นางในฝัน
#1
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 09:29 AM
วิชาศีลธรรมในสมัยที่ผมเป็นนักเรียนค่อนข้างน่า เบื่อ ยังโชคดีที่มีตำนานสนุกๆ แทรกเข้ามาบ้าง ดังเช่นเรื่องนี้ ปุณณวัฒนกุมาร เป็นบุตรชายของเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี พ่อแม่อยากให้แต่งงาน แต่แกไม่ยอม แต่งเสียที เมื่อทนรบเร้าไม่ได้ ก็ตั้งข้อเสนอว่าหากหาหญิงสาวที่มีคุณสมบัติห้า อย่างนี้มาได้ เขาจึงจะยอมแต่งงาน สเป็คฯที่ว่านี้เรียกว่า เบญจกัลยานี อัน ได้แก่
1 เกสกลฺยาณํ ผมงาม คือ หญิงผู้มีผมยาวถึง สะเอวแล้วปลายผมงอนขึ้น
2 มงฺสกลฺยาณํ เนื้องาม คือหญิงผู้มีริมฝีปากแดง ดุจผลตำลึงสุกและเรียบชิดสนิทกันดี
3 อฏฐิกลฺยาณํ กระดูกงาม คือหญิงผู้ มีฟันสีขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน
4 ฉวิกลฺยาณํ ผิวงาม คือหญิงผู้ มีผิวกายงามละเอียดสวยงาม
5 วยกลฺยาณํ วัยงาม คือ หญิงผู้ที่แม้จะคลอด บุตรกี่ครั้ง ก็ยังคงเต่งตึงไม่หย่อนยาน
อืม! ไม่ขอมากเลย นะ
สังเกตว่าทั้งห้าข้อเป็นคุณสมบัติทางกายภาพทั้งสิ้น
ตำนานเล่าต่อไปว่า ฝ่ายพ่อแม่ก็ไม่ย่อท้อ ส่งพราหมณ์ไปเป็นแมวมองค้นหาหญิงสาว ตามสเป็คฯนี้จนพบเข้าคนหนึ่งในเมืองสาเกต ชื่อนางวิสาขา ยามนั้นนางวิสาขาพร้อม ทั้งหญิงบริวารออกมาเที่ยวเล่นกัน ฝนเทลงมาอย่างหนัก หญิงบริวารทั้งหลายพากัน วิ่งหลบหนีฝนเข้าไปในศาลา แต่นางวิสาขายังคงเดินด้วยฝีเท้าปกติ พราหมณ์แมวมอง รู้สึกแปลกใจยิ่ง ถามนางว่า "ทำไมเธอจึงไม่วิ่งหลบหนีฝนเหมือนกับหญิง อื่นๆ ?"
คำตอบของนางคือ เป็นหญิงสาววิ่งแล้วดูไม่งาม หากหกล้มอาจเสีย โฉมพิการ หมดคุณค่าไป (ความจริงนางตอบยาวกว่านี้มาก)
แสดงว่านางวิสาขา ไม่เพียงแต่สวย ยังฉลาดด้วย นับว่าเป็นความโชคดีของปุณณวัฒนกุมารที่นางวิสาขามิ ได้กำหนดสเป็คฯ 'เบญจบุรุษ' ด้วย
ก่อนส่งตัว บิดาของนางวิสาขาเรียกนางไป ให้โอวาทสิบประการ
เชื่อแน่ว่าตัวละครในภาพยนตร์และละคร โทรทัศน์ในสมัยหนึ่งที่ว่าด้วยการต่อสู้ระหว่างแม่ผัว-ลูกสะใภ้คงไม่เคยปฏิบัติ ตามโอวาทสิบประการนี้ แม่ผัวกับลูกสะใภ้จึงทะเลาะกันในละครมานานหลายสิบ ปี
หลายคนในสมัยนี้คงบอกว่า โอวาทสิบประการนี้เข้าข่ายละเมิดสิทธิสตรี อย่างยิ่ง เป็นการอบรมสร้าง 'ช้างเท้าหลัง' อย่างแท้จริง พูดสั้นๆ คือบทบาทของ หญิงเป็นเพียงทาสรับใช้ชายเท่านั้น
ทว่าเราคงใช้ข้อแม้ทางสังคมในยุคอินเทอร์เน็ตเป็นมาตรวัดพฤติกรรมคนในสมัยสองพันห้าร้อยปีก่อนไม่ได้
คำถาม ที่น่าสนใจมากกว่าคือ มาถึงพ.ศ.นี้ มีข้อใดในโอวาทสิบประการนี้ที่ยังใช้ได้ หรือว่าล้าสมัยไปหมดแล้ว?
