มีบ้างไหม คนที่เข้าวัดมาครั้งแรก โดยไม่สอบถามอะไรซักอย่างเลย
#1
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 01:14 PM
เช่นว่า ทำไมต้องสร้างวัดใหญ่โต ทำไมต้องสร้างเจดีย์ ทำไมต้องเป็นรูปจานบิน ทำไมต้องที่สุดแห่งธรรม ทำไมต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์ ทำไมต้องวิชชาธรรมกายเท่านั้น ทำไมวัดนี้ไม่มีกรวดน้ำ ทำไมต้องมีประติมากรรม นกอินทรีย์ยกหีบสมบัติ ทำไมต้องทำบุญมากๆ ทำไมๆๆๆ ทำไมหลวงพ่อต้องใส่แว่นตา :S
ตัวดิฉันเอง ถือว่าโชคดีที่เข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยไม่ค่อยจะสงสัยอะไรมาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่สงสัยเลย ดีที่มีผู้ที่มีปัญญาช่วยตอบคำถาม ก็เลยถือว่าโชคดีไปที่บุญช่วยนำพาคนดีมาตอบให้ฟัง แต่ก็เคยนึกสงสัยค่ะว่า...แล้วคนที่เขาไม่เจอคนที่มีปัญญาในการตอบแบบที่เราเจอล่ะ ถ้าเขาไปเจอคนแบบที่ทำหน้าที่เหมือนเซลล์ คอยยัดเยียดสินค้าให้ผู้บริโภคหรือบางทีก็รู้ไม่จริง พูดผิดพูดถูก พูดไม่เป็นก็เถียงเอาเลยดีกว่าซะงั้น เขาจะเป็นอย่างไร??
ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะมีจานดาวธรรม แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการตอบคำถามทุกคำถาม มันคงจะเป็นการดี ถ้าเรามีโบรชัวร์ หรืออะไรซักอย่าง ที่เป็นเหมือนกับคู่มือสำหรับคนมาทำบุญครั้งแรก อาจจะต้องแจกกันเป็นเล่มหนาๆ ซักเล่ม (เพราะรายละเอียดค่อนข้างจะเยอะ) จะได้เอาไว้คอยแจกซะเลย ถ้ามีคนถาม ก็ยื่นนี่ให้เขาอ่าน เราก็เป็นโคช คอยดูไปด้วย จะได้ไม่ต้องพูดให้เมื่อย
อืมม อยากให้มีแบบนี้จัง
#2
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 02:02 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 04:38 PM
สิ่งทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าไม่มีเหตุให้เกิด ผลก็จะไม่ตามมาครับ คำถามเหล่านี้ล้วนมาจากเหตุ
เหตุมาจากวัดเราๆ ก็ต้องดับที่เหตุครับ ผลถึงจะดับ เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่เล่าจนตายกันไปข้างหนึ่ง
ก็เล่าไม่จบเพราะเหตุเรายังไม่ได้แก้ไขครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#4
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 04:46 PM
เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#5
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 05:16 PM
หลายปีมาแล้วด้วย
แล้วความสงสัยก็หายไปทีละข้อๆ
ตอนนี้ก็มีบ้าง แต่จะเป็นเรื่องที่ลึกมากขึ้น
คำตอบอยู่ในพระไตรปิฎกหมด
อาจจะเป็นเพราะชอบรูปแบบศาสนสถานด้วยละมังครับ
ใช้ประโยชน์ได้เยอะดี
แต่เคยเอารูปวัดจากมุมสูงไปให้เพื่อนดู
เค้าถามว่า "ที่นี่อยู่เมืองไทยหรอ?"
#6
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 05:59 PM
ของมันอยู่แล้ว ที่วัดตอบชัดเจนเคลียร์ทุกเรื่องอยู่แล้ว บางครั้งก้ต้องรอถึงเวลาแล้วจะมีคำตอบของมันเอง
#7
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 06:11 PM
#8
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 09:10 PM
รู้สึกคุ้นเคยและปลาบปลื้ม ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้เลยค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 09:54 PM
มาในวันนี้ก็ได้ทราบจากเคสว่า ชาติก่อนตัวผมเองก็ได้เป็นคนวัด เลยงงกะตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมเราจำอะไรไม่ได้เลยรึเนี่ย มาสงสัยอะไรกะสิ่งที่คุ้นเคยข้ามชาติ
ก็ต้องขอขอบคุณและขออนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรที่ได้ประคับประคองผมมาจนมีวันนี้
กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์จริง ๆ ครับ
#10
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 12:31 PM
สงสัยว่า เอ! เขาหล่อพระกันยังไงนะ หล่อกันทีละ " สามแสนองค์ "
พอมาวัดก็หายสงสัย
จากนั้นได้ไป สวนพนาวัฒน์ ก็เข้าใจ ในวัด
กอร์ปกับกัลยาณมิตร ได้มีความเข้าใจในวัด เป็นอย่างดี
ต้องขอบคุณกัลยาณมิตร ที่ชวนเข้าวัด ค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 02:21 PM
เล่ากรณีของตัวเองก็แล้วกัน
ตอนที่เข้าวัดครั้งแรก ไม่มีคำถามเลย เพราะตอนนั้นอายุประมาณ 10 ขวบ คุณพ่อลากมา (ลากจริง ๆเพราะตอนนั้นอยากอยู่บ้านอ่านโดเรมอน ...hahaha..)
