![](http://www.gravatar.com/avatar/d41d8cd98f00b204e9800998ecf8427e?s=100&d=https%3A%2F%2Fwww.dmc.tv%2Fforum%2Fpublic%2Fstyle_images%2Fmaster%2Fprofile%2Fdefault_large.png)
ควรทำยังไงให้หายโกรธ
#1
*Guest*
โพสต์เมื่อ 05 April 2005 - 06:36 PM
2 แล้วถ้าเป็นเรื่องใหญ่หละ เช่น เขาทำความลำบากให้เราอย่างมากเลย พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็ เดือดร้อนด้วย มันหายโมโห ยากนะ
ขอบคุณครับผม
#2
โพสต์เมื่อ 06 April 2005 - 12:52 AM
-----------------------------
คำถาม
หลวงพ่อคะ เราสามารถฝึกการให้อภัยได้อย่างไรคะ?
คำตอบ
การที่จะให้อภัยคนอื่นได้มีความจำเป็นว่า จะต้องฝึกตัวฝึกใจให้มีคุณสมบัติดังนี้
1. ตรึกระลึกถึงคุณความดีของเขาที่มีต่อเรา ให้ทบทวน ค้นหา มองดูทุกแง่ทุกมุม
ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เพราะจะทำให้ใจเราชื่นบานขึ้น
2. คิดถึงความผิดพลาดที่แม้เราเองก็เคยทำกับเขา หรือกับคนอื่นมาก่อนเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นถ้าเขาจะทำกับเราบ้านก็เป็นเรื่องที่น่าอภัย เพราะต่างก็ยังไม่หมดกิเลสด้วยกันทั้งนั้น
โอกาสผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้
3. คำนึงถึงโทษของการผูกโกรธ ว่าจะทำให้เดือดร้อนด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่างนั้นก็ทำให้ใจขุ่นมัว
ถึงกับยิ้มไม่ออก หรือรุ่มร้อนขัดเคืองใจ จนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ
4. นึกถึงคุณของการให้อภัย โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ผู้ฆ่าความโกรธทิ้งเสียได้เท่านั้น
จึงจะมีสิทธิ์นอนหลับเป็นสุข ดังพุทธพจน์ที่ว่า "โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ผู้ฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข"
เมื่่อหมั่นพิจารณาทบทวนถึงเหตุผลทั้ง 4 ประการนี้เป็นประจำก็จะทำให้จิตใจของเราละเอียดอ่อน
มีเมตตา สามารถให้อภัยแก่ผู้อื่นได้ง่ายๆ แต่การที่ใครก็ตามจะสามารตรองตามเหตุผลทั้ง 4 ประการนี้ได้
มีความจำเป็นว่าต้องหมั่นนั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน
ใจจึงจะกว้างขวางมีคุณภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะปะทะอารมณ์บูดเน่าของผู้อื่นได้ทุกรูปแบบ
-----------------------------
สรุปแล้วคือ เจ้าของกระทู้ต้องนั่งสมาธิแผ่เมตตาเยอะๆก่อนครับ
แล้วค่อยมาพิจารณาสี่ข้อข้างต้น
อย่าลืมว่าการให้อภัยเป็นทานอย่างหนึ่งนะครับ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#3
*Guest*
โพสต์เมื่อ 13 April 2005 - 04:57 PM
ทำไงดีเนี่ย แค่ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว
#4
โพสต์เมื่อ 13 April 2005 - 05:20 PM
ผมจะทวนซ้ำให้ตรงย่ิิอหน้าสุดท้ายของบทความละกัน
------------------
สรุปแล้วคือ เจ้าของกระทู้ต้องนั่งสมาธิแผ่เมตตาเยอะๆก่อนครับ
แล้วค่อยมาพิจารณาสี่ข้อข้างต้น
อย่าลืมว่าการให้อภัยเป็นทานอย่างหนึ่งนะครับ
------------------
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#5
*Guest*
โพสต์เมื่อ 13 April 2005 - 05:49 PM
#6
*Guest*
โพสต์เมื่อ 13 April 2005 - 05:51 PM
#7
โพสต์เมื่อ 14 April 2005 - 02:57 PM
ลองหยิกตัวเอง แล้วสั่งตัวเองว่า "จงหายเจ็บ"
เรายังอยากให้ตัวเองเป็นอย่างที่ใจเราต้องการไม่ได้
เราจะอยากให้คนอื่นเป็นอย่างที่ใจเราต้องการยิ่งยาก