ดูเหมือนเหลืออยู่ไม่กี่ข้อที่ว่าด้วยการไม่ เป็นคนขี้นินทาและมีเมตตา
ส่วนการบริโภคอาหารหลังสามีและพ่อผัว แม่ผัว ออกจะเป็นเรื่องที่ไม่ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวอย่างไร พิกล
สังคมปัจจุบันต้องการ 'โอวาทสิบประการ' เสมอ แต่มัน เปลี่ยนไปตามปัจจัยต่างๆ
ในสภาพสังคมที่เงินทองหายาก ภรรยาจำนวนมาก ต้องออกหาเงินนอกบ้านอีกแรงหนึ่งด้วย กระนั้นสามีหลายคนยังคาดหวัง (ด้วยความ โลภ) ว่า บทบาทของ เบญจกัลยานี ต้องไม่ลดลง พูดง่ายๆ ว่า หญิงสาวนอกจากต้องทำ งานนอกบ้านหาเงินมาช่วยด้านการเงินแล้ว ยังต้องดูแลเรื่องการกินอยู่ ซักผ้า ล้างจานด้วย จึงจะเป็นยอดภรรยา
ผ่านมาหลายพันปี สเป็คฯของผู้ชายเราไม่ เคยเปลี่ยนเลยคือ เอาแต่ได้จริงๆ !
อาจจะจริงอย่างที่คนโบราณว่า เกิด เป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก เพราะโลกนี้ยังเป็น ปิตาธิปไตย จริงๆ
ชายยังคาด หวังว่าหญิงต้องเป็นคนดูแลตน ส่วนหญิงจำนวนไม่น้อยก็ยังตกอยู่ในกับดักของความเชื่อที่ว่า ต้องเอาใจชาย มิเช่นนั้นเขาอาจเปลี่ยนใจ
การเอาใจส่วนหนึ่ง ก็คือการรักษาสภาพร่างกายของตนเองให้มีเสน่ห์ยวนใจเสมอๆ เราก็จึงยังเป็นสังคม ที่เต็มไปด้วยยาลดความอ้วน การดูดไขมัน เพื่อเอาใจชาย ด้วยความเชื่อว่าสิ่ง เหล่านี้มัดใจชายได้
แต่หาก 'คุณค่า' เหล่านี้เป็นตัวมัดชายจริง หญิงสาว เหล่านั้นจงระวังด้วยว่า วันหนึ่งเมื่อสเป็คฯนี้หมดอายุ เขาก็ไปหาคนใหม่ ได้
คุณค่าของหญิงไม่น่าจะใช่การมีริมฝีปากแดงดุจผลตำลึงสุก ฟันสีขาวประดุจสังข์ หรือการที่คลอดลูกกี่ครั้งยังเต่งตึง
เบญจกัลยานี น่าจะหมายถึงคนที่ยืนหยัดเคียงคู่สามี ไม่ใช่เดินตาม เป็นเพื่อนไม่ใช่ทาส เอาใจ แต่ไม่ตามใจ อ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ
เพราะสเป็คฯทางกายหมดอายุเร็วกว่า สเป็คฯทางใจนัก
#2
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 10:53 AM
เบญจกัลยานีก็คือ ผู้หญิงที่มีบุญลักษณะครบถ้วนตามตำรา ดังที่กล่าวไปนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นเบญจกัลยานี ก็ยังถือว่าเป็นเพศที่ยังอาภัพอยู่ (เพราะยังมีกรรมกาเมติดตัวมา) ไม่สามารถบวชเพื่อบำเพ็ญเพียรได้เทียบเท่ากับชาย เนื่องด้วยเหตุประการทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงบัญญัติไว้
ในสมัยนี้ มีเบญจกัลยานีด้วยเหรอ คิดว่าคงสับสนกันอยู่ เพราะฉะนั้น การที่มาบอกว่า
คงเอาคำว่า เบญจกัลยานี ไปใช้ผิดเรื่องผิดราวซะแล้วละ่ค่ะ
