ที่ร้านเวลาพระมาซื้อของบางองค์จะไม่กล้าจับเงิน จะยื่นซองให้แล้วหยิบเงินในซองเอาเอง
แต่บางองค์ก็หยิบให้จากย่ามไปเลย และบางองค์หยิบของเองก็ไม่ได้เวลาซื้อของต้องไปหยิบ
ให้แล้วประเคนทั้งที่เป็นการซื้อ บางองค์ก็หยิบเองเลย
เคยอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์พระบางองค์ก็ถูกฆ่ามรณะภาพ ในตู้เชฟมีเงินเป็นล้าน ๆ
คิดแล้วก็น่าจะผิดพระวินัยพระเก็บเงินไว้กับตัวได้หรือไม่
บางองค์สึกออกมามีเงินติดมาด้วยอันนี้บาปไหม
อยากทราบมีพระวินัยเกี่ยวกับการใช้เงินของพระหรือเปล่าครับ
พระจับต้องเงินอาบัติหรือไม่
เริ่มโดย SmilingCat, Apr 26 2006 10:12 AM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 10:12 AM
#2
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 11:22 AM
พระทางธรรมยุต อาบัติครับ
ทางมหานิกายไม่อาบัติครับ
ไม่แน่ใจครับ
ทางมหานิกายไม่อาบัติครับ
ไม่แน่ใจครับ
พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว
พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว
พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว
#3
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 02:21 PM
*****ที่ชื่อว่า โจร มีอธิบายว่า ผู้ใดถือเอาสิ่งของอันเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา ๕ มาสกก็ดี เกินกว่า
๕ มาสกก็ดี ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย ผู้นั้นชื่อว่า โจร
ที่มา : http://84000.org/tip...1&A=6283&Z=6335
ภุมมัฏฐวิภาค
[๙๑] ที่ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน ได้แก่ทรัพย์ที่ฝังกลบไว้ในแผ่นดิน
ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ตาม แสวงหาจอบหรือตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ ตัดไม้หรือเถาวัลย์ ซึ่งเกิดอยู่ในที่นั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ขุดก็ตาม คุ้ยก็ตาม โกยขึ้นก็ตาม ซึ่งดินร่วนต้องอาบัติทุกกฏ จับต้องหม้อ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำหม้อให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ทำหม้อให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิต หย่อนภาชนะของตนลงไป ถูกต้องทรัพย์ควรแก่ค่า ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย กระทำให้ทรัพย์อยู่ในภาชนะของตนก็ตาม ตัดขาดด้วยกำมือก็ตาม ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยมีจิต จับต้องทรัพย์ที่เขาร้อยด้ายก็ดี สังวาลก็ดี สร้อยคอก็ดี เข็มขัดก็ดีผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย จับที่สุดยกขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดึงครูดออกไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้พ้นปากหม้อ โดยที่สุดแม้ชั่วเส้นผม ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิต ดื่มเนยใสก็ดี น้ำมันก็ดี น้ำผึ้งก็ดี น้ำอ้อยก็ดี ควรแก่ค่า ๕ มาสกหรือเกินกว่า ๕ มาสก ด้วยประโยคอันเดียว ต้องอาบัติปาราชิก ทำลายเสียก็ดี ทำให้หกล้นก็ดีเผาเสียก็ดี ทำให้บริโภคไม่ได้ก็ดี ในที่นั้นเองต้องอาบัติทุกกฏ.
...........................
โอจรกวิภาค
[๑๑๖] ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้สั่ง อธิบายว่า ภิกษุสั่งกำหนดทรัพย์ว่า ท่านจงลักทรัพย์ชื่อนี้ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้รับคำสั่งนั้น ลักทรัพย์นั้นมาได้ ต้องอาบัติปาราชิก ทั้ง ๒ รูป.
โอณิรักขวิภาค
[๑๑๗] ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้รับของฝาก ได้แก่ภิกษุผู้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้ ภิกษุมีไถยจิตจับต้องทรัพย์นั้น มีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.
สังวิธาวหารวิภาค
[๑๑๘] ที่ชื่อว่า การชักชวนกันไปลัก ได้แก่ภิกษุหลายรูปชักชวนกันแล้ว รูปหนึ่งลักทรัพย์มาได้ ต้องอาบัติปาราชิกทุกรูป.
