ธรรมที่ว่าด้วย..."การอยู่ร่วมกันแห่งสามีภรรยา"
#1
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 10:57 AM
๑.ศพอยู่ร่วมกับศพ หมายถึงสามีและภรรยาไร้ศีลธรรมทั้งคู่
๒.ศพอยู่ร่วมกับเทพ หมายถึงสามีไร้ศีลธรรมแต่ภรรยามีศีลธรรม
๓.เทพอยู่ร่วมกับศพ หมายถึงสามีมีศีลธรรมแต่ภรรยาไร้ศีลธรรม
๔.เทพอยู่ร่วมกับเทพ หมายถึงสามีมีศีลธรรมและภรรยามีศีลธรรม
...คนที่เป็นเทพ(มีศีลธรรม) ในเมื่อขึ้นชื่อว่ามีศีลธรรมก็น่าจะมีบุญไม่น่าที่จะต้องพบเจอหรืออยู่ร่วมกับศพ(คนไร้ศีลธรรม)ได้เลยนะคะ...แต่ก็มีจริง ๆ...เพราะอะไรน๊า
#2
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 11:38 AM
ที่มีได้ก็เพราะกรรมเก่าที่เคยประพฤติชั่วกับสามีหรือภรรยาในชาติก่อนค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#3
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 02:05 PM
ต้อง ยอม เยือกเย็น ยืดหยุ่น ยิ้มแย้ม ยกย่อง
#4
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 02:26 PM
ถ้าสามีภรรยา มีศีลและทิฏฐิไม่เสมอกัน ก็เสี่ยงต่อการขัดแย้งกัน อาจสร้างกรรมใหม่ต่อกันอีก
#5
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 03:40 PM
ยากครับ ชีวิตของคนคู่
(สังเกตจากคุณพ่อคุณแม่น่ะครับ)
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#6
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 03:53 PM
๑.มีศรัทธาเสมอกัน
๒.มีศีลเสมอกัน
๓.มีจาคะเสมอกัน
๔.มีปัญญาเสมอกัน
#7
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 06:59 PM
1 ช่วยเหลือด้านสิ่งของ เงิน ของใช้ ของกิน และ อภัยทาน
2 พูดเพราะๆ ให้กำลังใจ ปรึกษารับฟังปัญหา แก้ปัญหากันได้ ถ้าจะกวนประสาท หยอดมุขทั้งฝืดและไม่ฝืด ก็ดูอารมณ์เค้าด้วย
3 ช่วยเหลือการงานในสิ่งที่เราสามารถช่วยได้ ยกนู้น ยกนี้ ทำนู้น ทำนี้
4 อ่อนน้อม มีความควารพ วางตัวในเหมาะสม อย่าถือตัว...
และก็ต้องใช้ พรหมวิหาร 4 ซึ่ง คุณ แก้วประเสริฐ บอกไปแล้ว
ต่อเสริมด้วยโอวาสหลวงพ่อธัมมะ 2-3 ข้อ
1.ยิ้มแล้วรวยยยย !!!
2.โกรธกันคนละเวลาสเน่หาเวลาเดียวกัน
3.ไม่ขัดคอ ยอตะบัน . . . (หลวงพ่อทัตตะบอกว่า อย่าให้เวอร์เกิน)
4.ทิฐฐิเสมอกัน
อันนี้ขึ้นอยู่กับ กรรมในอดีต ... แต่เราใช้กรรมปัจจุบันช่วยได้นะ ไม่มากก็น้อย
ปล.ทิฐฐิ กับ เสน่หา ผมพิมพ์ไม่ถูกอ่ะครับเอาแบบนี้ไปก่อนละกัน
#8
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 08:22 PM
อาจจะเป็นเหตุในปัจจุบันที่หลงรูปกายภายนอก เมื่อหลวมตัวจนมีห่วงคือลูก แล้วก็ต้องเลยตามเลยครับ ต้องทนอยู่ร่วมกันไป เพราะ ลูกเป็นเหตุ
หรือบางคน ก็อาจเพราะเคยอธิษฐานร่วมกันให้ได้มาครองคู่กัน แต่การดำเนินชีวิตในสังสารวัฎทำให้การประกอบบุญกรรมของคนทั้ง 2 ไม่เหมือนกัน เมื่อประกอบเหตุต่างกัน ย่อมมีผลต่างกัน แต่เมื่อมาเจอกัน ด้วยแรงอธิษฐานทำให้ต้องมาคู่กันไงครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 09:37 PM
1. เอาใจใส่ดูแลกัน ในครอบครัว
2. เอื้อนเอ่ยวาจาสุภาษิตที่ไพเราะ ยิ้มไหว้ทักทายกัน
3. อดทนต่อการกระทบกระทั่งกัน ความไม่เข้าใจกันในสภาวะอารมณ์ต่างๆ
4. อภัยซึ่งกันและกัน
มีอีก 5 อ. จะเสนอครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#10
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 09:54 PM
1.การฟัง
บางทีคำพูดที่อยากฟังมากที่สุด ไม่ใช่คำพูดใดๆ แต่เป็นการฟัง การฟังอยากสนอกสนใจอย่างมีชีวิตชีวา และทางที่ดีที่สุดที่จะแสดงออกถึงความรักที่มีต่อกัน การฟังอย่างตั้งใจเพียงแต่ถามด้วยคำถามง่ายๆ ซึ่งกันและกัน
2. สนับสนุน และให้กำลังใจ
พยายามที่จะรู้สึก และเข้าใจถึงอารมณ์ว่าเมื่อไหร่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว หรือรู้สึกว่าโลกทั้งโลกไม่มีใครเมื่ออารมณ์นั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้กำลังใจและสนับสนุนกันและกัน ด้วยการบอกถึงความชื่นชมที่มีต่อกัน
ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการที่จะดูแลบ้าน ความพยายามที่จะก้าวหน้าในอาชีพการงาน
3.ชื่นชม
ไม่ว่าจะเป็นความสุข สนุกสนาน
4.ใส่ใจในรายละเอียด
5.เรียนรู้
6.เป็นผู้ใหญ่
