ทำไมเราถึงพูดถึงแต่บุญคุณพ่อแม่ แล้ว ปู่ย่าตายาย ทวด หละ ทำไมเราไม่เห็นพูดถึงกันบ้างเลย
1 ถ้าไม่มีท่าน ก็ไม่มีพ่อกับแม่นะ
2 ปู่ย่า หรือ ตายาย ก็เลี้ยงดูมาเหมือนกันนะ โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวขยาย
![](http://www.gravatar.com/avatar/d41d8cd98f00b204e9800998ecf8427e?s=100&d=https%3A%2F%2Fwww.dmc.tv%2Fforum%2Fpublic%2Fstyle_images%2Fmaster%2Fprofile%2Fdefault_large.png)
ทำไมเราถึงพูดถึงแต่บุญคุณพ่อแม่ แล้ว ปู่ย่าตายาย ทวด หละ
เริ่มโดย
*Guest*
, Apr 04 2005 07:02 PM
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
*Guest*
โพสต์เมื่อ 04 April 2005 - 07:02 PM
#2
โพสต์เมื่อ 04 April 2005 - 11:21 PM
ถ้างั้นเราก็ต้องพูดถึงปู่ทวด ปู่ของปู่ทวด ปู่ของปู่ของปู่ทวด ปู่ของปู่ของปู่ของปู่ของปู่ทวด และต่อไปเรีอยๆๆๆ เพราะถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีเราเช่นกัน หุหุหุ
ปู่ย่าตาทวดก็เป็นผู้มีพระคุณกับเราเหมือนกัน ยิ่งถ้าได้เลี้ยงดูเราตอนเด็กๆแล้วด้วย ยิ่งเป็นพระคุณต่อเรามากขึ้นไปอีก
แต่ีพ่อแม่เราเป็นผู้ให้กำเนิดเราโดยตรง เป็นผู้ให้กายเนื้อเรามา เป็นกายที่สร้างบารมีได้ดีที่สุด
แค่่ท่านให้กำเนิดเรามาโดยไม่ได้เลี้ยงดูเรา พระคุณท่านยังทดแทนไม่หมดเลย
ยิ่งท่านเลี้ยงเรามาจนกว่าจะโตถึงตอนนี้ หุหุ บุญคุณท่วมฟ้าเลย
ปู่ย่าตาทวดก็เป็นผู้มีพระคุณกับเราเหมือนกัน ยิ่งถ้าได้เลี้ยงดูเราตอนเด็กๆแล้วด้วย ยิ่งเป็นพระคุณต่อเรามากขึ้นไปอีก
แต่ีพ่อแม่เราเป็นผู้ให้กำเนิดเราโดยตรง เป็นผู้ให้กายเนื้อเรามา เป็นกายที่สร้างบารมีได้ดีที่สุด
แค่่ท่านให้กำเนิดเรามาโดยไม่ได้เลี้ยงดูเรา พระคุณท่านยังทดแทนไม่หมดเลย
ยิ่งท่านเลี้ยงเรามาจนกว่าจะโตถึงตอนนี้ หุหุ บุญคุณท่วมฟ้าเลย
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#3
*Guest*
โพสต์เมื่อ 05 April 2005 - 08:10 AM
พ่อแม่ใกล้ต้วเรามากที่สุด เพราะตอนนี้สังคมเราไม่เหมือนในยุคอดีตที่อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่
บุญคุณบรรพบุรุษนะ พวกเราก็ซึ้งใจ แต่ก็ซึ้งใจ ตามประสาหลาน ๆ เหลน ๆ ไป ว่า ท่านมีพระคุณต่อพ่อแม่เรา เลี้ยงดูพ่อแม่เรามา ทำให้เรามีพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเราในชาตินี้
