ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เครื่องหนังทั้งหลายถ้าซื้อมาใช้ ถือว่าผิดศีลไหม


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 หรรษา

หรรษา
  • Members
  • 135 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 April 2005 - 08:34 AM

สับสนคะว่าเครื่องหนังนั้น ถือว่าเราเบียดเบียนสัตว์หรือเปล่า ถ้าเป็นหนังของสัตว์ที่เราฆ่าเพื่อกินอยู่แล้ว
และสับสนอีกว่า หากการฆ่าสัตว์คือการเบียดเบียน แล้วทำไมเราถึงกินเนื้อสัตว์ได้ละคะ

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 03 April 2005 - 08:52 PM

ธรรมะของพระพุทธเจ้าคลายความสับสบได้ครับ ผมเป็นเพียงลำโพง นำสิ่งท่านตรัสมาถ่ายทอดให้คุณฟังอีกทีหนึ่งนะครับ

เครื่องหนังนั้น ถ้าเราซื้อมาใช้ ไม่ถือว่า ผิดศีลข้อ 1 ครับ หรือถ้าเราทำธุรกิจเครื่องหนัง โดยไม่ได้ไปฆ่าสัตว์เอามาทำเอง ก็ไม่ผิดศีลข้อ 1 ครับ เหมือน แม่ค้าขายข้าวแกง ที่ไปซื้อเนื้อหมูในตลาดมาทำอาหารขายครับ

ทำไมมนุษย์กินเนื้อสัตว์ ต้องเรียนเรื่องจักรวาลวิทยาครับ (เรียนทาง DOU) แล้วจะทราบว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น มนุษย์ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ครับ ข้าวสาลีในยุคแรกจะขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องปลูกครับ และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน แต่ต่อมามนุษย์ สร้างบ้านเรือน และขี้เกียจไปเก็บข้าวสาลีทุกวัน จึงกักตุน คือ เก็บมาตุนไว้ที่บ้านเยอะๆ (ความโลภเกิดขึ้น) ทีนี้ข้าวสาลีก็ขึ้นไม่ทัน มนุษย์ก็เริ่มทะเลาะแย่งข้าวสาลีกัน กิเลสก็เพิ่มพูนขึ้น คุณค่าทางอาหารของข้าวสาลีก็เริ่มไม่ครบ และไม่ขึ้นเอง ต้องคอยปลูก ตอนนี้แหละครับ ที่สัตว์เกิดขึ้น (มาจากอำนาจวิบากกรรม) มนุษย์บางส่วนที่เคยจองเวรกับสัตว์นั้นมา (ชาติในอดีต) เห็นแล้วมันอยากฆ่า พอฆ่าแล้ว ก็ลองกิน พอลองกินก็ติดใจ แล้ว ก็มีคุณค่าทางอาหารมาเสริมกับส่วนที่หายไปของข้าวสาลีพอดี (ด้วยอำนาจกรรม) แล้วก็กลายมาเป็นอย่างนี้แหละครับ

ดังนั้น ถ้าจะแก้ไขเรื่องนี้ตอนนี้มันช้าไปต๋อยแล้วครับ จึงต้องไปแก้ด้านอื่น คือ ปลูกฝังให้คนทั้งโลก กลับมา ทำทาน รักษาศีล เจริญภาาวนา กันทั้งโลก ถ้าทำได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละครับ พืชที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน รสชาดโอชา จะเกิดขึ้นเองอีกครั้ง ถ้าไม่พบครูไม่ใหญ่ ผมก็ไม่กล้าคิดหรอกครับว่าผมจะทำได้ แต่ตอนนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยการนำของครูไม่ใหญ่นั้น ทุกคนต้องทำได้ครับ

#3 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 04 April 2005 - 06:43 AM

ถ้าการซื้อของเรามีผลทำให้สัตว์นั้นตายโดยตรง (แปลว่า ถ้าเราไม่ซื้อมันก็ไม่โดนฆ่า) อย่างนี้บาปครับ
ถ้าการซื้อของเราไม่มีผลทำให้สัตว์นั้นตายโดยตรง (แปลว่า ถึงเราไม่ซื้อมันก็ตายอยู่ดี) อย่างนี้ไม่บาปครับ

ส่วนใหญ่พวกเครื่องหนังที่ถามน่าจะเป็นกรณีที่สองนะครับ
รวมทั้งเนื้อหมูที่อยู่บนเขียงตามตลาดสดด้วย

แต่อย่างกรณีพวกปลาเผากุ้งเผาตามร้านอาหารนั้น เข้ากรณีแรก
ถึงแม้เราไม่ได้เจาะจงว่าเอาปลาเป็นๆไปเผานะ
แต่คำสั่งของเรามีผลทำให้มันโดนฆ่า อย่างงี้โดนครับ
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)

