พุทธศาสนาไทยกับความท้าทายใหม่
นิธิ เอียวศรีวงศ์ มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 02 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1346
วลาดิมีร์ สเตห์ลิก ชาวออสเตรียนซึ่งทำงานอยู่ในสำนักประสานงานการพัฒนาแห่งออสเตรียประจำภูฐาน กล่าวถึงประเทศไทยไว้ในคำวิจารณ์ของเขาเกี่ยวกับเป้าหมาย "ความสุขมวลรวมประชาชาติ" ของภูฐานว่า
"ในโลกที่ถูกครอบงำจากตะวันตกซึ่งมีพื้นฐานจากลัทธิบริโภคนิยมปัจเจกแบบชาวคริสต์ และมีกระบวนทัศน์ของเบรตตันวู้ดส์ เป็นแบบอย่าง ศาสนาพุทธจะค่อนข้างเปราะบางต่อการรุกรานของความมั่งคั่งทางวัตถุ ที่อยู่เหนือความจำเป็นพื้นฐาน อย่างน้อยก็ท้าทายต่อจิตวิทยาในบางส่วน เช่น การดำรงชีพ ในที่นี้ขอระบุให้ประเทศไทยเป็นตัวอย่างแห่งหนึ่ง ซึ่งจนปัจจุบันศาสนาพุทธก็ยังไม่สามารถรวบรวมคำตอบให้กับความท้าทายนี้ได้"
คนอื่นอ่านแล้วจะคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่ผมอ่านแล้วยอมรับว่าจริงเลย โดยเฉพาะเมื่อนำสังคมไทย ไปเปรียบกับสังคมภูฐานหรือสังคมมุสลิมอีกหลายแห่ง
แต่ที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือ ผมไม่แน่ใจว่าองค์กรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยปัจจุบันจะสามารถ "รวบรวมคำตอบให้กับความท้าทายนี้ได้" เพราะอยู่ในสถานะที่อ่อนแอเกินกว่าจะทำได้เสียแล้ว
ในการเผชิญการท้าทายจากอารยธรรมตะวันตกระลอกแรกคือนับตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์มาจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งองค์กรและปัญญาชนไทยร่วมมือกันนิยามพระพุทธศาสนาเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับอารยธรรมตะวันตก ตามความเข้าใจของยุคสมัยนั้น โดยเปลี่ยนจุดเน้นของคำสอน มาเป็นด้านโลกียธรรมเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็ทำให้อภิปรัชญาของพระพุทธศาสนาสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์
เรามักพูดกันถึงการตั้งธรรมยุติกนิกาย, หนังสือกิจจานุกิจของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์, การปฏิรูปองค์กรปกครองคณะสงฆ์ โดยการนำของพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ฯลฯ เป็นเหมือนตัวแทนของความเคลื่อนไหวทางศาสนา เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปล งซึ่งตะวันตกกดดันให้สังคมไทยต้องเผชิญ และเป็นความสำเร็จของไทย
ก็จริงในแง่ความสำเร็จ ตรงที่ทำให้เราทุกคนยังนับถือพระพุทธศาสนามาได้ถึงทุกวันนี้ โดยไม่รู้สึกอึดอัดขัดข้องใจกับความเป็นจริงที่เราต้องเผชิญกับโลกปัจจุบัน
แต่เราไม่ค่อยพูดถึงจุดอ่อนบางอย่างของการตอบสนอง ซึ่งกลายเป็นความอ่อนแอในภายหลัง เช่น กลุ่มที่นำการเคลื่อนไหวเพื่อนิยามพุทธธรรมกันใหม่ เป็นกลุ่มที่มีความปึกแผ่นภายในอย่างแน่นแฟ้น โดยมีผู้นำทางการเมืองเป็นผู้นำ ผลในแง่ดีก็คือ การ "ปฏิรูป" ศาสนาไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม แต่นั่นย่อมหมายความว่า ทั้งแนวคิดและแนวทางที่ผลิตออกมาย่อมแข็งทื่อ ไม่อาจปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆ
แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงจะถาโถมเข้ามาในลักษณะอื่นๆ ที่แตกต่างออกไปจากเดิมสักเพียงไรก็ตาม การที่ไม่มีแนวคิดและแนวทางที่เป็นปรปักษ์ก็คือไม่มีทางเลือกอื่นนั่นเอง