พระคุณของพ่อแม่เรา ใกล้ตัวเรา ทำให้คิดได้ง่ายกว่า ถึงแม้ท่านจะเลี้ยงดูเรามาทั้งที่แบบที่ดีบ้างและไม่ดีบ้างก็ตามนะ แต่ท่านก็ประคับคองชีวิตเรามาถึงจนโต รอดปากเหยี่ยวปากกามานะ หรือแม้แต่กระทั่งไม่ได้เลี้ยงดูเลย ไม่ได้ส่งเสียเลยก็ตาม ก็ยังถือว่า เป็นผู้ให้กำเนิด มีพระคุณมากล้นเกินพรรณานะ
บุญคุณบรรพบุรุษนะ พวกเราก็ซึ้งใจ แต่ก็ซึ้งใจ ตามประสาหลาน ๆ เหลน ๆ ไป ว่า ท่านมีพระคุณต่อพ่อแม่เรา เลี้ยงดูพ่อแม่เรามา ทำให้เรามีพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเราในชาตินี้
พระคุณของพ่อแม่เรา ใกล้ตัวเรา ทำให้คิดได้ง่ายกว่า ถึงแม้ท่านจะเลี้ยงดูเรามาทั้งที่แบบที่ดีบ้างและไม่ดีบ้างก็ตามนะ แต่ท่านก็ประคับคองชีวิตเรามาถึงจนโต รอดปากเหยี่ยวปากกามานะ หรือแม้แต่กระทั่งไม่ได้เลี้ยงดูเลย ไม่ได้ส่งเสียเลยก็ตาม ก็ยังถือว่า เป็นผู้ให้กำเนิด มีพระคุณมากล้นเกินพรรณานะ
#4
โพสต์เมื่อ 05 April 2005 - 11:02 AM
ครั้งหนึ่ง มีหลวงตาองค์หนึ่ง เปิดประตูหน้าวัดมา เห็นมีคนนำเด็กทารกมาวางทิ้งไว้ ด้วยจุดประสงค์ คงจะเหมือนนิยายหลายๆ เรื่องแน่นอน คือ นำลูกมาทิ้ง หลวงตาจึงนำเด็กมาเลี้ยงไว้ที่วัดแทน เมื่อเด็กเจริญวัยขึ้น ถูกเด็กวัดคนอื่นล้อเลียนทุกวันๆ ว่า ไอ้ลูกไม่มีพ่อมีแม่ เด็กน้อยก็สั่งสมความเกลียดพ่อแม่เพิ่มขึ้นทุกวัน ว่าให้กำเนิดเขามา แต่ทำไมไม่เลี้ยงดูเขา พ่อแม่เช่นนี้ไม่มีบุญคุณอะไรเลย มีแต่สร้างความยากลำบากให้กับเขาแทน
หลวงตาผู้มองการณ์ไกล เห็นแล้วว่า ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ เพราะคนที่เกลียดพ่อแม่ โตขึ้นไปทำหน้าที่การงานอะไรก็หวังความเจริญได้ยาก ดังนั้น เมื่อมีโอกาสหลวงตาก็เรียกเด็กน้อยมาคุยด้วย
หลวงตา : เป็นไงอยู่วัดนี่มาตั้งหลายปี มีอะไรติดขัดมั้ย
เด็กน้อย : เรื่องอาหารการกิน ที่พักหลับนอนไม่มีปัญหาครับ มีแต่พ่อแม่ของผมนี่แหละครับ ที่ไม่รู้จักรับผิดชอบ ปล่อยให้ผมต้องมาลำบาก ถูกคนอื่นล้อเลียนอย่างนี้
หลวงตา : หลวงตาขอถามปัญหาอย่างหนึ่ง ถ้าสมมุติมีใครสักคน มาจ้างให้เจ้าไปเป็นคนใช้เขา โดยบอกว่า จะให้เงินเจ้าสัก 20,000 บาท เจ้าจะว่ายังไงล่ะ
เด็กน้อย : จริงหรือครับ เขาจะมาเมื่อไหร่ครับ โอ้ ผมยินดีจะไปลูกน้องรับใช้เขาสักปีหนึ่งเลยครับ เพราะอย่าว่าแต่เงินหมื่นเลย แค่แบงค์พัน ผมยังไม่เคยเห็นเลยครับ