การเป็นที่มีจิตใจที่ดี โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อและอาทร เป็นคนที่อยากอยู่ด้วยมากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ ก็ตาม
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#11
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 10:17 PM
เป็นนักเที่ยว ก็จะมาพบนักเที่ยว
เป็นนักดื่ม ก็จะมาเจอนักดื่ม
เป็นนักการพนัน ก็จะมาเจอนักการพนัน
เป็นโจร ก็จะมาเจอกับโจร
เป็นนักกีฬา ก็จะมาเจอกับนักกีฬา
...อายตนมันดึงดูดเข้าไปหากันเองครับ...ส่วนจะรู้ตัวได้เร็วได้ช้า
แก้ไขทันไม่ทัน ก็แล้วแต่บุญทำกรรมสร้างมาครับ
...............................................
ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#12
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 10:52 PM
ให้กำลังใจ
ให้อภัย
อดทน
ควรมีศีลเสมอกันด้วยนะครับ
#13
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 06:48 AM
ก็เพราะไม่ยอมออกจากกาม หลงบ่วงมาร กามราคะเข้าไปกว่าจะรู้ตัวก็สาย
#14
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 07:28 AM
#15
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 07:24 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#16
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 07:26 PM
Durring by SETUP..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#17
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 11:26 PM
ไม่ใช่ "ต้อง" มี
พระโพธิสัตว์ที่ไม่ครองเรือนก็มีค่ะ
จากที่อ่านมา ในส่วนของประวัติของพระโพธิสัตว์
เป็นเรื่องของกรรมผูกพัน ที่เป็นคู่ครองมีความผูกพันกันมากหลายภพหลายชาติ ก็เลยตามติดกันมาติดๆ เช่นนั้น
อธิษฐานจิตให้ ต่อไปได้ประพฤติพรหมจรรย์โดยสะดวก ไม่ต้องครองเรือน
เพราะเมื่อครองเรือน มีคู่แล้ว จะสร้างบารมีไม่ถนัดถนี่นัก (โอกาสที่จะทั้งสองคนจะเสริมกันทุกอย่าง อาจมีได้ค่ะ แต่โอกาสน้อย)
ประพฤติพรหมจรรย์ จะคล่องตัวดีกว่า เหมือนนกน้อยโผบินไปไหนมาไหนได้อิสระเสรี
....................................
ในชาติที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ กำลังตัดสินใจออกจากวังเพื่อไปค้นหาทางบรรลุธรรม
(ความคิดเห็นส่วนตัว) คิดว่า เจ้าชายรักพระชายา และพระราชโอรสของพระองค์ ไม่ใช่ไม่รัก
แต่คิดว่า ถ้าหากรักแล้วอยู่ร่วมกันในวัง เสพสุขไปจนตลอดชีวิตของข้างใดข้างหนึ่ง ก็ไม่มีวันได้พบอมฤตธรรม
ถ้าพระองค์ตัดสินใจอยู่ในวังต่อไป จะถนอมความสุขระยะสั้นได้แค่คนไม่กี่คน คือ พระราชบิดา พระชายา และพระราชโอรส ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าก็ยังต้องทนดูเขาเจ็บปวดเพราะความแก่ เจ็บ ตาย โดยที่ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้ อีกทั้งยังช่วยใครๆในโลกนี้ไม่ได้เลย ได้แต่มองดูโลกเป็นไป พระองค์คงคาดถึงความทุกข์ของบุคคลอันเป็นที่รัก ที่เมื่ออายุขัยหมดสิ้น ต้องจากโลกนี้ไป โดยที่พระองค์ทรงไม่รู้ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหน แล้วต้องทุกข์ทรมานหรือไม่เพียงใด ในพระทัยคงกังวลและต้องการช่วยจนถึงที่สุด
ถ้าพระองค์จากไป จากวังที่มีแต่สุขที่ล้นปรี่ ไปเพื่อไปค้นหาทางไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย การค้นหา ก็ยังมีโอกาสค้นพบ และต้องมีทางพบ เพราะเมื่อมีมืดก็ต้องมีสว่าง แต่เมื่อค้นพบธรรมอันเป็นทางแก้ไขทุกข์ได้แล้ว พระองค์จะนำทรัพย์อันล้ำค่านี้มามอบแก่ครอบครัวของพระองค์ อันจะช่วยให้ไม่ต้องทนทุกข์ในวัฏฏสงสารอีกต่อไป ไม่ได้ช่วยได้แค่ชาตินี้ แต่จะช่วยได้ทุกภพทุกชาติ ตลอดไป เพื่อให้บุคคลที่พระองค์รัก ได้พบแต่ความสุขตลอดไป
และไม่เพียงแค่คนในวังของพระองค์ แต่พระองค์จะสามารถช่วยผู้คนจำนวนมาก ทั้งโลก ซึ่งกำลังผจญกับสิ่งที่น่ากลัว คนทั้งโลกกำลังรอใครสักคนมาช่วย
การพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งของอันเป็นที่รัก ย่อมสร้างความทุกข์ให้พระองค์ในเบื้องแรก แต่เมื่อมองถึงเป้าหมายแล้ว ภาพแห่งความสำเร็จจะสร้างสิ่งที่ดีกว่าทุกๆอย่างในปัจจุบัน ดวงใจแห่งพระโพธิสัตว์จึงไม่ลังเลที่จะก้าวไปสู่ทางแห่งความสำเร็จนั้น
................................
