สุภาษิต-คำพังเพย-สำนวนโวหาร-คำคม
#1
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 09:33 PM
เริ่มจากคำนี้เลยแล้วกัน
มารไม่มีบารมีไม่เกิด
ก.เกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี
#2
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 09:45 PM
"มารมีบารมีลด มารหมดบารมีเพิ่ม" ต่างหากล่ะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 10:21 PM
ม.มือไม่พาย อย่าเอาเท้ารานํา (ได้ไม๊ค่ะเนี่ย)
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#4
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 10:32 PM
มารไม่มีบารมีไม่เกิด
"มารมีบารมีลด มารหมดบารมีเพิ่ม" ต่างหากล่ะครับ
ไม่เคยได้ยินหรืองัยจ๊ะ สำนวนนี้ให้กำลังใจ ก็น่าจะอ่านกระทู้ออกนะว่าสุภาษิต-คำพังเพย-สำนวนโวหาร-คำคม สำนวนนี้ไม่ทราบว่าคุณเกียรติก้องธรณินทร์ ไม่เคยได้ยินหรืออย่างไร ลองใช้ Internet ให้เป็นประโยชน์ดูนะจ๊ะว่าคำนี้มีไหม
รัดเข็มขัดประหยัดกันเถอะ
เคยหวังว่า หลังผ่านวิกฤติเศรษฐกิจ มานมนานหลายปี น่าจะยอมรับกับความไม่เที่ยงแท้ แน่นอนของชีวิตกันสักที ว่าไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ถ้าวันนี้เราแพ้ พรุ่งนี้เราอาจชนะ ก็ได้ แต่เอาเข้าจริง พบว่า ยังได้ยินข่าวคนน้อยใจในโชค วาสนา หรือทำมาค้าขายไม่ขึ้น หรือคิดมากกระทั่งใจคอ กระเจิดกระเจิง แล้วตัดสินใจฆ่าตัวตายกันโครมๆ โถไม่รู้ว่าจะรีบตายกันทำมั้ย ขืนเอาแต่ หนีปัญหา แล้วจะพบวันหลุดพ้นได้ไงจ๊ะ
ว่าแล้ว ขอนำคำพูดของพระพยอม มาเล่าสู่กันฟัง ให้ชวนสะอึกและฉุกคิดกันหน่อย
ท่านว่า "ชีวิตยิ่งผ่านอุปสรรคยิ่งเข้มแข็ง คนที่ผ่านบทเรียนมาก่อนจะเป็นคนฉลาด
กับคำพูดโบราณที่ว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด คงจะใช้ได้กับสภาวการณ์ปัจจุบัน
อาตมาเชื่อว่า วิกฤติครั้งนี้ ไม่สามารถหยุดยั้งคนเข้มแข็งได้หรอก
เดี๋ยวก็หาทางเข้มแข็งใหม่ได้ เพราะโลกของเรามี 2 ส่วน
มีได้มีเสีย มีบวกมีลบ มีขึ้นมีลง มีรวยมีจน
ฉะนั้น เราอย่าเหยียบโลกไว้ซีกเดียวเลย" สาธุ
#5
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 10:35 PM
แต่คำพังเพยที่ส่วนใหญ่เค้าจะใช้กันก็คือคำว่า "มารไม่มี บารมีไม่เกิด"กัน ก็เพราะความเข้าใจผิด คิดว่า ถ้าไม่มีมารซะแล้วบารมีก็จะไม่เกิด เพื่อเป็นการให้กำลังใจตัวเอง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ ก็เพราะคำว่า "มาร" แปลว่า "ผู้ขัดขวางการทำความดี" (มาร 5 ฝูงได้แก่ กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมาร) ในเมื่อมีผู้ขัดขวาง (คือมารทั้ง 5 ฝูง) จะสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น"มารมีบารมีลด มารหมดบารมีเพิ่ม" จึงเป็นคำที่ถูกต้องตามหลักการแปลความค่ะ
#6
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 10:47 PM
กรวดน้ำอุทิศให้ บอกลา
น้ำจิตคิดเคืองมา ก่อนนี้
คว่ำขันตัดสัญญา พันผูก นาพ่อ
ขันคว่ำบอกความชี้ เลิกแล้วมิหวน
ข.เข้านอนดีกว่า
#7
โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 11:21 PM
ลองตีความตามที่เขียนมา
1.มารไม่มี บารมีจึงไม่เกิด
2.มารมี บารมีจึงเกิด
มาร แปลตามตัวคือ สิ่งที่ขัดขวางเรา
ถ้าเรามีสิ่งที่ขัดขวางเราไม่ให้เราสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่ บารมีจะเกิดได้ไงครับ