ร้ายไปกว่านั้น แนวคิดและแนวทางที่กลุ่มปัญญาชนเหล่านี้ผลิตขึ้น ยังถูกนำเอาไปรับใช้เป้าหมายทางการเมืองในสมัยต่อมาด้วย กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็เช่นจุดยืนของคณะสงฆ์ที่สนับสนุนการนำประเทศเข้าสู่สงครามในสมัย ร.6 โดยตีความศานติธรรมของพระพุทธศาสนาให้เอื้อต่อการรบราฆ่าฟัน หากเป้าหมายคือประโยชน์ของชาติ ตลอดจนการที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนา "เจิม" อาวุธยุทธภัณฑ์ของกองทัพในปัจจุบัน
ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้น ผมคิดว่า "ความท้าทาย" ของอารยธรรมตะวันตกที่สังคมไทยต้องเผชิญเมื่อก่อน และหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น แตกต่างกันมาก แม้มีรากเหง้ามาจากคติอันเดียวกันก็จริง ฉะนั้น การตอบสนองต่อความท้าทายนั้นในทางศาสนาของกลุ่มปัญญาชนดังกล่าว จึงมีข้อจำกัดมากเมื่อนำมาใช้กับกระแสอารยธรรมตะวันตกที่ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ปัญญาชนกลุ่มนั้นเลือกที่จะเผชิญกับ "ความท้าทาย" ด้วยการตีความว่าพุทธธรรมกับวิทยาศาสตร์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยที่ปัญญาชนไทยไม่ได้ระแวงว่าวิทยาศาสตร์ตะวันตกนั้นตั้งอยู่บนระบบคุณค่าบางอย่าง ซึ่งเป็นอริกับศาสนธรรมของทุกศาสนา
เช่น การผลักให้สิ่งที่ไม่อาจอธิบายหรือเข้าใจได้เพราะไม่เป็นวัตถุวิสัย ให้พ้นไปจากวิทยาศาสตร์ (ซึ่งเกือบจะเท่ากับว่าไม่มีอยู่จริง หรือถึงมีอยู่จริงก็ไม่ใช่ "ความรู้" เพราะรู้ไม่ได้)
และด้วยเหตุดังนั้น วิทยาศาสตร์จึงมีนัยยะว่า สิ่งสำคัญที่สัมพันธ์กับเราอยู่ในโลกนี้เท่านั้น พ้นจากนี้ไปไม่เกี่ยวกับเรา จุดมุ่งหมายในชีวิตจึงเหลือเพียงแต่ละคนแสวงหาความสุขกับการเสพสิ่งที่วิทยาศาสตร์ประดิษฐ์มาให้ ซึ่งก็คือความสะดวกสบายในชีวิตนี้นั่นเอง
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม วิทยาศาสตร์จึงเปิดทางให้แก่ลัทธิบริโภคนิยม ยิ่งวิทยาศาสตร์กลายเป็นแกนหลักของลัทธิพาณิชยนิยมอย่างปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ก็ยิ่งส่งเสริมการบริโภค แบบปัจเจกอย่างที่ฝรั่งออสเตรียนคนนั้นพูดถึง มากเข้าไปอีก
และในแง่นี้แหละครับที่พุทธศาสนาไทยหมดพลังที่จะตอบสนอง "ความท้าทาย" ของโลกปัจจุบันไปเสียแล้ว
"ความท้าทาย" ของโลกปัจจุบันที่คุกคามการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ เท่าที่มีนักปราชญ์พูดถึงกันมากได้แก่
1. การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ยั่งยืน จนมีสัญญาณบ่งชี้อย่างชัดเจนแล้วว่าอาจทำให้ดาวโลกไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ หรืออารยธรรมของมนุษย์ได้อีกต่อไป
2. ความเหลื่อมล้ำในทุกทางของมนุษย์ ทั้งระหว่างสังคมและแม้ภายในสังคมเดียวกัน เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่โลกาภิวัตน์ทำให้เราทุกคนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันหมด นี่คือความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิด
3. ความรุนแรงทางกายภาพและทางวัฒนธรรมกระจายไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผมเชื่อว่า พระพุทธศาสนา (และศาสนาอื่นๆ) มีคำตอบแก่ "ความท้าทาย" นี้อย่างแน่นอน และก็มีนักการศาสนาจำนวนไม่น้อยในโลก ได้พยายามประยุกต์ศาสนธรรมในศาสนาที่ตัวนับถือเข้ามาตอบ "ความท้าทาย" นี้อยู่มาก แต่ไม่มีคำตอบจากองค์กรพุทธศาสนาไทย
