิดของตน ได้ฟังพระธรรมเทศนาบรรลุเป็นพระโสดาบันด้วย
เมตตา จึงมีอานิสงส์มาก อย่างนี้
ในการแสดงเมตตานี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ผู้เจริญเมตตาได้รับอานิสงส์ทั้ง ๓ ประการ คือ
อานิสงส์ที่พึงได้รับในปัจจุบัน ๑ อานิสงส์ที่จะพึงได้รับในอนาคต ๑ และอานิสงส์อันเป็นปรมัตถประโยชน์
คือ การบรรลุมรรค ผล นิพพาน อีก ๑
นั่นคือมิให้หยุดอยู่เพียงได้เมตตาฌานเท่านั้น แต่ยังทรงสอนให้ใช้ฌานนั้นเป็นบาท ก้าวขึ้นสู่
วิปัสสนา จนผ่านวิปัสสนาญาณไปตามลำดับ บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ ผู้ที่บรรลุเป็น
พระอรหันต์แล้วเท่านั้น ที่เป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ คือปรินิพพานแล้วไม่เกิดอีก อันเป็นจุดหมายสูงสุดใน
พระศาสนานี้ ไม่มีในศาสนาอื่น
นี่คือ พระมหากรุณาธิคุณที่พระพุทธองค์ทรงมีแก่สรรพสัตว์โดยแท้
และนี่แหละ คือ อานิสงส์ที่แท้จริงของการอยู่ด้วยกัน ด้วยความรัก คือเมตตา
อยู่ด้วยความรัก
ประณีต ก้องสมุทร
ขอขอบคุณ
คุณนวชนก โพธิ์เจริญ
[ ผู้คัดลอก และตรวจทาน ]
จัดทำเมื่อ 29 เมษายน พ.ศ. 2545
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#24
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 12:44 AM
ทุกคนเป็นคนดี เพียงแต่ว่าเราจะมองกันให้เห็นในมุมมองใหนเท่านั้นเอง
คุณ Joysa ยังอุตส่าห์หาบทความดี ๆ กลอนคม ๆ มาฝากเลย ถึงบางทีมันจะเยอะมาก ๆ อาจจะถูกใจคนนึงแต่แปลกใจกับอีกคนหนึ่งเพราะต่างมุมมองกันไป ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมเห็นว่าเจตนาที่อุตส่าห์ขวนขวายมาให้ต่างหาก นั้นคือน้ำใจและการแสดงออกที่ดีต่อกัน
ความคิดเห็นและความรู้สึกที่หลากหลายมันเป็นเสน่ห์อย่างนึงน่ะครับ หากมีคนหนึ่งคนใดเข้าใจผิด กระทบกระทั่งกันบ้างในฐานะสมาชิก และขึ้นชื่อว่ายอดกัลยาณมิตรลูกพระราช ผู้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่สูงส่งแล้ว ก็ต้องช่วยกันประคับประคองกันไปครับ ก็เราทำงานเป็นทีมไม่ใช่เหรอ
อ่ะน่ะ ยิ้มกันดีฝ่าครับ ขนาดโรนัลดินโย่ หลาย ๆ ครั้งในเกมส์ฟุตบอลที่กดดัน เขายังยิ้มโชว์ฟันเหยิน ๆ เลยครับ น่ารักอีกตะหาก
#25
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 01:05 AM
เหมือนพี่สิริปโภว่านั้นละ หนีบอร์ดหนีได้นะ
แต่ถ้าพี่เจอเรื่องพันนี้ในโลกแห่งคาวมจริง พี่หนีไม่ได้นะ
อยู๋ๆไปเถอะ อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้อีกหลายๆคนถึงต้นจะไม่ใหญ่โตมาก แต่ก้ให้ร่มเงาให้คนอื่นได้ก็ยังดี เป็นประโยชน์แก่เหล่านกหลายๆชนิด ได้จิกผลกิน อยู่ให้ความรู้เป็นธรรมทานนะครับ ไม่ต้องไปหรอก คัยจะว่าอย่างไร ก็ไม่เห็นเป็นไร เสียงนกร้องพี่เคยทุกข์กะมันปะ คิดว่าเป็นเสียงนกร้อง จะได้ไม่ทุกข์ นกมันมาหากินผลไม้ที่ต้นไม้ ยังไงมันก็ต้องอ้าปากส่งเสียงร้องตามวิสัยอยู่แล้วแหละ น่า จะให้นกหุบปากนะ รอน้ำท่วมหลังเป็ดก่อน อย่าคิดมากไปเรยนะครับ สู้ๆ 30ลิขิตฟ้า 99ต้องฝ่าฟัน อีก1เปอร์เซนต์นั้น ปล่อยวางมันสะก็ได้ กลับมาเถิด