ออด!!! ผิดแล้วครับ
มันต้องพูดว่า
มารมีบารมีลด มารหมดบารมีเพิ่ม ต่างหากละครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#8
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 01:26 AM
"รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ"
แปลว่า การคบหากับมิตรสหายนั้นถ้าต้องการคบหากันให้ยั่งยืนให้หมั่นบั่นเอาส่วนที่เสียๆ ของกันและกันออกไป
แต่ถ้าต้องการให้มิตรภาพสั้นลงก็ให้ต่อความยาวสาวความยืดเพ่งโทษต่อกันนั่นเอง
เพราะฉะนั้นถ้ารักจะร่วมบุญหรือความดีต่อกันไปทุกภพทุกชาติ ก็ต้องรู้จักมองแต่ในส่วนดีๆ ของกันและกันนะครับ
ส่วนเรื่องไหนที่ขัดใจไม่ดีก็ทำเป็นหูกะทะไม่รู้ไม่ชี้ไปครับเพื่อมิตรภาพที่ยั่งยืนต่อไปครับ
#9
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 08:00 AM
ต่อนหน้ามะพลับลับหลังตะโก
ต่อหน้าทำเป็นดี แต่พอลับหลังก็นินทาหรือหาทางทำร้าย เหมือนหน้าไหว้หลังหลอก
ต่อหน้า ทำนอบน้อม จำนรรจ์
มะพลับ หวานเพียงกัน อิ่มได้
ลับหลัง ติฉินพลัน ผิดร่าง มานา
ตะโก นาพลิกไซร้ ต่อหน้าลับหลัง
ก.เก่งและดี
#10
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 08:50 AM
ความหมาย: สิ่งที่เราได้พูดออกไปแล้วว่าจะทำว่าจะปฏิบัติ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน เราต้องทำให้สำเร็จให้ได้.... ชิตังเม
อนุโมทนาบุญครับ
#11
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:37 AM
#12
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 11:32 AM
#13
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 04:10 PM
#14
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 04:16 PM
รนหาเรื่องเดือดร้อน
แกว่ง กวัดไกวแส่เท้า เสี้ยนตำ
เท้า เจ็บเพราะตัวทำ เรื่องร้อน
หา เหตุใช่เงื่อนงำ จากอื่น เปล่าเฮย
เสี้ยน ปักความสะท้อน เรื่องร้ายหาเอง
#15
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 05:37 PM
ก็ผู้นั้นนั่นแหละบ้าจึงว่าเขา
เราไม่บ้าใครมาเที่ยวว่าเรา
มันก็เข้าคนที่ว่าเป็นบ้าเอง
พระนิพนธ์ใน พระนางเธอลักษมีลาวัณ ในรัชกาลที่ 6
(พระนางเธอปรีชาสามารถมากเลยครับ)
DMC The only one
ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก
ไม่หยุดไม่ถึงพระ ตัวหยุดนี้แหละเป็นตัวสำเร็จ
ผลไม้ดกนกชุม น้ำเย็นปลาชอบอาศัย
คติธรรม พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
#16
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 08:49 PM
#17
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:28 PM
The Strongest Is The Gentlest !
หมายถึง ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้มีมีความสุภาพนุ่มนวลที่สุด
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#18
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:33 PM
หมายถึง ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้มีมีความสุภาพนุ่มนวลที่สุด
สาธุครับ
ปล. วันคุ้มครองโลกที่ผ่านมาผมแอบเห็นพี่ด้วยแหละ พี่ถือกระเป๋าสานสีแสด หิ้วถุงเดอะมอลล์ ใช้โทรศัพท์มือถือประจำตัวสีแดง ใส่ปลอกแขนอาสาสมัครสีฟ้าใช่ไหมครับ? ขอกราบอนุโมทนาบุญกับการทำหน้าที่ในวันนั้นของพี่ด้วยนะครับ สาธุ...