ส่วนหญิงนั้น ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ก็มีหน้าที่ของหญิง ภรรยาต้องเป็นช้างเท้าหลัง ตื่นก่อน นอนทีหลัง ว่านอนสอนง่าย ความในไม่นำออก ความนอกไม่นำเข้า กราบเท้าสามีก่อนนอน ฯลฯ ก็คือการปรนนิบัติสามีเยี่ยงเทวดา เพื่อเป็นการฝึกความอดทนต่อความยากลำบาก ฝึกจิตให้มีความอ่อนน้อม (เนื่องด้วยธรรมดาหญิง ย่อมเป็นผู้ที่เอาแต่ใจ และรักการนำไฟในออกจากบ้าน เอาไฟนอกเข้าบ้าน) ซึ่งในปัจจุบัน ก็ยังคงมีอยู่
ในปัจจุบันก็เป็นจริง ว่าหญิงต้องทำงานนอกบ้าน เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ก็เรียกได้ว่า หญิง เริ่มมีสิทธิเท่าเทียมกับชาย แต่ว่าด้วยหน้าที่ของความเป็นภรรยา และแม่ ก็ยังคงต้องทำงานบ้าน เลี้ยงลูก (ตามสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน) เนื่องด้วย เพราะหญิง ยังเป็นเพศผู้อาภัพอยู่ นั่นเอง
โดยความคิดส่วนตัวนะคะ
หากทำแบบนี้ต่อไปๆ ยิ่งเป็นการสั่งสมนิสัยแห่งความดีงาม ไม่ก้าวร้าว เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ก็จะทำให้ภพชาติต่อไป มีสิทธิที่จะเกิดเป็นชายเต็มตัว ด้วยนิสัยที่สะสมมา ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ง่ายต่อการบรรลุธรรม
เพราะฉะนั้นเรื่องของเบญจกัีลยานีนั้น เป็นเรื่องของบุญลักษณะค่ะ ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของภรรยาซะหน่อย อย่าเอามาปนกันจะดีกว่า
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 11:02 AM
เห็นด้วยกับคุณฟ้าร้างเป็นอย่างยิ่งค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 12:50 PM
2 มงฺสกลฺยาณํ เนื้องาม คือหญิงผู้มีริมฝีปากแดง ดุจผลตำลึงสุกและเรียบชิดสนิทกันดี
3 อฏฐิกลฺยาณํ กระดูกงาม คือหญิงผู้ มีฟันสีขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน
4 ฉวิกลฺยาณํ ผิวงาม คือหญิงผู้ มีผิวกายงามละเอียดสวยงาม
5 วยกลฺยาณํ วัยงาม คือ หญิงผู้ที่แม้จะคลอด บุตรกี่ครั้ง ก็ยังคงเต่งตึงไม่หย่อนยาน
ทั้ง 5 ข้อไม่ได้แสดงถึงคุณธรรมความดีอะไร แค่บอกลักษณะรูปภายนอกแค่นั้นใช่ไหมครับ
สงสัยจัง
#5
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 01:52 PM
5 วยกลฺยาณํ วัยงาม คือ หญิงผู้ที่แม้จะคลอด บุตรกี่ครั้ง ก็ยังคงเต่งตึงไม่หย่อนยาน
ข้ออื่นดูไม่ยาก แต่ข้อนี้ถ้ายังไม่เคยมีลูกมาก่อน แล้วเค้าดูกันยังไงครับ
![wacko.gif](style_emoticons/default/wacko.gif)
#6
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 02:04 PM