ที่เรียกว่าคำตอบนั้นไม่จำเป็นต้องออกมาในรูปของความคิด หรือข้อเสนอเสมอไป อาจออกมาในรูปกิจกรรมหลากหลายประเภทได้ เช่น อาจสะท้อนออกมาในการศึกษาของพระสงฆ์ (ทุกระดับ), ออกมาในศาสนกิจและศาสนพิธี, ออกมาในรูปของการจัดองค์กรของวัดหรือแม้แต่ของคณะสงฆ์ทั้งหมด ฯลฯ เป็นต้น
และทั้งหมดเหล่านี้เราไม่พบในความเคลื่อนไหวทางศาสนาของคณะสงฆ์ไทย
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีพระภิกษุไทยบางรูปที่ตอบสนอง "ความท้าทาย" ใหม่นี้ อย่างชนิดที่มีพลังพอจะเป็นอิทธิพลหนึ่งในโลก เพราะมีงานแปลนิพนธ์ของท่านออกเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ, ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ หรือสำนักอาจารย์ชา เป็นต้น
แต่การตอบสนองของท่านเหล่านั้นกระทำกันขึ้นอย่างเป็นอิสระจากองค์กรคณะสงฆ์ แม้ได้รับการยอมรับขององค์กรคณะสงฆ์ในภายหลัง แต่ก็ไม่ได้นำเอาการตอบสนองของท่านเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในการอื่นได้อีก
สำนักสันติอโศกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะถูกอัปเปหิออกจากคณะสงฆ์ไทยไปเลย
ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตอบสนองต่อ "ความท้าทาย" ดังกล่าวในเมืองไทยเวลานี้ ส่วนใหญ่แล้วอยู่นอกองค์กรทางศาสนาที่เป็นทางการเกือบทั้งนั้น และมักเป็นการดำเนินการของฆราวาส
ใครอยากรับการศึกษาที่มีฐานอยู่ที่ศาสนธรรมของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไปเรียนมหามงกุฏฯ หรือมหาจุฬาฯ แต่ต้องไปเรียนที่เสมสิกขาลัย
คนชั้นกลางที่อยากเรียนรู้การดำรงชีวิตในโลกปัจจุบันที่สอดคล้องกับพุทธธรรม นับตั้งแต่เรื่องสุขภาพไปถึงเรื่องการครัว ต้องไปร่วมการอบรมต่างๆ กับอาศรมวงศ์สนิท พุทธธรรมที่เป็นฐานให้แก่ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งทำได้จริงอยู่ในไร่นาของท่านผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม หรือผู้ใหญ่ผาย สร้อยสระกลาง
อยากหาทุนทำอะไรที่นำเอาพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน ต้องไปขอทุนกับ สสส. (ซึ่งเป็นที่รังเกียจของมุสลิม เพราะไปเอาเงินของสิ่งที่ต้องห้าม เช่น เหล้า บุหรี่ มาใช้) ไม่ใช่มูลนิธิของวัดใด หรือกองทุนใดๆ ของคณะสงฆ์
ย้อนกลับไปที่คำวิจารณ์ของฝรั่งข้างบน ในแง่หนึ่งก็ต้องยอมรับว่าจริง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ต้องปฏิเสธว่าไม่จริง เพราะหากมองสังคมไทยในวงกว้างแล้ว ก็จะพบว่ามีความเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนอง "ความท้าทาย" ดังกล่าวอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ยากที่จะเป็นพลังสำคัญแก่สังคมได้ เพราะขาดการจัดองค์กรที่จะทำให้เกิดพลังในสังคมได้ ฉะนั้น หากดูสังคมไทยโดยรวมก็เป็นอย่างที่ฝรั่งวิจารณ์
แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีชาวพุทธไทยมองเห็น "ความท้าทาย" ที่ว่า แล้วพยายามตอบสนองเสียเลย
"พุทธศาสนาไทยกับความท้าทายใหม่"
เริ่มโดย บุญโต, Jun 15 2006 04:05 PM
มี 3 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 04:05 PM
#2
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 04:38 PM
หยุดเป็นตัวสำเ็ร็จ . . .