สังเกตกัมมวิภาค
[๑๑๙] ที่ชื่อว่า การนัดหมาย มีอธิบายว่า ภิกษุทำการนัดหมายว่า ท่านจงลักทรัพย์นั้นตามคำนัดหมายนั้น ในเวลาเช้าหรือเย็น ในเวลากลางคืน หรือกลางวัน ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลัก ลักทรัพย์นั้นได้ ตามคำนัดหมายนั้น ต้องอาบัติปาราชิกทั้ง ๒ รูป ภิกษุผู้ลัก ลักทรัพย์นั้นได้ก่อนหรือหลังคำนัดหมายนั้น ภิกษุผู้นัดหมายไม่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลักต้องอาบัติปาราชิก.
นิมิตตกัมมวิภาค
[๑๒๐] ที่ชื่อว่า การทำนิมิต มีอธิบายว่า ภิกษุทำนิมิตว่า เราจักขยิบตา จักยักคิ้วหรือจักผงกศีรษะ ท่านจงลักทรัพย์นั้น ตามนิมิตนั้น ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักลักทรัพย์นั้นได้ ตามนิมิตนั้น ต้องอาบัติปาราชิกทั้ง ๒ รูป ภิกษุลักลักทรัพย์นั้นได้ก่อนหรือหลังนิมิตนั้น ภิกษุผู้ทำนิมิตไม่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลักต้องอาบัติปาราชิก.
ค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่นี่ (เนื้อหาเยอะมาก)
ที่มา : http://84000.org/tip...1&A=6350&Z=6581
สรุปคือ
จะเห็นได้ว่าการหยิบจับทรัพย์ใดๆ ของพระนั้นอันตรายมากครับ เพียงแค่สัมผัสก็เป็นอาบัติถุลลัจจัย หรือไม่ก็ทุกกฎ แล้ว
อาบัติถุลลัจจัย หมายถึง อาบัติที่น่ารังเกียจ ชวนให้ถ่มน้ำลายใส่ หรือเหมือนผู้ที่บริโภคลาภเปรียบได้กับก้อนเขฬะคือน้ำลาย
ดังนั้นทรัพย์แม้เพียงแค่ราคา 1 บาทพระท่านจึงต้องระวังมากเพราะมีอาบัติรองรับทุกข้อเลยครับ
แต่ภิกษุไม่มีไถยจิตหรือจิตละโมภในทรัพย์ ก็ไม่ต้องอาบัติครับ
ถ้าภิกษุสะสมทรัพย์ไว้แม้จะได้มาโดยชอบธรรม ถ้าสะสมทรัพย์แล้วเกิดไถยจิตหรือจิตละโมภในทรัพย์ภิกษุ
พึงสละทรัพย์นั้นถ้าไม่สละรู้สีกจะอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ครับ
ถ้าก่อนสึกนำเงินให้โยมที่เป็นญาติก่อน แล้วลาสิกขามาใช้เงินนั้นก็ไม่ถือว่าผิดหรือบาปครับ
แต่ถ้าก่อนสึกไม่ได้สละให้โยมคนใด ถ้าสึกมาแล้วนำทรัพย์นั้นติดตัวกลับไปเท่ากับยักยอกของสงฆ์
มีโทษหนักมาก ต้องทำการชำระหนี้สงฆ์ กรณีที่ไม่ได้มีจิตละโมภอยากได้ของสงฆ์ต้องรีบสละครับ
แต่ถ้าให้ดีควรลาสิกขาไปแบบตัวเปล่าจะดีกว่าครับเงินที่ญาติโยมนำมาทำบุญนั้นเขานำมาถวายให้พระ
ในพระศาสนาไม่ได้ต้องการให้เจ้าทิดนำไปใช้นะครับ
ตามวัดต่างๆ โดยมากจะมีกล่องรับบริจาคค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ก็ง่ายมากเลยคือนำเงินที่เหลือก่อนลาสิกขา
หย่อนใส่ตู้ให้หมดครับ ได้บุญอีกตะหากกลับไปแบบผู้ประเสริฐดีกว่ากลับไปแบบสัตว์ในอบายเยอะครับ
๕ มาสกก็ดี ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย ผู้นั้นชื่อว่า โจร
ที่มา : http://84000.org/tip...1&A=6283&Z=6335
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑
ภุมมัฏฐวิภาค
[๙๑] ที่ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน ได้แก่ทรัพย์ที่ฝังกลบไว้ในแผ่นดิน
ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ตาม แสวงหาจอบหรือตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ ตัดไม้หรือเถาวัลย์ ซึ่งเกิดอยู่ในที่นั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ขุดก็ตาม คุ้ยก็ตาม โกยขึ้นก็ตาม ซึ่งดินร่วนต้องอาบัติทุกกฏ จับต้องหม้อ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำหม้อให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ทำหม้อให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิต หย่อนภาชนะของตนลงไป ถูกต้องทรัพย์ควรแก่ค่า ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย กระทำให้ทรัพย์อยู่ในภาชนะของตนก็ตาม ตัดขาดด้วยกำมือก็ตาม ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยมีจิต จับต้องทรัพย์ที่เขาร้อยด้ายก็ดี สังวาลก็ดี สร้อยคอก็ดี เข็มขัดก็ดีผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย จับที่สุดยกขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดึงครูดออกไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้พ้นปากหม้อ โดยที่สุดแม้ชั่วเส้นผม ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิต ดื่มเนยใสก็ดี น้ำมันก็ดี น้ำผึ้งก็ดี น้ำอ้อยก็ดี ควรแก่ค่า ๕ มาสกหรือเกินกว่า ๕ มาสก ด้วยประโยคอันเดียว ต้องอาบัติปาราชิก ทำลายเสียก็ดี ทำให้หกล้นก็ดีเผาเสียก็ดี ทำให้บริโภคไม่ได้ก็ดี ในที่นั้นเองต้องอาบัติทุกกฏ.
...........................
โอจรกวิภาค
[๑๑๖] ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้สั่ง อธิบายว่า ภิกษุสั่งกำหนดทรัพย์ว่า ท่านจงลักทรัพย์ชื่อนี้ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้รับคำสั่งนั้น ลักทรัพย์นั้นมาได้ ต้องอาบัติปาราชิก ทั้ง ๒ รูป.
โอณิรักขวิภาค
[๑๑๗] ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้รับของฝาก ได้แก่ภิกษุผู้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้ ภิกษุมีไถยจิตจับต้องทรัพย์นั้น มีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.
สังวิธาวหารวิภาค
[๑๑๘] ที่ชื่อว่า การชักชวนกันไปลัก ได้แก่ภิกษุหลายรูปชักชวนกันแล้ว รูปหนึ่งลักทรัพย์มาได้ ต้องอาบัติปาราชิกทุกรูป.
สังเกตกัมมวิภาค
[๑๑๙] ที่ชื่อว่า การนัดหมาย มีอธิบายว่า ภิกษุทำการนัดหมายว่า ท่านจงลักทรัพย์นั้นตามคำนัดหมายนั้น ในเวลาเช้าหรือเย็น ในเวลากลางคืน หรือกลางวัน ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลัก ลักทรัพย์นั้นได้ ตามคำนัดหมายนั้น ต้องอาบัติปาราชิกทั้ง ๒ รูป ภิกษุผู้ลัก ลักทรัพย์นั้นได้ก่อนหรือหลังคำนัดหมายนั้น ภิกษุผู้นัดหมายไม่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลักต้องอาบัติปาราชิก.
นิมิตตกัมมวิภาค
[๑๒๐] ที่ชื่อว่า การทำนิมิต มีอธิบายว่า ภิกษุทำนิมิตว่า เราจักขยิบตา จักยักคิ้วหรือจักผงกศีรษะ ท่านจงลักทรัพย์นั้น ตามนิมิตนั้น ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักลักทรัพย์นั้นได้ ตามนิมิตนั้น ต้องอาบัติปาราชิกทั้ง ๒ รูป ภิกษุลักลักทรัพย์นั้นได้ก่อนหรือหลังนิมิตนั้น ภิกษุผู้ทำนิมิตไม่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลักต้องอาบัติปาราชิก.