ปรากฏว่าตอนอยู่ ม ต้น หรือ ม ปลายไม่รู้ ยั้วมากเพื่อน ๆ มาด่าวัดตามกระแส เชอะตูไม่เชื่อหรอก วัดนี้ตูก็ไป ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดีเลย แต่ก็ไม่รู้จะตอบโต้ยังไงเราก็ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ ก็ได้แต่เงียบแล้วก็คิดว่าเออ เวรกรรมของพวกมัน บาปจริง ๆ ไปด่าพระ แต่ตูจะนั่งสมาธิของตูอย่างเนี้ยต่อไป มีที่ไหน จากเรียน ๆ ง่วง ๆ ร่วง ๆ ตก ๆ ขึ้นมาเป็น 3.98 ท็อป ของห้องเลย แค่เพราะนั่งสมาธิเนี่ย แสดงว่าวิธีนี้ต้องมีดีอะไรซักอย่างเดะ หาว่าสอนผิดได้ไง
แต่ก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้นเพราะนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ดิฉันตั้งคำถามว่า นั่งสมาธิมีกี่แบบ แนวอื่น ๆ ต่างกันป่าว วิธีไหนดีสุด วิธีไหนที่เราชอบสุด นั่งไปหมดทุกวิธีหนะแหละ ลองดูให้มันรู้กันไป ก็เลยไปฝึกมาหมดหนะ แนวไหนว่าแน่ก็ลองดูให้รู้กันไป แต่ก็ไม่พบว่าจะมีอะไรเสียหายกับแนวหลวงปู่วัดปากน้ำซะหน่อยจากการทดลองแบบคร่าว ๆ ในวัยเด็ก
ต่อมาหายไปเมืองนอกซะนาน ห่างการไปวัดไปวา กินเหล้าต่างน้ำเป็ปซี่ กลับมาเมืองไทยได้พบเพื่อนที่สนใจพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ชวนกันทำบุญ ทำไปทุกวัดหนะแหละ ไม่ได้ยึดวัดใดวัดหนึ่งเป็นหลัก วัดภาคอีสาน ภาคใต้ วัดไหนต้องการปัจจัย ก็ทำหมด แต่ก็ทำซะเปะซะปะ ผ้าป่า กฐิน โครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนอะไรพวกนี้ ทำทั่วๆไป
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าเพื่อนคนนี้ก็พูดเรื่องหนังสือของพระท่านหนึ่งที่ท่านเขียนโจมตีวัด แล้วเพื่อนก็ด่าวัดที่เราคุ้นเคยในตอนเด็ก ขุดเรื่องมาด่าเรื่องเดิมจากสมัยโน้น ทำเอาเราเขว ...เอ...เราก็ไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อ วัดนี้ตูไปมาตั้งแต่เด็กแล้วก็สอนให้เราเป็นคนดีมาตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็ได้ดิดได้ดีจากการนั่งสมาธิ ก็สวนกลับไป แต่ทางเขาก็ยืนยันความคิดเดิม
เอ... เราก็คนมีปัญญา ฟังความข้างเดียวไม่ดีหรอก ต้องพิสูจน์ เอาให้มันรู้กันไปข้างหนึ่ง เผื่อเราหลงผิดจริง ๆ เหมือนตอนนั้นที่หลายคนหลงไปกราบไหว้ คุณ(พระ)ยันตระ โดยที่ขาดการพิจารณาด้วยตนเองว่าเป็นพระผู้ปฏิบัติชอบจริงหรือไม่ กลับหลงไปตามแฟชั่นเพียงเพราะเชื่อคำของคนอื่นว่าวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้
จำเรื่องนี้ขี้นสนิทใจเพราะจำได้ในครั้งที่ คุณ(พระ)ยันตระยังโด่งดังอยู่ มีรายการทีวีรายการหนึ่งเชิญ คุณ (พระ)ยันตระนี่มาออกรายการ คุณพ่อของแฟนเก่าซึ่งดูทีวีอยู่ด้วยกันพูดขึ้นมาทันทีเลยว่าพระองค์นี้ไม่น่านับถือ ดูตาท่านซิ เยิ้มเชียว ออกทีวีแต่ตาเยิ้มปลาบปลื้มกับการออกทีวี ไม่สำรวม ดวงตามันฟ้อง ขาดความสำรวม จากนั้นตัวดิฉันและครอบครัวของแฟนเก่าก็ไม่ได้นับถือพระยันตระตามแฟชั่นที่เขาแห่กันไปตักบาตรคุณยันตระ จนกระทั่งเกิดเรื่องบัดสีขึ้น