- ถ้าโกรธเพราะเขามาทำเรา
ก็คิดว่าเราทำเขามาก่อน
สรปุ ก็คือ ทำใจ
ทำใจให้นิ่ง ให้ใส ดีที่สุด
#8
โพสต์เมื่อ 27 April 2005 - 03:19 AM
๑.) ให้มองเห็นมนุษย์ทุกคนที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็น "พระธรรมกาย" ให้หมด (เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์แล้วนั้น ล้วนแต่มีพระธรรมกายอยู่ภายในทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะมีความแตกต่างกันทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ก็ตามเรียกกันว่า "มีมนุษย์ที่ไหน มีธรรมกายที่นั่น")
๒.) ให้มองดูผู้ที่มาล่วงเกินเราว่าเขาเหล่านั้นที่แท้จริงแล้วก็คือ "กระจกส่องกรรม" ของเรานั่นเอง (ถึงเวลานี้ เมื่อมองแล้วอย่ามองเปล่านะครับ ให้คุณนำสิ่งเหล่านั้นมาสอนใจตัวคุณเองว่า อ๋อ!!! นี่คือตัวเราในครั้งเมื่อก่อน (หมายเอา อดีตชาติและ/หรืออดีตในปัจจุบันชาติก็ได้) นะ เราช่างร้ายเสียนี่กระไร ตัวเราเป็นได้/ประพฤติเลวได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ??? (ปล.ข้าพเจ้าเคยใช้วิธีนี้แล้วก็ให้รู้สึกขำตัวเองเสียด้วยซ้ำ (ในบางครั้ง) และด้วยวิธีนี้เองจะทำให้เราสามารถมอง (ตัวตนของ) ตนเองและมองผู้อื่นได้อย่างเข้าใจ นอกจากนั้นยังทำให้ทราบถึงต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นอีกด้วย ผลที่ตามมาก็คือ จะทำให้เราโกรธใครไม่เป็น น้อยใจใครไม่เป็น และรักเพื่อนมนุษย์ทุกๆ คน ดั่งเช่นที่ตัวเรารักตัวของเราเอง)) อีกทั้งยังเป็นเสมือน "กระจกวิเศษ" ที่ทำให้เราทราบถึงข้อบกพร่องและผิดพลาดของตัวเราที่ควรปรับปรุงแก้ไข และที่จะต้องฝึกฝนอบรมตัวเองให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
๓.) ข้อนี้สำหรับผู้ที่หมั่นฝึกฝนอบรมจิตของตนเองเป็นประจำนะครับ ถ้าหากยังมีอารมณ์ดังกล่าวมากระทบจิตให้เกิดความขุ่นเคือง (ปฏิฆะ) โกรธ (โกธะ) หรือให้นึกบันดาลโทสะ ขึ้นมาก็ตาม ขอให้ท่านรู้ไว้เลยว่า "ขณะนี้จิตของท่านไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางกาย" ซึ่งปัญหาที่มักพบเสมอก็คือ "การที่คุณเอาจิตของคุณไปผูกไว้กับคน (รวมไปถึงสัตว์และสิ่งของ) ที่ตนโกรธ/ขุ่นเคือง" ถึงตอนนี้ให้ท่านนำจิตของท่านกลับมาตั้งไว้ให้ถูกที่ (เพราะคุณยายอาจารย์ฯ ท่านเคยสอนบุคลากร ตลอดจนอุบาสก อุบาสิกา สาธุชนที่เข้าวัดในสมัยก่อนนะครับว่า "ที่คนเราเป็นทุกข์กันนั่นน่ะ เป็นเพราะเรานำเอาใจของเราไปตั้งไว้ผิดที่" (หมายถึง ไม่ได้นำใจมาตั้งไว้ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗)) และเมื่อคุณได้ตั้งจิตไว้ถูกที่แล้วก็ให้สอนตัวเอง เตือนจิตของตนเองว่า (ที่กระผมมักใช้เป็นประจำ) "นี่ (มึงหนอมึง) โง่ (เคยได้ยินไหมครับที่โบราณท่านสอนว่า "โกรธ คือ "โง่" โมโห คือ "บ้า" อิจฉาริษยา คือ "ฆ่าตัวตาย"") อีกแล้ว ยอมเป็นทาสของขันธ์ ๕ ยอมให้ขันธ์ ๕ มาคุมจิตตัวเอง" อย่างนี้เป็นต้น (ท้ายที่สุดนี้ หากกระผมใช้ภาษาแรงเกินไป ต้องกราบขออภัยด้วยนะครับ)
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
โพสต์เมื่อ 01 May 2005 - 01:39 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#10
โพสต์เมื่อ 13 May 2005 - 01:22 AM
โทษของเรามองไม่เห็นเท่า เส้นผม
ตด ผู้อื่นบ่นเบื่อเหม็นเหลือทน
ตด ของตนถึงจะเหม็นไม่เป็นไร"
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#11
โพสต์เมื่อ 30 January 2007 - 04:00 PM