ไม่ว่าใครๆ ชาติสุดท้าย ก็จะเป็นชาติที่เป็นพระ
แล้วแต่ว่า ใครจะเร็ว จะช้า ต่างคนก็แตกต่างกัน
#18
โพสต์เมื่อ 18 June 2006 - 07:36 PM
แล้วแต่ว่า ใครจะเร็ว จะช้า ต่างคนก็แตกต่างกัน
พระบิดาของพระศาสดาชาติสุดท้าย ท่านไม่เห็นต้องบวชเป็นพระเลยนิครับท่านก็ยังบรรลุอรหัตผลได้ หรือผมจำผิดครับ?
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#19
โพสต์เมื่อ 19 June 2006 - 02:18 PM
น้องจำไม่ผิดดอกครับ ท่านบรรลุอรหัตผลได้ก็จริง แต่น้องต้องไม่ลืมว่าเพศฆราวาสนี่เป็น "หีนเพศ" (เพศอันต่ำช้า) ไม่สามารถรองรับกำลังแห่งอรหัตผลได้ กล่าวคือ หากผู้ครองเพศฆราวาสผู้นั้นไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม หากได้บรรลุถึงซึ่งอรหัตผลแล้ว ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการถือเพศเป็นบรรพชิต (สามเณร/สามเณรี/ภิกษุ/ภิกษุณี) ภายใน ๗ วัน จะต้องถึงแก่กาลกิริยา (ตาย) ด้วยอกุศลอุปฆาตกรรม (กรรมตัดรอนฝ่ายอกุศล) อย่างหนึ่งอย่างใดที่เคยพลาดพลั้งกระทำไว้แต่ในอดีตมาบีบคั้นตัดรอนน่ะครับ เพราะฉะนั้น สู้ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์เมื่อได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็สามารถอยู่โปรดสัตว์ได้เต็มตลอดอายุขัย ย่อมดีกว่าอยู่ในฆราวาสวิสัยแล้วต้องถูกกรรมเก่าตามมาตัดรอนเป็นไหนๆ จริงไหมครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#20
โพสต์เมื่อ 19 June 2006 - 07:08 PM
ตั้งใจหมายความว่า
สุดท้ายแล้ว
ใครๆ ในที่สุดแล้ว ก็ต้องไปพระนิพพานค่ะ คือ บรรลุอรหัตตผล
ระหว่างนั้น ก็เวียนว่ายตายเกิด ไปเรื่อยๆ อาจอยู่ไปกันนานๆๆๆ จนนับระยะเวลาไม่ไหว
จะใช้ระยะเวลายาวนานน้อย หรือยาวนานมากแค่ไหน แล้วแต่บุคคลนั้นเลือกสร้างกรรม ซึ่งมีให้เลือกทั้งบาป ทั้งบุญ
ซึ่งบางคนอาจจะเลือกทาง ที่ใช้เวลานานๆๆๆ มากๆๆ
แต่ในที่สุด ของที่สุด จะถึงที่หมายกันหมดทุกชีวิต
รูปลักษณ์ท้ายสุด ก็คือรูปลักษณ์ของพระ
ภาวะท้ายสุด คือภาวะที่หมดกิเลสแล้ว
#21
โพสต์เมื่อ 19 June 2006 - 08:04 PM
#22
โพสต์เมื่อ 20 June 2006 - 01:02 PM
และยอมอภัยให้กัน รักคือความอดทน รักคือความเข้าใจ
รักคือทุกสิ่งใช่ไหมเอ่ย
#23
โพสต์เมื่อ 20 June 2006 - 11:48 PM
ทาน
ปิยวาจา
สมานัตตา
อัตถจริยา