หลวงตา : ข้าแค่สมมุติเท่านั้นโว้ย เอาอย่างนี้ถามต่อ แล้วถ้าเขาบอกว่า จะให้เจ้าสักหนึ่งล้านบาทล่ะ หนึ่งล้านเชียวนะ
เด็กน้อย : โอ้โห แต่เป็นไม่ได้หรอกครับมันมากเกินไป แต่ถ้ามีใครมาให้จริง ผมจะยอมไปเป็นลูกน้องเขาตลอดชีวิตเลยครับ มีอะไรจะใช้งานยินดีรับใช้ทุกอย่างครับ
หลวงตา : ดีมากๆ รู้คุณคนดี อย่างนี้ไปอยู่ไหน ก็เจริญ แล้วถ้าเขาไม่ขอให้เอ็งเป็นลูกน้องล่ะ แต่ขอสิ่งของแลกเปลี่ยนบางอย่างจากเอ็ง
เด็กน้อย : ของแลกเปลี่ยนหรือครับ อย่างผมจะไปมีของแลกเปลี่ยนอะไรได้ครับ
หลวงตา : ก็ไม่มากหรอก 1 ล้านนี้ ขอแลกกับ แขนหรือขา ของเอ็งสักข้าง ข้างเดียวก็พอ
เด็กน้อย : หา ไม่มีใครยอมหรอกครับ หลวงตา อย่าว่าแต่แขนเลย ขอแค่มือ ผมก็ไม่ให้ครับ
หลวงตา : (ยิ้ม) งั้นเหรอ ถ้าเขาให้ 1 ล้าน เจ้าสำนึกบุญคุณ ถึงกับจะยอมไปเป็นลูกน้องเขาตลอดชีวิต แต่ถ้าแลกกับแขนหรือขา หรือมือ เอ็งไม่เอา แล้วแขนหรือขา ของเอ็งนี่ เอ็งได้มาจากใคร ใครให้เอ็งมา เข้าใจหรือยังล่ะ ว่าพ่อแม่มีพระคุณมากมายขนาดไหน แม้ไม่ได้เลี้ยงเรามาก็เถอะ เอ็งก็เป็นเด็กฉลาด ลองเก็บเอาไปคิดก็แล้วกัน
ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว เด็กน้อยจะคิดออกมาอย่างไร แต่หลวงตาก็ภูมิใจแล้วว่า ท่านได้พยายามปลูกฝังเม็ดพันธุ์แห่งความดีงามลงไปในใจเด็กน้อยแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของเวลา และผมเองก็ภูมิใจ ที่ได้นำความพูดของหลวงตาของถ่ายทอดให้ทุกท่านทราบกันครับ (แต่ผมไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้นนะครับ)
หลวงตาผู้มองการณ์ไกล เห็นแล้วว่า ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ เพราะคนที่เกลียดพ่อแม่ โตขึ้นไปทำหน้าที่การงานอะไรก็หวังความเจริญได้ยาก ดังนั้น เมื่อมีโอกาสหลวงตาก็เรียกเด็กน้อยมาคุยด้วย
หลวงตา : เป็นไงอยู่วัดนี่มาตั้งหลายปี มีอะไรติดขัดมั้ย
เด็กน้อย : เรื่องอาหารการกิน ที่พักหลับนอนไม่มีปัญหาครับ มีแต่พ่อแม่ของผมนี่แหละครับ ที่ไม่รู้จักรับผิดชอบ ปล่อยให้ผมต้องมาลำบาก ถูกคนอื่นล้อเลียนอย่างนี้
หลวงตา : หลวงตาขอถามปัญหาอย่างหนึ่ง ถ้าสมมุติมีใครสักคน มาจ้างให้เจ้าไปเป็นคนใช้เขา โดยบอกว่า จะให้เงินเจ้าสัก 20,000 บาท เจ้าจะว่ายังไงล่ะ