พี่รู้สึกปลึ้มประทับใจ ในคำของคุณธรรมจักร หรือน้องบุมมากเลยค่ะ ช่างลึกซึ้งกินใจดีจัง
และเล่นพลิกเพลง ตรงคำว่า 30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฟัน มาเป็น
30 ลิขิตฟ้า 99ต้องฝ่าฟัน อีก 1 เปอร์เซ็นต์นั้น ปล่อยวาง
น้องจอยคะ ปล่อยวางเถิด ให้อภัยตนเอง และให้อภัยผู้อื่นนะคะ
คนเราเกิดมาต้องฝึกปล่อยวางข้อนี้จริงๆ นะ เราหนีไม่พ้นเลย
พี่ขอให้กำลังใจน้องจอยนะ อยู่เป็นต้นไม้เหมือนอย่างที่น้องบูมบอกเถิดค่ะ
ส่วนคุณ XLmen นี่ งานนี้ก็มั่วเพลงได้เรื่อยๆ นะคะท่าน
โดนคุณแจ่มจับผิดเอาได้ 30+70 ถึงครบ "โร๊ย-ปอ-เซ็ง" ค่ะ อิอิ
#26
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 02:53 AM
ดูDก็อย่ามีเว้นวรรคด้วยนะ ( DMC )
#27
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 01:23 PM
กันได้อย่างมีความสุขนะค่ะ หมากรุกถ้าจะเดินยังต้องคิด หมากชีวิตถ้าไม่คิดจะเดินได้อย่างไร
ใช่ไหมค่ะ
วันใหม่กับชีวิตใหม่วันนี้ ที่ดีกว่า
ถ้าเป็นเทียนจะยอมหลอมเหลวหลั่ง
เปรียบเป็นทั่งจะยอมม้วยด้วยของแข็ง
ขอเป็นเพียงกำลังใจให้อีกแรง
ยอมให้แทงทิ่มตำจนหนำใจ
เพียงเห็นโลกสดสวยด้วยความหวัง
ประดุจดังเทียนส่องทางสว่างไสว
โดนแผดเผาหวังเป็นแสงจุดประกาย
เห็นเส้นชัยด้วยแสงแห่งปัญญา
ถึงหนทางขวางกั้นกันด้วยขวาก
จะลำบากตรากตรำไปใช่ปัญหา
มีสติสมาธิและปัญญา
ใครจะด่ามาบ้างก็ช่าง(เถอะนะ)
" สู้ต่อไป "
คนทุกคนเกิดมาผิดพลาดได้ จงสั่งใจให้สู้ต่ออย่าสิ้นหวัง
อย่าท้อแท้สั่งให้ใจเกิดพลัง สู้ไม่หวั่นเดินก้าวไปจนสุดทาง
แม้วันนี้อาจท้อแท้อย่าร้องไห้ แต่ยังไงขอให้ใจยังเข้มแข็ง
เกิดพลังแห่งรักจนเกิดแรง เหมือนดั่งแสงสอดส่องให้สู้ไป
เป็นกำลังใจให้เสมอนะค่ะพี่จอย และพี่น้องบอร์ดนี้จะรอพี่กลับมานะค่ะ
#28
โพสต์เมื่อ 22 April 2006 - 10:09 AM
ไก่ กระต่าย เป็ด และหมู เป็นเพื่อนกัน ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานทั้งสี่เริ่มที่จะสนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไก่...ขยัน อดทน ตื่นแต่เช้า หาอาหารมาให้ทั้งตัวเองและเพื่อน
กระต่าย...น่ารัก สุภาพ พูดจาอ่อนหวาน เป็นที่รักและเอ็นดูของทุก ๆ ตัว
เป็ด...โผงผาง ใจร้อน เสียงดัง พูดจาตรง ๆ
หมู...ขี้เกียจ พูดจากระโชกโฮกฮาก ไม่สะอาดแต่รักเพื่อนเป็นที่หนึ่ง สามารถทำอะไรเพื่อเพื่อนได้เสมอ
ด้วยการเดินทางที่ต้องผ่านปัญหาและอุปสรรคมากมาย ทั้งสี่จึงสนิทและรักกันมาก ทุกตัวล้วนมี ความสำคัญให้แต่ละตัวซึ่งกันและกัน
วันหนึ่งทั้งสี่ตัวต้องเดินทางผ่านโคลนสกปรก เหม็น และมีแต่เชื้อโรคทั้งสี่ตัว ไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นที่จะต้องเดินผ่านบ่อโคลนนี้ หากจะเดินกันไปทีละตัว แต่ละตัวต้องสกปรก และป่วยด้วยเชื้อโรคนั้นแน่นอน