ปล.ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน
ปล.ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน
#3
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 06:22 PM
ต้องหยุดเท่านั้น
แก้ปัญหาได้ทุกอย่างครับผม
แก้ปัญหาได้ทุกอย่างครับผม
#4
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 11:51 AM
QUOTE
ศาสนาพุทธจะค่อนข้างเปราะบางต่อการรุกรานของความมั่งคั่งทางวัตถุ ที่อยู่เหนือความจำเป็นพื้นฐาน อย่างน้อยก็ท้าทายต่อจิตวิทยาในบางส่วน เช่น การดำรงชีพ
พระพุทธศาสนา และหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้เปราะบาง
แต่ผู้ที่ยังไม่เข้าใจคำสอนในศาสนาฯ นั้นยังมีความเปราะบางต่อความเย้ายวนทางวัตถุ มีความมั่งคั่ง เป็นต้น ซึ่งชาวไทยหลายคนเป็นเช่นนี้
QUOTE
ผมไม่แน่ใจว่าองค์กรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยปัจจุบันจะสามารถ "รวบรวมคำตอบให้กับความท้าทายนี้ได้" เพราะอยู่ในสถานะที่อ่อนแอเกินกว่าจะทำได้เสียแล้ว
บางครั้ง ใครสักคนพูดอะไร คนอื่นบางคนอาจไม่ได้ยินก็ได้ เมื่อไม่รู้-ไม่ได้ยิน แล้วก็เข้าใจไปเอง
QUOTE
ทั้งองค์กรและปัญญาชนไทยร่วมมือกันนิยามพระพุทธศาสนาเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับอารยธรรมตะวันตก ตามความเข้าใจของยุคสมัยนั้น โดยเปลี่ยนจุดเน้นของคำสอน มาเป็นด้านโลกียธรรมเป็นหลัก
ไม่รู้จักเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริง แล้วมานิยามกันใหม่ เพื่อเอาไว้พูดคุยกันเองในหมู่พวกเขา เอาไว้ฟังกันเอง
แต่ของแท้เป็นอย่างไรพวกเขาหาได้สนใจไม่ แต่ชอบที่จะพูดไปเรื่อย ตามความคิดเท่าที่ตนเองจะคิดได้
QUOTE
เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง ซึ่งตะวันตกกดดันให้สังคมไทยต้องเผชิญ และเป็นความสำเร็จของไทย
เป็นเรื่องการเมืองการปกครอง สถานการณ์ของประเทศ ที่เป็นไปแล้วเช่นนั้น
QUOTE
แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงจะถาโถมเข้ามาในลักษณะอื่นๆ ที่แตกต่างออกไปจากเดิมสักเพียงไรก็ตาม การที่ไม่มีแนวคิดและแนวทางที่เป็นปรปักษ์ก็คือไม่มีทางเลือกอื่นนั่นเอง
ไม่ทราบว่า ตั้งใจหมายความว่าอย่างไร?
QUOTE
"เจิม" อาวุธยุทธภัณฑ์ของกองทัพ
ไม่ใช่พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
QUOTE
วิทยาศาสตร์ตะวันตกนั้นตั้งอยู่บนระบบคุณค่าบางอย่าง ซึ่งเป็นอริกับศาสนธรรมของทุกศาสนา
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ ใครๆ ก็มาพิสูจน์ด้วยตนเองได้ ดุจทองคำแท้ที่ไม่กลัวไฟ
QUOTE
จุดมุ่งหมายในชีวิตจึงเหลือเพียงแต่ละคนแสวงหาความสุขกับการเสพสิ่งที่วิทยาศาสตร์ประดิษฐ์มาให้ ซึ่งก็คือความสะดวกสบายในชีวิตนี้นั่นเอง
เป็นความสุขทางโลก ที่ต้องใช้วัตถุมาประกอบ แต่เศรษฐีที่นอนป่วยเป็นอัมพาต หรือใกล้เสียชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาล จะต้องการอะไร หรือคนหนุ่มสาวที่แข็งแรง มีเงินมากมาย มีบ้านใหญ่โต แม้จะอยู่ห้องหรูหราแอร์เย็นฉ่ำ อุปกรณ์ไฮเทคคอยอำนวยความสะดวกมากมาย มีคนคอยรับใช้ ก็ยังต้องการความสุขอีก แสดงว่าความสุขทางวัตถุนั้นไม่ใช่ความสุขแท้จริง ที่เป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิต
QUOTE
1. การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ยั่งยืน จนมีสัญญาณบ่งชี้อย่างชัดเจนแล้วว่าอาจทำให้ดาวโลกไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ หรืออารยธรรมของมนุษย์ได้อีกต่อไป
พระพุทธศาสนา สอนให้คนไม่เบียดเบียน ทั้งตนเองและผู้อื่น และไม่สุรุ่ยสุร่าย แต่สอนให้ประหยัด
QUOTE
2. ความเหลื่อมล้ำในทุกทางของมนุษย์ ทั้งระหว่างสังคมและแม้ภายในสังคมเดียวกัน เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่โลกาภิวัตน์ทำให้เราทุกคนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันหมด นี่คือความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิด
3. ความรุนแรงทางกายภาพและทางวัฒนธรรมกระจายไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
3. ความรุนแรงทางกายภาพและทางวัฒนธรรมกระจายไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
คนพูดคงยังไม่เคยมาวัดฯ เลยยังไม่เคยเห็นภาพที่สมัครสมานสามัคคีของชาวพุทธทั่วโลกจำนวนมากที่มาชุมนุมกันสร้างบุญที่วัดพระธรรมกายอย่างยิ้มแย้ม สงบเรียบร้อย
อย่างไรเสีย ถ้าพบใครกล่าวเนื้อหาอย่างในกระทู้ ที่ไม่เข้าใจศาสนา ควรชวนมาปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนากันให้รู้ปริยัติ ปฏิบัติ ปฎิเวธ ว่าเป็นอย่างไร
เพราะหากเอาแต่พูดกันแต่ทฤษฎีที่คาดเอา หรือเดาเอา ก็จะได้แต่พูด ไปนานๆ แต่เขาก็จะสูญเสียเวลาของชีวิตไปยาวนานเช่นกัน
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