สงสัยจัง
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าปุณณวัตนกุมารไม่ได้กำหนดมาเพื่อภรรยาที่ดีพร้อมและเอาใจ
แต่กำหนดมาเพื่อให้บิดา และมารดา ยอมแพ้เรื่องจะให้แต่งงานเท่านั้น เพราะเขาก็ไม่คิดว่าจะมีหญิงใดในโลกที่จะมีคุณสมบัติดังนั้นเลย
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#7
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 02:06 PM
ขอตอบนะคะ ในฐานะคุณแม่ลูกสอง
...ข้อนี้...จริง ๆ แล้ว ก็จริงนะ...ผู้หญิงที่มีลูกแล้วจะรู้ตัวดีค่ะ ว่าสภาพร่างกายมันไม่เหมือนเดิม ถึงแม้จะหุ่นกลับมาดีเหมือนเดิมก็ตาม (ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายหรือไปทำศัลยกรรมอะไรมา) แต่คนนอกมองก็อาจจะดูไม่ค่อยออกค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 02:56 PM
...ข้อนี้...จริง ๆ แล้ว ก็จริงนะ...ผู้หญิงที่มีลูกแล้วจะรู้ตัวดีค่ะ ว่าสภาพร่างกายมันไม่เหมือนเดิม ถึงแม้จะหุ่นกลับมาดีเหมือนเดิมก็ตาม (ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายหรือไปทำศัลยกรรมอะไรมา) แต่คนนอกมองก็อาจจะดูไม่ค่อยออกค่ะ
แต่ว่าตอนนั้น นางวิสาขายังไม่ได้มีลูกเลยนะคะ ยังไม่ได้ผ่านใครเลย
แล้วพราหมณ์เขารู้ได้ไง
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#9
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 03:10 PM
แล้วพราหมณ์เขารู้ได้ไง
ขอโทษค่ะ...สงสัยที่ VirtuEตอบ คุณ nontster ไป ผิดประเด็นไปค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 05:34 PM
สงสัยจัง
ถ้าทางตรงก็ใช่ค่ะ แต่ลักษณะพวกนี้ก็ได้มาจากผลบุญที่สั่งสมมาดีแล้วนะค่ะ เราจึงเดาได้ว่าผู้มี่มีผิวกายงาม หน้าตางาม น่าจะเคยรักษาศีลมาดีในอดีต มีสุขภาพแข็งแรง ก็น่าจะเคยถวายเภสักแด่พระ หรือ จิตใจดีงามไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิต (ใช่สันนิฐานวิทยาไงค่ะ)
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
น้าจี้
#11
โพสต์เมื่อ 26 May 2006 - 12:55 PM
คะ? เพราะจำได้ว่า คุณครูไม่ใหญ่เคยพูดในรร. ว่า มหาอุบาสิกาวิสาขา แม้จะมีบุตรหลานมาก
มาย เมื่ออยู่ท่ามกลางลูกหลาน ก็ดูไม่ออกว่าเป็นย่าเป็นยาย เหมือนเป็นวัยเดียวกัน
จะรู้ว่าท่านมีอายุมากแล้วก็ตอนเห็นท่านนั่งท้าวแขนนั่นแหละค่ะ
หรืออาจจะงามสมวัย แต่ในเรื่องที่ต้องดูแบบละเอียดเจาะลึกกว่านี้ มันดูยากเหมือนกันนะคะ
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวค่ะ