หมูจึงรับอาสาที่จะให้เพื่อนขี่หลังเพื่อเดินข้ามไป
กระต่ายจึงพูดขึ้นว่า "ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะหมูตัวโตและแข็งแรง"
หมูได้ยินเช่นนั้นจึงดีใจและภูมิใจ
เป็ดเลยพูดขึ้นว่า "และหมูก็ชอบเล่นโคลนสกปรกอยู่แล้วนี่หว่า ก๊ากกกก"
หมูเองได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะต่อกัน
กระต่ายเลยพูดขึ้นว่า "ไปว่าหมูอย่างนั้นได้ยังไง เดี๋ยวหมูก็เสียใจหรอก"
หมู : "ไม่เป็นไรหรอก ฉันรับได้ เพราะถึงยังไงเราก็เพื่อนสนิทกัน พูดมาแบบนี้ ฉันไม่ถือหรอก"
เป็ด : "ใช่แล้ว เราสนิทและรักกันมาก และรู้ใจกัน เรื่องแค่นี้พูดกันเล่นๆ แค่นั้นเอง"
ไก่ : "งั้นเราเดินทางกันต่อเถอะ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน"
ทั้งสามจึงขึ้นหลังหมูแล้วเดินไป ในระหว่างที่อยู่ในโคลน เป็ด มองไปเห็นไส้เดือน จึงใช้ปากคุ้ยโคลนเพื่อที่จะกินไส้เดือน ในระหว่างที่คุ้ยโคลน โคลนเกิดกระเด็นไปโดนกระต่าย กระต่ายเลยสกปรกไปด้วย
กระต่าย : "เป็ด ระวังหน่อยสิ โคลนมันกระเด็นมาโดนฉันนะ"
เป็ด : "อะไรกัน แค่นี้เอง เดี๋ยวผ่านบ่อโคลนไปค่อยทำความสะอาดก็ได้นี่"
กระต่าย : "แต่มันไม่เหมือนเดิม เพราะขนขาว ๆ ของฉันมันก็คงเป็นรอยเปื้อนอยู่ดี"
ไก่ : "เอาน่า หยุดได้แล้ว นิดเดียวเองนะกระต่าย เป็ดเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ดูหมูซิ เค้าเปื้อนทั้งตัว แถมต้องแบกเราอีก เค้ายังไม่บ่นซักคำ"
กระต่ายด้วยความเคืองนิด ๆ จึงพูดออกมาโดยไม่ทันคิดว่า "ก็หมูสกปรกนี่ ไม่เหมือนฉัน ฉันต้องสะอาด สกปรกไม่ได้"
หมูเองได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เหตุใดเพื่อนถึงพูดกับเขาเช่นนั้น หมูก็ร้องไห้
ไก่จึงพูดขึ้นว่า "แล้วนี่คือสิ่งที่หมูต้องได้รับเหรอ กับการที่เค้าเป็นหมู มีนิสัยเป็นหมู เค้าต้องได้รับแต่สิ่งสกปรกเท่านั้นเหรอ แล้วการที่เป็ดกินอะไรแล้วต้องคุ้ย แล้วไก่อย่างฉันต้องเขี่ยอย่างนี้ มันเป็นพื้นฐานนิสัยที่ติดตัวเรามาตลอดนะ เราเลือกได้เหรอ"
ไก่ : "ความแตกต่างของแต่ละตัว ไม่เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกัน ต้องเข้าใจและ เปิดใจรับสิ่งที่ไม่สวยงาม และสิ่งที่สวยงามซึ่ง กันและกันสิ ไม่มีใครที่สวยงามได้ตลอดเวลานะ"
เป็ดจึงพูดขึ้นว่า "ฉันก็คิดว่าเราสนิทและรักกันมาก เชื่อใจกันรับรู้ในสิ่งที่แต่ละตัวเป็นแล้ว ฉันไม่ทันนึกว่าเธอรับฉันแบบนี้ไม่ได้ฉันขอโทษนะ"
กระต่ายได้ยินเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า "จริงสินะ เราเป็นเพื่อนกัน แถมเป็นเพื่อนรักกันด้วย ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจนะว่าเราทั้งสี่แตกต่างกัน แต่เรายังสามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาด้วยกันได้ขนาดนี้ แล้วแต่ละตัวเราก็ไม่เหมือนกันเลย"