#19
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 11:06 PM
เมื่อรักยาวดีกว่าสั้นต่อกันเข้า
รักสั้นเอามีดบั่นปั่นขยาย
มิใช่ตายแต่เขาเราก็ตาย
มาดูที่มากันครับ - -* ขี้เกียจพิมพ์เลย สแกนมาให้ ดูกันคร๊าบ
[attachmentid=4360]
ไฟล์แนบ
#20
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 02:21 AM
โอ โห คุณ เกียรติก้องฯ เหมือน inspector Gadjet เลย สังเกตุได้เยี่ยมจริงๆ
น้าจี้
#21
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 03:11 PM
รู้จักผ่อนปรนเข้าหากัน มิให้กระทบกระเทือนใจกันถนอมน้ำใจไม่ให้ขุ่นเคืองกัน
แตะบัวบัวอาจซ้ำ หมองสี
กระทบธารวารี ขุ่นข้อง
ุถนอมก่อไมตรี ยามร่วม เคียงนา
เธอท่านเขาเราพ้น คับข้องเคืองใจ
#22
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 08:12 PM
พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว
#23
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 08:14 PM
เวรสนองเวร กรรมสนองกรรม
กงเวียนหมุนเล่นล้อ รอยกง
เปรียบเฉกกรรมหมายตรง สู่เจ้า
ใครทำก่อกรรมคง คืนสู่ ใครแล
กรรมย่อมตามรอยเข้า แก่ผู้กอบกรรม
สำนวน กงเกวียนกำเกวียน ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า ใช้เป็นคำอุปมา หมายความว่า เวรสนองเวร กรรมสนองกรรม เช่น ทำแก่เขาอย่างไร เขาก็ทำแก่ตนอย่างนั้นเป็นกงเกวียนกำเกวียน การหมุนเวียนไปตามสภาพ
สำนวนนี้มีที่มาคือ ล้อเกวียน ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วน คือ ดุม กำ และกง ดุมเป็นส่วนกลางล้อเกวียนมีรูสำหรับสอดเพลา กำเป็นซี่ล้อ และกงเป็นส่วนรอบของล้อ เรียกรวมทั้งหมดว่ากงเกวียน เมื่อใดที่กงเกวียนหมุนรอบเพลา กำเกวียนก็หมุนตามไป เปรียบเหมือนกับการกระทำว่าทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น ทั้งในด้านบวกและด้านลบ แต่ปัจจุบันมักจะนึกถึงแต่ด้านลบเท่านั้น
สำนวนนี้มีบางคนใช้คลาดเคลื่อนเป็น กงกรรมกงเกวียน เพราะคิดว่า กำ คือ กรรม สำนวนจึงเปลี่ยนไป
#24
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 10:36 PM
พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้ แปลว่า พูดหรือกระทำอะไรโดยพลั้งเผลอไม่รอบคอบเสียก่อน ย่อมเกิดความเสียหาย
ตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน แปลว่า ทำความผิดหรือล่วงละเมิดผู้อื่นในที่แจ้ง แต่ยอมรับผิดในที่ลับ หรือยอมรับผิดไม่สมกับความร้ายแรงของความผิดนั้น
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แปลว่า พูดไปไม่มีประโยชน์ ทำใจหยุดใจนิ่งเสียจะดีกว่า หุหุหุ
#25
โพสต์เมื่อ 05 May 2006 - 07:27 AM
มากคนมากเรื่อง
มาก หมอทนายแนะให้ แนวทาง
หมอ หนึ่งกำหนดวาง เยี่ยงนี้
มาก หมอยิ่งเลือนลาง เกินกว่า แก้นา
ความ ว่าหลายคนชี้ รุ่มร้อนรำคาญ
#26
โพสต์เมื่อ 05 May 2006 - 12:58 PM
อุ๊ยหย่า... คุณก้อง แม่นจัง ถูกเปะเลยค่ะ
(โอ้ย..เขินจาง ถูกแอบมองอย่างละเอียด ดีนะที่ไม่ได้ใช้ตาทิพย์ตรวจดูลึกกว่านั้นนะเนี่ย)
ไหงแอบเห็นพี่หละ ที่หลังก็เข้ามาทักกันหน่อยนะคะ จะได้รู้ว่าคุณเป็นใครหน้าตาแบบไหนบ้าง
(อย่างงี้เสียเปรียบ)
เฉลย...กระเป๋าสานสีแดงถืออยู่ในมือข้างล่าง มือถือสีแดงอยู่ในกระเป๋าสาน เลยไม่เห็นในรูป
ไฟล์แนบ
#27
โพสต์เมื่อ 05 May 2006 - 05:40 PM
#28
โพสต์เมื่อ 06 May 2006 - 06:52 PM
ถ้าพูด หรือทำสิ่งใดด้วยใจชั่ว ความทุกข์ย่อมติดตามตัวเขา เหมือนล้อหมุนเต้าตามเท้าโค"
#29
โพสต์เมื่อ 27 February 2007 - 04:47 PM
#30
โพสต์เมื่อ 02 November 2008 - 01:03 AM