#4 หรรษา

หรรษา
  • Members
  • 135 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 April 2005 - 09:41 AM

ถ้าเป็นหนังของสัตว์หายากอย่างเช่น ขนกระต่าย ขนจามลี อ่ะคะ
จะถือว่าเป็นประเภท1 หรือ 2 เพราะเราก็ไม่รู้ว่ากระต่ายหรือจามลีตัวนั้นถูกเอาไปกินอยู่แล้วหรือเปล่า อยู่ดี
ข้อนี้ถามเพราะอยากรู้เฉยๆคะ แต่ตัวเองไม่ซื้ออยู่แล้วคะ เห็นแล้วสงสารมากกว่าอยากได้

#5 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 04 April 2005 - 12:38 PM

ขอบคุณน้อง Panoat ที่ช่วยเสริมส่วนที่ตกค้างนะครับ พระภิกษุทั้งหลายท่านยึดหลักตามนี้นะครับว่า ถ้าได้เห็น ได้ยิน ได้รู้ว่า เขาฆ่ามาเพื่อตน จะไม่ฉันเด็ดขาด หรือแม้แต่ไม่แน่ใจ ก็ไม่ฉันเช่นเดียวกัน ถ้าอย่างไหน ไม่แน่ใจ เราก็อย่าเสี่ยงกับศีลข้อ 1 เลยนะครับ

เหมือนอย่างที่หมอสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปใกล้คนเป็นหวัดไงล่ะครับ จริงๆแล้วอาจจะไม่ติดเชื้อหวัดก็ได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจอย่าเสี่ยงดีกว่า เพราะผลของศีลข้อ 1 ร้ายแรงกว่าหวัด อย่างเทียบกันไม่ได้ ขนาดหวัดเรายังไม่เสี่ยงเลย แล้วศีลข้อ 1 เราจะเสี่ยงทำไม

#6 *Guest*

*Guest*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 20 April 2005 - 07:55 PM

เคยได้ยินมาว่าในหลักเศรษฐศาสตร์นั้น เขาถือว่า ถ้าไม่มี อุปสงค์ (demand) ก็ไม่มีอุปทาน (supply) นั่นก็คือบอกเป็นนัยว่า ถ้าไม่มีคนกิน ก็ไม่มีโรงฆ่าสัตว์ สัตว์ก็ไม่ตาย

แล้วอย่างนี้หมายความว่าถ้าเรายังกินอยู่ เราก็เหมือนบอกให้โรงฆ่าสัตว์ จัดการฆ่าเตรียมไว้ได้เลย หรือเปล่าค่ะ

ขอบคุณค่ะ

#7 *ผ่านมา*

*ผ่านมา*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 20 April 2005 - 08:10 PM

การฆ่าสัตว์(ปาณาติบาต)มีองค์ ๕ คือ:
๑. สัตว์มีชีวิต
๒. ตนรู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. จิตคิดจะฆ่า
๔. พยายามฆ่า
๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น.

เมื่อครบองค์ ๕ อย่างถึงจะถือว่าผิดศีล (ศีลขาด)
ถ้าไม่ครบศีลก็เป็นเพียงด่าง พร้อย ทะลุ (เหมือนผ้าด่าง พร้อย ทะลุ)

#8 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 April 2005 - 11:04 PM

เรื่องการกินเนื้อสัตว์หรือไม่กิน พูดไปก็จะมีแต่การตั้งแง่ ถ้าทุกคนบนโลกถือศีล 5 ครบ แน่นอนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของอาหารบนโลกมนุษย์ เอาเป็นว่านั่งสมาธิเยอะๆให้ได้ธรรมกาย จะได้รู้ว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้มันมีเบื้องหน้าเบื้่องหลังของบีบบังคับของกรรมอย่างไร สัตว์ที่เกิดมาถูกฆ่าแล้วก็คนที่ฆ่ามีกรรมกันมาอย่างไีร
ขอแนะนำให้ไปฟังเทปพระธรรมเทศนาของหลวงพี่สมชาย ฐานวุฑโฒ ท่านมีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อยู่เหมือนกัน
http://www.kalyanami...ng_tapetana.asp

ถ้ากินเพื่ออยู่ ไม่ได้กินเพราะอยาก เป็นอันใช้ได้ มุ่งทำใจหยุดนิ่งจะได้ไขปัญหาที่สงสัยให้กระจ่างแจ้ง

#9 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 30 January 2007 - 12:19 PM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