เด็กน้อย : จริงหรือครับ เขาจะมาเมื่อไหร่ครับ โอ้ ผมยินดีจะไปลูกน้องรับใช้เขาสักปีหนึ่งเลยครับ เพราะอย่าว่าแต่เงินหมื่นเลย แค่แบงค์พัน ผมยังไม่เคยเห็นเลยครับ
หลวงตา : ข้าแค่สมมุติเท่านั้นโว้ย เอาอย่างนี้ถามต่อ แล้วถ้าเขาบอกว่า จะให้เจ้าสักหนึ่งล้านบาทล่ะ หนึ่งล้านเชียวนะ
เด็กน้อย : โอ้โห แต่เป็นไม่ได้หรอกครับมันมากเกินไป แต่ถ้ามีใครมาให้จริง ผมจะยอมไปเป็นลูกน้องเขาตลอดชีวิตเลยครับ มีอะไรจะใช้งานยินดีรับใช้ทุกอย่างครับ
หลวงตา : ดีมากๆ รู้คุณคนดี อย่างนี้ไปอยู่ไหน ก็เจริญ แล้วถ้าเขาไม่ขอให้เอ็งเป็นลูกน้องล่ะ แต่ขอสิ่งของแลกเปลี่ยนบางอย่างจากเอ็ง
เด็กน้อย : ของแลกเปลี่ยนหรือครับ อย่างผมจะไปมีของแลกเปลี่ยนอะไรได้ครับ
หลวงตา : ก็ไม่มากหรอก 1 ล้านนี้ ขอแลกกับ แขนหรือขา ของเอ็งสักข้าง ข้างเดียวก็พอ
เด็กน้อย : หา ไม่มีใครยอมหรอกครับ หลวงตา อย่าว่าแต่แขนเลย ขอแค่มือ ผมก็ไม่ให้ครับ
หลวงตา : (ยิ้ม) งั้นเหรอ ถ้าเขาให้ 1 ล้าน เจ้าสำนึกบุญคุณ ถึงกับจะยอมไปเป็นลูกน้องเขาตลอดชีวิต แต่ถ้าแลกกับแขนหรือขา หรือมือ เอ็งไม่เอา แล้วแขนหรือขา ของเอ็งนี่ เอ็งได้มาจากใคร ใครให้เอ็งมา เข้าใจหรือยังล่ะ ว่าพ่อแม่มีพระคุณมากมายขนาดไหน แม้ไม่ได้เลี้ยงเรามาก็เถอะ เอ็งก็เป็นเด็กฉลาด ลองเก็บเอาไปคิดก็แล้วกัน
ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว เด็กน้อยจะคิดออกมาอย่างไร แต่หลวงตาก็ภูมิใจแล้วว่า ท่านได้พยายามปลูกฝังเม็ดพันธุ์แห่งความดีงามลงไปในใจเด็กน้อยแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของเวลา และผมเองก็ภูมิใจ ที่ได้นำความพูดของหลวงตาของถ่ายทอดให้ทุกท่านทราบกันครับ (แต่ผมไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้นนะครับ)
#5
โพสต์เมื่อ 06 April 2005 - 01:00 AM
อนุโมทนากับคุณหัดฝันครับ เรื่องเล่านี้ดีมากครับ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อนะครับ
I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.
Someday I'm gonna be free.
#6
โพสต์เมื่อ 06 April 2005 - 06:34 PM
ขอเลียนแบบคำพูดครูไม่ใหญ่นะครับ
อนุมัติ และอนุโมทนาคร้าบบบบบบ
อนุมัติ และอนุโมทนาคร้าบบบบบบ
#7
โพสต์เมื่อ 30 January 2007 - 04:08 PM
กราบอนุโมทนาบุญกับท่าน หัดฝัน เนื้อเรื่องดี สาธุ