กรรมอะไรถึงทำให้ขึ้นคาน!!!!
#1
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 05:01 PM
#2
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 05:15 PM
บุญคือ วิบากกรรมกาเม ได้ลดลงไปแล้ว จึงทำให้ได้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ (โดยไม่เต็มใจ) ส่วนกรรมก็คือ ไม่มีบุญด้านการชักชวนคนทำความดี (บริวาร) และไม่มีบุญสังคหวัตถุ 4 (ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา) จึงทำให้ไม่มีใครเหลียวแลน่ะครับ
ส่วนผู้ที่วิบากกรรมกาเม ได้ลดลงไปแล้ว และยังมีบุญชวนคนทำความดี บุญสังคหวัตถุ 4 ด้วย เวลาบุญส่งผลเขาสามารถเลือกได้เลยครับว่า
ถ้าอยู่ครองเรือน จะได้สามีภรรยา ที่ดี และไม่ประพฤตินอกใจ ทำแต่สิ่งที่ให้สบายใจ หรือ ถ้าเลือกประพฤติพรหมจรรย์ ก็ประพฤติได้ตามปราถนาน่ะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 05:44 PM
ขึ้นคานแล้วเสียใจไปใย
คิดซะว่า
มันทำให้เราสร้างบารมีได้ง่ายขึ้น
ไม่ต้องมีคนมากวนใจ
ไม่ต้องมีคนมาขัดขวางการสร้างบารมีของเรา
และที่สำคัญที่สุด คือ การประพฤติพรมจรรย์ จะได้ทำได้ง่ายขึ้น
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#4
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 05:47 PM
ดีใจจังกรรมเบาบางแล้ว
#5
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 06:00 PM
สงกะสัยจะชอบของสูงไปนิดครับ เลยชอบขึ้นคานหนะครับ 555+
ปรารถนาสูงก็แบบนี้แหละครับ คานเลยมาเสยเราได้ครับ หุหุหุ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#6
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 06:16 PM
#7
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 06:47 PM
ขาดบุญชวนคนทำความดี ขาดบุญในการทำหน้าที่กัลญาณมิตร
แต่ถ้าอทิษฐานมาว่าขอไห้ประพฤติพรหมจรรย์ทุกชาติ ก็เป็นเพราะแรงอทิษฐานนั้นนั่นเอง จึงต้องอยู่คนเดียวไม่มีครัวมาครอบ แบบผมไง คิดจะมีแฟน แต่ก็มีเหตุต้องไม่ไห้มีคู่มาขัดขวางเสมอ จะว่าโชคดีก็ไม่ใช่โชคร้ายก็ไม่เชิง
#8
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 07:48 PM
..........
ไฟล์แนบ
#9
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 09:34 PM
#10
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 10:14 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#11
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 07:59 AM
ครอบครัวมันวุ่นวายเหลือเกิน
แล้วการขึ้นคานมันอยู่กับตัวเองด้วยเป็นคนเลือกมาก มองหาแต่คนที่มีคุณสมบัติพร้อม
จะเอามาเป็นคู่ครองสุดท้ายหาไม่ได้ แก่เกินไปแล้วก็ขึ้นคาน
แล้วมันดีหรือไม่ คิดว่ามันดีก็ดี แต่คิดว่ามันไม่ดีก็ใจเศร้าหมองร้อนรุ่ม คิดว่ามันดี
ไปไม่ต้องเป็นห่วงใคร ก็ดีเหมือนกัน น่าจะสบายใจได้
#12
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 09:09 AM
กรรมไม่ได้ -- อาจจะไม่มีบุญเลี้ยงดูบิดามารดา ชาตินี้เลยไม่มีคนมาขอดูแล
ทั้งหมดนี้เป็นสันนิษฐานวิทยาค่ะ
กรรมดี--อาจจะอธิษฐานมาเองว่าจะขอประพฤติพรหมจรรย์
กรรมไม่ดี -- อาจจะไม่มีบุญเลี้ยงดูบิดามารดา ชาตินี้เลยไม่มีคนมาขอดูแล
ทั้งหมดนี้เป็นสันนิษฐานวิทยาค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:41 AM
ย่อ ๆ ก็กรรมจากการผิดศีลกาเมจะหมดไปครับ เลยไม่ต้องไปครองเรือน คุณครูไม่ใหญ่ยังบอกอีกว่า พวกที่ครองเรือนนั้น กรรมจากการผิดศีลกาเม ยังมากกว่าผู้ที่ไม่ครองเรือนครับ (ผู้ที่ขึ้นคานก็จัดอยู่ในประเภทผู้ที่ไม่ครองเรือนครับ)
เลยทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตท้ายรถสองแถว เขาอธิบายได้เห็นภาพทุกข์ของสตรีผู้ครองเรือนได้จริง นั่นคือ "มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ" ฮิๆ
#14
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 05:38 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#15
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 08:21 PM
กำ พิมพ์ผิด คำว่า ตลอด ครับ
สาธุ
#16