ค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่นี่ (เนื้อหาเยอะมาก)
ที่มา : http://84000.org/tip...1&A=6350&Z=6581
สรุปคือ
จะเห็นได้ว่าการหยิบจับทรัพย์ใดๆ ของพระนั้นอันตรายมากครับ เพียงแค่สัมผัสก็เป็นอาบัติถุลลัจจัย หรือไม่ก็ทุกกฎ แล้ว
อาบัติถุลลัจจัย หมายถึง อาบัติที่น่ารังเกียจ ชวนให้ถ่มน้ำลายใส่ หรือเหมือนผู้ที่บริโภคลาภเปรียบได้กับก้อนเขฬะคือน้ำลาย
ดังนั้นทรัพย์แม้เพียงแค่ราคา 1 บาทพระท่านจึงต้องระวังมากเพราะมีอาบัติรองรับทุกข้อเลยครับ
แต่ภิกษุไม่มีไถยจิตหรือจิตละโมภในทรัพย์ ก็ไม่ต้องอาบัติครับ
QUOTE
เคยอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์พระบางองค์ก็ถูกฆ่ามรณะภาพ ในตู้เชฟมีเงินเป็นล้าน ๆ
คิดแล้วก็น่าจะผิดพระวินัยพระเก็บเงินไว้กับตัวได้หรือไม่
คิดแล้วก็น่าจะผิดพระวินัยพระเก็บเงินไว้กับตัวได้หรือไม่
ถ้าภิกษุสะสมทรัพย์ไว้แม้จะได้มาโดยชอบธรรม ถ้าสะสมทรัพย์แล้วเกิดไถยจิตหรือจิตละโมภในทรัพย์ภิกษุ
พึงสละทรัพย์นั้นถ้าไม่สละรู้สีกจะอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ครับ
QUOTE
บางองค์สึกออกมามีเงินติดมาด้วยอันนี้บาปไหม
ถ้าก่อนสึกนำเงินให้โยมที่เป็นญาติก่อน แล้วลาสิกขามาใช้เงินนั้นก็ไม่ถือว่าผิดหรือบาปครับ
แต่ถ้าก่อนสึกไม่ได้สละให้โยมคนใด ถ้าสึกมาแล้วนำทรัพย์นั้นติดตัวกลับไปเท่ากับยักยอกของสงฆ์
มีโทษหนักมาก ต้องทำการชำระหนี้สงฆ์ กรณีที่ไม่ได้มีจิตละโมภอยากได้ของสงฆ์ต้องรีบสละครับ
แต่ถ้าให้ดีควรลาสิกขาไปแบบตัวเปล่าจะดีกว่าครับเงินที่ญาติโยมนำมาทำบุญนั้นเขานำมาถวายให้พระ
ในพระศาสนาไม่ได้ต้องการให้เจ้าทิดนำไปใช้นะครับ
ตามวัดต่างๆ โดยมากจะมีกล่องรับบริจาคค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ก็ง่ายมากเลยคือนำเงินที่เหลือก่อนลาสิกขา
หย่อนใส่ตู้ให้หมดครับ ได้บุญอีกตะหากกลับไปแบบผู้ประเสริฐดีกว่ากลับไปแบบสัตว์ในอบายเยอะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 08:23 PM
ขอบคุณทุกคำตอบครับ
โอ้โห สาธุคุณ XLmen ตอบได้แจ่มแจ้งแทงตลอดพระวินัยเลย พระถิกษุจับเงินมีโอกาศ
อาบัติตลอดเพราะมีอาบัติรองรับ ขึ้นอยู่กับจิตขณะนั้น เข้าใจแล้วครับ
แบบนี้พี่ทิดสึกใหม่ก็มีทางเลี่ยงเอาเงินค่ากิจนิมนต์มาใช้เหมือนกันเนอะ
โอ้โห สาธุคุณ XLmen ตอบได้แจ่มแจ้งแทงตลอดพระวินัยเลย พระถิกษุจับเงินมีโอกาศ
อาบัติตลอดเพราะมีอาบัติรองรับ ขึ้นอยู่กับจิตขณะนั้น เข้าใจแล้วครับ
QUOTE
ถ้าก่อนสึกนำเงินให้โยมที่เป็นญาติก่อน แล้วลาสิกขามาใช้เงินนั้นก็ไม่ถือว่าผิดหรือบาปครับ
แต่ถ้าก่อนสึกไม่ได้สละให้โยมคนใด ถ้าสึกมาแล้วนำทรัพย์นั้นติดตัวกลับไปเท่ากับยักยอกของสงฆ์
มีโทษหนักมาก ต้องทำการชำระหนี้สงฆ์ กรณีที่ไม่ได้มีจิตละโมภอยากได้ของสงฆ์ต้องรีบสละครับ
แต่ถ้าให้ดีควรลาสิกขาไปแบบตัวเปล่าจะดีกว่าครับเงินที่ญาติโยมนำมาทำบุญนั้นเขานำมาถวายให้พระ
ในพระศาสนาไม่ได้ต้องการให้เจ้าทิดนำไปใช้นะครับ