"ฉันขอโทษนะที่ฉันเป็นอย่างนี้"
หมูกล่าวขึ้นว่า "ไม่เป็นไรหรอกกระต่าย ฉันก็เข้าใจว่าเธอน่ารัก สะอาด และจิตใจ อ่อนไหว เธอก็ไม่เหมือนกับฉัน บางครั้งฉันก็พูดอะไรหรือทำอะไรที่กระโชกโฮกฮากไป บางครั้งเธออาจจะรับไม่ได้ แต่ฉันคิดว่าด้วยความที่เราเป็นเพื่อนรักกัน เธอคงจะรับฉันได้ซักวันหนึ่ง"
กระต่าย : "ฉันเองก็ขอโทษด้วยที่ฉันอ่อนไหวเกินไปแบบนี้ ฉันก็หวังว่าสักวันหนึ่ง เราแต่ละตัวที่แตกต่างกันคงเข้ากันได้และยอมรับในสิ่งที่แตกต่างกันของแต่ละตัวได้"
ไก่จึงพูดขึ้นบ้างว่า "เอาล่ะ แต่ละตัวก็เข้าใจกันแล้วนะ ด้วยความแตกต่างของแต่ละตัว และด้วยความที่เรารักและสนิทกันและก็รู้จักกันมานาน บางครั้งจึงทำอะไรโดยไม่ทันคิด แต่ทำให้อีกคนรู้สึกไม่ดี ฉันคิดว่าคงไม่ได้ตั้งใจและเผลอทำอะไรไปก็เท่านั้น"
เป็ด : "เราเข้าใจกันดีแล้วนะ งั้นเราเป็นเพื่อนที่รักและสนิทกันมากขึ้นนะ เพราะเราก็รับในสิ่งที่แตกต่างของแต่ละตัวได้แล้ว"
หมู : "ใช่แล้ว งั้นเราทั้งสี่ มาร่วมกันและตั้งใจที่จะเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันและเดินเคียงข้างกันอย่างนี้ตลอดไปนะ"
หมู เป็ด ไก่ กระต่าย : "ไชโย เราเป็นเพื่อนรักกัน" แล้วทั้งสี่ก็เดินไปด้วยกัน อยู่เคียงข้างกันไปตลอดเส้นทางเดินแห่งนั้น......
จากนิทานเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า ด้วยความแตกต่างของแต่ละตัว อาจจะทำให้เกิด ความไม่เข้าใจและไม่พอใจในอีกฝ่าย และบางครั้งด้วยความที่ทั้งสี่สนิทกันมาก การกระทำบางอย่างที่แสดงออกไปจึงไม่ทันคิดว่า อาจจะไปทำร้ายความรู้สึก หรือทำให้ใครอีกคนไม่เข้าใจ แต่ด้วยความที่
ทั้งสี่คือเพื่อนรัก เพื่อนสนิท เพื่อนที่รู้จักรู้ใจกันมานาน จึงทำให้ทั้งที่กลับมาเป็นเพื่อนรักและเพื่อนสนิทกันได้ อย่างเดิม
คำว่าเพื่อนรักของคุณ คุณให้ความหมายและความสำคัญของคนที่คุณ ให้เค้าเป็นเพื่อนได้แค่ไหน คำตอบอยู่ที่ตัวคุณเอง บางครั้ง คุณอาจจะได้รับในสิ่งที่คุณ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเพื่อนสนิทจะทำอย่างนี้กับคุณ แต่หากมองย้อนกลับไป คุณเองก็อาจจะทำอะไรที่ไม่คาดคิดกับเพื่อนของคุณได้เช่นกันกลับมามองอีกทีว่า คุณให้ความหมายกับเพื่อนของคุณมากแค่ไหน
เพื่อนที่มีแต่สิ่งที่ดีให้แก่กันแค่นั้นเหรอ
เพื่อนที่จะยิ้มและสนุกไปด้วยกันแค่นั้นเหรอ
แล้วหากวันหนึ่ง เกิดฝ่ายใดทำอะไรที่ไม่ดีหรือไม่สวยงามขึ้นมาล่ะ
คุณเข้าใจและรับรู้ในสิ่งเหล่านั้นได้มากแค่ไหน
คุณสามารถที่จะให้อภัยในสิ่งที่ผิดพลาด
ทั้งที่อาจจะเกิดจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจได้มากน้อยแค่ไหน...
คำตอบย่อมอยู่ในใจคุณดี....
กลับมามองและเข้าใจเพื่อนของคุณดีแล้วหรือยัง
เข้าใจเพื่อนของคุณมากน้อยแค่ไหน
เมื่อคุณอ่านข้อความข้างต้นจบ....คุณคิดถึงใครล่ะ????