จากนั้นเราก็จำขึ้นใจเลยว่า อย่าแห่ไปกราบไหว้เพียงเพราะคนอื่นกราบไว้ อย่าแห่ไปทำบุญเพราะคนอื่นไปทำบุญที่นั่น ต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมต้องกราบไหว้ ทำไมต้องทำบุญที่นั่น ทำแล้วได้ประโยชน์อย่างไร
ก็เลยมีคำถามอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในช่วงที่เราไม่อยู่เมืองไทย สอนผิดจริงหรือ นิกายใหม่จริงเหรอ สร้างโรงอาวุธนิวเคลียร์ใต้ฐานเจดีจริงเหรอ (hahaha... ) แต่หาคำตอบอย่างไรหละ ก็ต้องเริ่มจากการหาผู้รู้แล้วก็ถามซิง่ายสุด ก็เลยถามเพื่อน ๆ ที่มาวัดหนะแหละ คำถามบางอันก็ทำเพื่อน ๆ กัลฯ ปวดหมองกันทีเดียว น่าสงสารท่านเหล่านั้นจัง (ฮิฮิ)
แล้วหนังสือเล่มไหนด่า ลองซื้อมันมาอ่านให้หมด แล้วมาดูซิว่ามันผิดตรงไหนเหรอ (อ่านไปยังไม่ทันจบเลย โยนทิ้งแล้ว)
ถามไปถามมา คุยไปคุยมา อ่านไปอ่านมา ไปมาแล้วหลาย ๆ webboard ก็มาเจอ dmc.tv
นอกจากนั้นก็ปฏิบัติซิ กลับมานั่งสมาธิจริงจังอีกครั้งหลังจากที่ว่างเว้นไปนานแสนนาน
และเนื่องจากการตั้งคำถาม และความคิดที่ว่าต้องพิสูจน์นี่เองที่ทำให้ดิฉันได้กลับมาวัดใหม่อีกครั้ง มานั่งสมาธิใหม่อีกครั้ง และมาสร้างบุญบารมีอย่างถูกวิธีและอย่างเต็มที่อีกคร้ง แทนที่จะทำสะเปะสะปะไปเรื่อย ๆ และก็ได้พบว่าดิฉันคงหาเนื้อนาบุญที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว
แต่จนทุกวันนี้ดิฉันก็ยังไม่หยุดถามนะ ไม่ใช่ยียวนกวนโอ้ย แต่สงสัยจริง ๆ นี่นา เพราะบางอย่างเราต้องยอมรับว่าเราอาจจะก้าวหน้าเกินกว่าที่คนบางกลุ่มจะรับได้ มีระบบระเบียบที่แตกต่าง ต่างจนเขากลัวมั้งเพราะไม่เหมือนสิ่งที่เขาเคยเห็นมา (ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่อาจจะต้องปรับที่เรา...รืเปล่า?)
ดังนั้นดิฉันจึงเห็นประโยชน์ที่ดิฉันเห็นในการตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นคำถามในทางบวก หรือ ทางลบ ถ้าผู้ถามตั้งใจที่จะหาความจริงโดยใช้วิจารณญานของตน ก็ให้เขาถามไปเถอะค่ะ ท่านผู้รู้ต่าง ๆ ก็ได้บุญด้วยเวลาตอบนะ (อย่าเพิ่งไปด่าเขา ช่วงแรก ๆ ที่ดิฉันไปถามเขาก็ถูกหลายคนด่ากลับมา แดกดันบ้างสารพัด โอ้ย บางคำนี่ฟังไม่ได้เลย ไม่คิดว่าคนมาวัดจะด่าได้เช่นนี้ โอ้ย แสบไปถึงทรวง)
เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งเบื่อนะค่ะถ้ามีใครมาถาม
เพราะคำถามนั่นแหละคือโอกาสที่จะทำให้เขามีความเข้าใจที่ดีขึ้นค่ะ
ขอบคุณค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 04:12 PM
1. ชอบ เห็นด้วย ไม่สงสัย
2. ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย สงสัย
3. เฉยๆ
#13
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 09:46 PM
แต่รู้ว่าไม่ควรถาม
คงต้องรออย่างเดียวเท่านั้น
แต่ว่าจะนานแค่ไหนก็จะรอครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#14
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 09:13 AM
#15
โพสต์เมื่อ 05 May 2006 - 10:59 PM
#16
โพสต์เมื่อ 23 February 2007 - 12:56 PM
บางคนก็ต้องเติมอีกนิดนึง ส่วนบางคนก็ต้องเติมเยอะหน่อย ขึ้่นกับบุญเก่าใช่ไหมครับ