แต่ถ้าก่อนสึกไม่ได้สละให้โยมคนใด ถ้าสึกมาแล้วนำทรัพย์นั้นติดตัวกลับไปเท่ากับยักยอกของสงฆ์
มีโทษหนักมาก ต้องทำการชำระหนี้สงฆ์ กรณีที่ไม่ได้มีจิตละโมภอยากได้ของสงฆ์ต้องรีบสละครับ
แต่ถ้าให้ดีควรลาสิกขาไปแบบตัวเปล่าจะดีกว่าครับเงินที่ญาติโยมนำมาทำบุญนั้นเขานำมาถวายให้พระ
ในพระศาสนาไม่ได้ต้องการให้เจ้าทิดนำไปใช้นะครับ
แบบนี้พี่ทิดสึกใหม่ก็มีทางเลี่ยงเอาเงินค่ากิจนิมนต์มาใช้เหมือนกันเนอะ
#5
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 08:26 PM
อันดับแรกจะครับ ต้องรู้จักศีลข้อ 10 ของสามเณรก่อน คือ
10) ชาตะรูปรชต ปฎิคหนาเวรมณี สิกขาประทังสมาทิยามิ
แปลว่า ขอสมาทานสิกขาบทข้อไม่จับต้องเงินทองของมีค่า
ถ้าจะว่าไปสมัยก่อน พระภิกษุ สามเณรจะได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงยิ่งจากประชาชน ดังนั้นประชาชนทั้งหลายก็จะดูแลปฏิบัติเหล่าพระภิกษุ สามเณรเป็นอย่างดีเยี่ยม ดังนั้น ท่านจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินทอง เนื่องจากคนทั้งหลายยินดีที่จะดูแลอุปัฏฐากท่านเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการเดินทาง อาหาร น้ำดื่ม ที่พัก ฯลฯ
แต่ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลง ประชาชนไม่ได้ดูแลปฏิบัติ พระภิกษุ สามเณร ดีเยี่ยมอย่างสมัยก่อน ท่านต้องดูแลตัวเอง ดังนั้นท่านจึงต้องจำเป็นมีเงินทองเอาไว้ใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค้าเดินทาง อาหาร น้ำดื่ม ดังนั้นในยุคปัจจุบันจึงต้องอนุโลม อะลุ้มอะล่วยให้ท่านมีเงินทองติดตัว มิฉะนั้นท่านก็จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมเพื่อโปรดญาติโยมลำบาก
อย่างไรก็ดี ก็มีพระที่เคร่งครัดหลายๆ รูปพยายามเลี่ยงการจับต้องเงินทองให้มากที่สุด จึงเกิดการกระทำอย่างที่เจ้าของกระทู้ว่ามาครับ
10) ชาตะรูปรชต ปฎิคหนาเวรมณี สิกขาประทังสมาทิยามิ
แปลว่า ขอสมาทานสิกขาบทข้อไม่จับต้องเงินทองของมีค่า
ถ้าจะว่าไปสมัยก่อน พระภิกษุ สามเณรจะได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงยิ่งจากประชาชน ดังนั้นประชาชนทั้งหลายก็จะดูแลปฏิบัติเหล่าพระภิกษุ สามเณรเป็นอย่างดีเยี่ยม ดังนั้น ท่านจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินทอง เนื่องจากคนทั้งหลายยินดีที่จะดูแลอุปัฏฐากท่านเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการเดินทาง อาหาร น้ำดื่ม ที่พัก ฯลฯ
แต่ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลง ประชาชนไม่ได้ดูแลปฏิบัติ พระภิกษุ สามเณร ดีเยี่ยมอย่างสมัยก่อน ท่านต้องดูแลตัวเอง ดังนั้นท่านจึงต้องจำเป็นมีเงินทองเอาไว้ใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค้าเดินทาง อาหาร น้ำดื่ม ดังนั้นในยุคปัจจุบันจึงต้องอนุโลม อะลุ้มอะล่วยให้ท่านมีเงินทองติดตัว มิฉะนั้นท่านก็จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมเพื่อโปรดญาติโยมลำบาก