คุณเท่านั้นที่รู้คำตอบ.....
ทำไมครูไม่ใหญ่จึงต้องอธิษฐาน"อย่าได้พลัดกันเลย"ทุกครั้งหลังจบ Case study
#29
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 12:56 AM
เพื่อนที่จะยิ้มและสนุกไปด้วยกันแค่นั้นเหรอ
แล้วหากวันหนึ่ง เกิดฝ่ายใดทำอะไรที่ไม่ดีหรือไม่สวยงามขึ้นมาล่ะ
คุณเข้าใจและรับรู้ในสิ่งเหล่านั้นได้มากแค่ไหน
คุณสามารถที่จะให้อภัยในสิ่งที่ผิดพลาด
ทั้งที่อาจจะเกิดจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจได้มากน้อยแค่ไหน...
คำตอบย่อมอยู่ในใจคุณดี....
กลับมามองและเข้าใจเพื่อนของคุณดีแล้วหรือยัง
เข้าใจเพื่อนของคุณมากน้อยแค่ไหน
เมื่อคุณอ่านข้อความข้างต้นจบ....คุณคิดถึงใครล่ะ????
คุณเท่านั้นที่รู้คำตอบ.....
( อืมมมมม ดีจังบทความนี้ )
#30
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 03:42 PM
พี่เข้าใจว่า ในการที่เราตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น
เราเองเป็นผู้ที่ไตร่ตรองและเห็นถึงเหตุผลและความเหมาะสมแล้ว.. ดีกว่าใคร
พี่เข้ามาในบอร์ดนี้ไม่นานค่ะ ในช่วงธันวาคมปีที่แล้วนี่เองค่ะ
และจอยก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่าง...ที่พี่จะเอาอย่างค่ะ
อ่านบทความของจอยและอีกหลายๆท่านแล้วก็ติดใจค่ะ
อยากบอกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้าน เป็นบ้านที่อบอุ่นมากสำหรับพี่ค่ะ
พี่อยู่อิตาลีค่ะจอย...จากพ่อ แม่ พี่น้อง และทุกคน ไปอยู่คนเดียวค่ะ
เน้น ... คนเดียวค่ะ
คำว่าคนเดียวนั้น พี่หมายถึงว่า ไม่มีใครที่นั่นที่สามารถเข้าใกล้ความรู้สึกของพี่ได้เลย
แต่วันหนึ่ง...ก่อนที่พี่จะถูกดึงกลับเข้าบ่วงแห่งการเป็นทาสอันถาวรของอกุศล
บุญในตัวพี่...หรืออาจเป็นบุญของปูชนียาจารย์
ก็ได้เข้ามาช่วยเตือนพี่และดึงตัวพี่กลับเข้ามาสร้างบารมีในหมู่คณะอีกครั้งค่ะ
นับจากนั้นมา...ในใจพี่มีหลวงพ่อเสมอ
และมีดาวธรรมและเว็บบอร์ดเป็นบ้านค่ะ
แม้จะไปถูกเขาสับโขกมามาก โดนมามาก..เจ็บช้ำเกินทน
แต่พี่มั่นใจค่ะว่า...แม้จะยากลำบากเพียงใด พี่จะฝ่าฟัน พี่จะไม่ท้อ
เพราะพี่มีพระพ่อ...ที่รอพี่อยู่
เว็บบอร์ดนี้ก็เป็น บ้าน ที่พี่จะกลับมาหลังจากเสร็จภาระกิจค่ะ
กลับบ้าน...เพื่อมาพักเหนื่อย
กลับบ้าน...เพื่อมาเติมกำลังใจ
กลับบ้าน...เพื่อมาดูทุกข์สุขของสมาชิก
กลับบ้าน...เพื่อมาช่วยเหลือหรือแบ่งปันสิ่งดีๆแก่สมาชิก
กลับบ้าน...เพื่อมาเก็บกวาดสิ่งสกปรกออกไปด้วยค่ะ
บ้านของเรา...เราก็รัก
ใครมาทำสกปรกเลอะเทอะ...เราก็ต้องช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูนะคะ
แม้พี่จะยังใหม่สำหรับบ้านหลังนี้ แต่พี่ก็รักบ้านหลังนี้เหลือเกิน
ครั้งหนึ่งนั้น พี่เคยอ่านบทความดีๆของจอย
และพี่ก็เกิดกำลังใจมาก พี่ขออนุโมทนาบุญกับจอยด้วยนะคะ
และยังหวังว่า...จะได้อ่านอีกเรื่อยๆ
และคงมีคนอื่นอีกหลายคนที่เป็นเหมือนพี่ค่ะ...ที่รอจอยอยู่