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#12
โพสต์เมื่อ 26 May 2006 - 10:00 PM
คะ? เพราะจำได้ว่า คุณครูไม่ใหญ่เคยพูดในรร. ว่า มหาอุบาสิกาวิสาขา แม้จะมีบุตรหลานมาก
มาย เมื่ออยู่ท่ามกลางลูกหลาน ก็ดูไม่ออกว่าเป็นย่าเป็นยาย เหมือนเป็นวัยเดียวกัน
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#13
โพสต์เมื่อ 26 May 2006 - 10:22 PM
#14
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 12:03 AM
ใช่เลยค่ะ ตามที่น้องมู่หลานตอบมาว่า การตั้งกฏเกณฑ์ 5 ข้อนั้น เป็นไปเพราะว่าจะให้ท่านพ่อท่านแม่ยอมแพ้
เอาให้เวอร์เข้าไว้ ไม่น่าจะมีใครที่เป็นได้เช่นนั้น (คือถ้าผู้ชายเค้าคิดจะมีต้องตั้งเรื่องนิสัยและการเอาใจของภรรยามากว่า)
แต่แล้วแม่ย่าวิสาขาท่านมีบุญตามนั้นจริงๆ บุตรท่านเศรษฐีจึงต้องมีภรรยา
และที่ชอบที่สุดคือ ตรงที่ท่านขุนศึกตระกูลหยางผู้พิชิตหงสา ได้กล่าวไว้...
แม่ย่าท่านมีจิตใจที่แจ่มใสไร้ทิฎฐาสวะแล้ว จึงทำให้อารมณ์จิตใจเป็นกุศลตลอด ไม่เครียดไม่คิดร้ายใคร
เข้มแข็งยอมรับความจริงและแก้ไขปัญหาตลอดเวลาด้วยใจใส ทำให้ลมหายใจไม่ติดขัด คลื่นสมองทำงานได้ปกติ
ระบบร่างกายจึงดำเนินการได้อย่างคล่องตัว ฮอร์โมนทุกจุดที่หลั่งสารออกมาทำได้ดีเป็นพิเศษจึงทนุบำรุงดูแลตนได้ดี
เมื่อใจไม่ขุ่นมัว การคิดอ่านทำอะไรก็คล่องตัว ทำให้ร่างกายได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ด้วยอิทธิบาท 4
(ท่านไม่ได้กินแล้วนอน กินแล้วนั่งนินทาคนอื่นทั้งวัน มีแต่คิดว่าจะทำให้ทุกอย่างรอบตัวดีขึ้นยังไง จะทำบุญอะไรดีให้ได้เยอะๆ
ท่านไม่หน้าแก่ ไม่ปากร้าย ทำอะไรก็ไม่ขี้บ่น มีแต่คิดทำทุกอย่างด้วยจิตใจแจ่มใส ด้วยอิทธิบาทและปัญญา)
รวมกับบุญที่ตนเองทำตลอดเวลา รวมกับอธิษฐานจิตเป็นปกตินิสัยถึงอายุ วรรณะ สุข พละด้วยความชอบใจที่จะให้ตนเป็นเช่นนั้น
อันนี้น่าลองทำดูนะคะ พี่VirtuE ไม่แน่นะคะ ลูกสองเถอะ แต่จะสาววันสาวคืน ไม่ใช่เซ็กซี่แบบพวกดาราที่ไปทำฯลฯมานะคะ
ไม่ต้องเปลืองเงิน แต่ว่าด้วยทาน ศีล ภาวนา...
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#15
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 02:35 PM
ไม่ต้องเปลืองเงิน แต่ว่าด้วยทาน ศีล ภาวนา...
โอ๊วะ!!!...ขอบคุณที่แนะนำน๊าค๊า
...กำลังพยายามอยู่ค่ะ.....
![red_smile.gif](style_emoticons/default/red_smile.gif)
#16
โพสต์เมื่อ 06 March 2007 - 01:36 PM
![laugh.gif](style_emoticons/default/laugh.gif)