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 08:24 PM
ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่ต้องพิจารณาจากการตรวจด้วยอำนาจของสมาธิจิตด้วยว่า ได้ประกอบเหตุอย่างอื่นไว้ด้วยหรือไม่? (ผมว่าไม่ใช่เหตุจากการอธิษฐานจิตเพื่อต้องการประพฤติพรหมจรรย์แต่เพียงประการเดียวหรอกครับ)
#17
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 11:42 PM
บุญค่ะ บุญจริงๆค่ะ.... ไม่ได้มีปัญหาเรื่องไม่มีใครมาจีบ หรือหาใครแต่งไม่ได้ค่ะ
แต่ว่าหัวมันสูงไปหน่อย เลยไปติดคานขานข้างบน แล้วลมมันเย็นดีหนะ ขี้เกียจลง
ที่นี้เลยตั้งหิ้งเอาไว้เป็นของสูง 555555+
สาเหตุคือ พี่มักมีการเห็นภาพล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราตัดสินใจเดินหน้าแต่งงานไปแล้ว
มันเห็นทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดี มาเทียบกันแล้ว ความรู้สึกมันบอกว่า โอ้...ไม่ดีเลย ทุกข์จัง
(มีบุญ มีดวงปัญญาสว่างหนะ)
ประสบการณ์...แต่ก่อนสมัยสาวๆ เราอยู่ในขั้นที่ใครๆเรียกว่าน่ารักสุดในชั้นอยู่แล้ว
ช่วงอายุ 22-28 เรียนจบกัน เพื่อนๆก็เริ่มแต่งกันไป ก็พิศวงว่าคนอื่นเค้าแต่งกันแล้ว
ทำไมเราไม่แต่งเสียที (มันก็มีเหตุบางอย่าง เหนือธรรมชาติมาร่วมด้วยนะ)
พอจะเข้า 30 ก็คิดว่าตัวเองเชย เรามีปัญหาทางจิตหรือนี่ เราผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตหรือนี่
ก็พยายามทำความเข้าใจความไม่สมบูรณ์ของโลกนี้ว่ามันไม่ได้สวยเหมือนกับที่เราคิดหรอก
ก็มีเมตตาจิตต่อผู้คนมากขึ้นนะ ละวางทิฐิส่วนตนออกไป แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าต้องการอะไรลึกๆ
พอได้มีโอกาสมาทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนาอีกครั้ง เรียนรู้เรื่องราวของพระโพธิสัตว์
ถึงได้เข้าใจตนเองว่า อ้อ... นี่เองที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ และฟังคำสอนยายแล้วเข้าใจดี
ยอมรับชีวิตโสดว่าดีที่สุด เราก็มีความรักความเมตตากับผู้คนได้มากมายแต่ไม่ทุกข์
เพราะไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นใครให้เป็นอย่างที่เราคิด และได้ฝึกจิตใจของตนให้ละเอียดขึ้น
พอเดี๋ยวนี้ พี่ๆเพื่อนๆทั้งหลายที่มีครอบครัวกันไปแล้วก็มาบ่นว่า รู้อย่างงี้เป็นอย่างเธอดีกว่า
(เพราะว่าฮอร์โมนเพศ หรือวิบากกรรมในช่วงนั้น มันส่งผลบีบคั้นจิตใจให้แต่งไปแล้วหนะ)
#18
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 12:47 PM
ที่นี้เลยตั้งหิ้งเอาไว้เป็นของสูง 555555+
5555+สุดยอดค่ะ ลมเย็นงั้นน้องฝนขอขึ้นไปอยุ่ด้วยนะค่ะ
#19
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 05:36 PM
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#20
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 05:56 PM
#21
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 11:02 PM
#22
โพสต์เมื่อ 05 May 2006 - 12:38 PM
การที่แมรี่ได้กล่าวไว้เพื่อเป็นแง่คิดทางบวกให้แก่คนที่คิดจะขึ้นคาน หรือขึ้นคานแล้วค่ะ
เมื่อท่านใดมีกรรมน้อย ก็ต้องสร้างบารมีให้มาก เพื่อหนีกรรม และเป็นผลดีติดตัวไป
สำหรับท่านที่ได้มีคู่ มีครอบครัวไปแล้ว แมรี่ขอให้กำลังใจค่ะว่าขอให้สู้ต่อไปด้วยสัมมาทิฐิค่ะ
การทึ่ชาติใดชาติหนึ่ง คนนั้นจะได้เป็นโสด มีกรรมน้อย ก็เพราะว่าในชาติก่อนๆ เค้ายอมรับความทุกข์
และหมั่นสร้างความดีทุกรูปแบบ ด้วยสัมมาทิฐิ ถือศีล 8 และทำสมาธิภาวนาบ่อยๆ เพื่อลดกรรมกาเม
หากอธิษฐานขอให้ประพฤติพรหมจรรย์ทุกชาติ เมื่อมาเกิดในชาติใหม่ ก็จะมีบุญมาช่วยตัดรอนกรรม
ทำให้รู้เห็นล่วงหน้าถึงความทุกข์ เข้าใจผลดีผลเสียได้ง่าย มีกำลังใจเข้มแข็งต่อการถูกวิภาควิจารณ์
พึ่งตนเองได้ วางใจเฉยได้ง่าย ลืมเรื่องราวที่เป็นทุกข์ได้ง่าย ไม่หลงคนง่าย ไม่รำพึงพิไลลำพันนาน ฯลฯ
และที่สำคัญบุญจะช่วยพยุงเรา แม้นจะเจอเหตุการณ์อะไร เราจะพ้นช่วงนั้นได้ง่าย เมื่อทำใจเป็นกลางๆ
ยืนยันว่า ทุกอย่างมีเหตุมาก่อน ความโชคดีคือผลของเหตุที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ค่ะ
#23
โพสต์เมื่อ 27 February 2007 - 02:51 PM