อย่างไรก็ดี ก็มีพระที่เคร่งครัดหลายๆ รูปพยายามเลี่ยงการจับต้องเงินทองให้มากที่สุด จึงเกิดการกระทำอย่างที่เจ้าของกระทู้ว่ามาครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#6
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 08:58 PM
ขอบคุณคุณ มิราเคิลดรีมครับ
แล้วเรื่องการประเคนล่ะครับทำไมบางรูปซื้อแล้วไม่หยิบเองต้องหยิบประเคนให้
ถ้าเราปล่อยให้พระต้องหยิบเองท่านจะอาบัติอะไรบ้างไหม แล้วเราจะบาปไหม
แล้วเรื่องการประเคนล่ะครับทำไมบางรูปซื้อแล้วไม่หยิบเองต้องหยิบประเคนให้
ถ้าเราปล่อยให้พระต้องหยิบเองท่านจะอาบัติอะไรบ้างไหม แล้วเราจะบาปไหม
หยุดคือตัวสำเร็จ
#7
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 09:19 PM
การประเคนนั้นเคยได้ยินมาว่า เป็นประเพณีที่กำเนิดขึ้นในภายหลัง จริงๆแล้ว ถ้าทายกมีเจตนาที่จะให้แล้ว พระภิกษุสามารถหยิบไปได้เลยครับ แต่ผมคิดว่า คนในยุคต่อมาคิดว่าน่าจะมีการแสดงเจตนาด้วยอาการแสดงออก ซึ่งชัดเจนกว่าการแสดงเจตนาให้ด้วยใจเพียงอย่างเดียว การประเคนจึงเกิดขึ้น
เนื่องจากมีพระวินัยอาบัติปาราชิกอยู่ข้อหนึ่งว่า ภิกษุใดหยิบเอาของที่เค้าไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย มูลค่าเกิน 5 มาสก ต้อง อาบัติปาราชิก
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้ว่า พระที่ต้องการให้ประเคนของที่ท่านซื้อ ท่านอาจจะกลัวไปพลาดอาบัตืปาราชิกข้อนี้เข้า แต่พระที่ท่านหยิบไปเลย ท่านอาจจะคิดว่า ท่านจ่ายเงินแล้ว ผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ก็มีจิตยกให้ท่านแล้ว ดังนั้นท่านจึงหยิบไปเลยครับ
QUOTE
แล้วเรื่องการประเคนล่ะครับทำไมบางรูปซื้อแล้วไม่หยิบเองต้องหยิบประเคนให้
เนื่องจากมีพระวินัยอาบัติปาราชิกอยู่ข้อหนึ่งว่า ภิกษุใดหยิบเอาของที่เค้าไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย มูลค่าเกิน 5 มาสก ต้อง อาบัติปาราชิก
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้ว่า พระที่ต้องการให้ประเคนของที่ท่านซื้อ ท่านอาจจะกลัวไปพลาดอาบัตืปาราชิกข้อนี้เข้า แต่พระที่ท่านหยิบไปเลย ท่านอาจจะคิดว่า ท่านจ่ายเงินแล้ว ผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ก็มีจิตยกให้ท่านแล้ว ดังนั้นท่านจึงหยิบไปเลยครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#8
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 09:24 PM
ขอบคุณครับ มันเป็นแบบนี้เอง เข้าใจแล้วครับ
หยุดคือตัวสำเร็จ
#9
โพสต์เมื่อ 28 April 2006 - 07:26 PM
สาธุ ขอบคุณ คุณ Miracle Dream และ คุณXLmen ที่มาให้ความกระจ่างในธรรมข้อนี้ค่ะ
อ่านแล้วเข้าใจชัดเจนดีจังเลยค่ะ
อ่านแล้วเข้าใจชัดเจนดีจังเลยค่ะ
The Strongest is The Gentlest!
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#10
โพสต์เมื่อ 28 April 2006 - 09:48 PM
สาธุ ครับ
สร้างบารมีทุกวินาที
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#11
โพสต์เมื่อ 23 February 2007 - 04:29 PM
กราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