ถามเรื่องทศชาติชาดก
#1
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 08:50 AM
1. อยากถามว่า ข้อความข้างบนที่กล่าวมา เป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าจริงพอจะมีข้อมูลจากพระไตรปิฎกมาอ้างอิงไหมครับ
2.สิบชาติที่เรียงตั้งแต่ พระเตมีย์ พระมหาชนก พระสุวรรณสาม พระเนมิราช พระมโหสถ พระภูริทัต พระจันทกุมาร พรหมนารทะ พระวิธุระ พระเวสสันดร นั้น เรียงตามลำดับตามชาติที่เกิดก่อนหลังถูกต้องหรือไม่
3.หากตามข้อสองที่กล่าวมา เป็นลำดับจริง เพราะเหตุใดถัดจากชาติพระมโหสถแล้ว พระโพธิสัตว์ถึงได้บังเกิดเป็นพญานาคภูริทัต ซึ่งดูเหมือนท่านสร้างบารมีมาอย่างเต็มที่ ภพชาติถัดมาควรจะเป็นอย่างน้อยก็มนุษย์ไม่ใช่หรือครับ
ช่วยไขข้อกระจ่างด้วยครับ ขอบคุณครับ
#2
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 09:11 AM
1. อยากถามว่า ข้อความข้างบนที่กล่าวมา เป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าจริงพอจะมีข้อมูลจากพระไตรปิฎกมาอ้างอิงไหมครับ
ไม่ใช่ 10 ชาติสุดท้ายครับ แต่เป็น 10 ชาติเด่นๆ
ไม่น่าจะใช่ เพราะการแสดงชาดกแต่ละเรื่อง ต้องมีเหตุ พระพุทธเจ้าจึงนำชาดกเรื่องนั้นมาแสดงครับ
ก็อย่างที่บอกแหละครับ ไม่เรียงกัน และที่สำคัญ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเราไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่า ภพชาติต่อไปเราจะไปเกิดเป็นอะไร อย่างที่เค้ากล่าวกันว่า บาปกรรมแม้เพียงนิดก็ส่งผลได้ แม้จะมีบุญบารมีมากมายเพียงใดก็ตาม บาปก็ยังมีโอกาสส่งผลได้อยู่ดี ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องสร้างบุญให้มากที่สุด งดจากบาปทุกชนิด เพราะเมื่อทำได้แบบนี้ ก็เป็นอันหวังได้ว่า ผลบุญย่อมมีโอกาสส่งได้มากกว่าผลบาป แต่ก็ใช่ว่าผลบาปจะไม่มีโอกาสส่งผลเลยนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 09:44 AM
#4
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 10:45 AM
#5
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 10:48 AM
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ในรอบแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของพระบรมโพธิสัตว์นั้น ในบางชาติภพท่านอาจพลาดพลั้งกระทำในสิ่งที่เป็นบาปอกุศลด้วยวิสัยแห่งความเป็นปุถุชนผู้ฝึกฝนอยู่ และถึงแม้ว่าจะทรงได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็มิได้เป็นเครื่องรับประกันเสียทีเดียวว่า ท่านจะรอดพ้นจากการพลัดไปบังเกิดในอบายภูมิ เพียงแต่จะพ้นจากฐานะแห่งความอาภัพ ๑๘ ประการแต่เพียงเท่านั้น อาทิ ไม่ไปบังเกิดในอเวจีมหานรกและอายตนะโลกันตร์ จริงอยู่ว่าเมื่อท่านได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ท่านย่อมไม่ไปบังเกิดในสถานที่ทำทัณฑ์ทรมานทั้งสองแห่งนี้ แต่ก็สามารถมีสิทธิ์พลัดไปเกิดในมหานรกขุมอื่น ในอุสสทนรก และยมโลกนรกได้เช่นกัน
๑. เกิดในครรภ์ของนางทาสี
๒. เป็นคนบอดแต่กำเนิด
๓. เป็นคนหนวกแต่กำเนิด
๔. เป็นคนใบ้แต่กำเนิด
๕. เป็นบุคคลวิกลจริต
๖. เป็นคนโรคเรื้อนกุฏฐัง
๗. ทำปัญจานันตริยกรรม ๕ ประการ
๘. เกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม
๙. เกิดเป็นพรหมสุทธาวาส
๑o. เป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบันกระทั่งถึงพระอรหันต์)
๑๑. เกิดในอายตนะโลกันตร์ หรือเกิดในอเวจีมหานรก
๑๒. เกิดเป็นอิตถีสตรีเพศ หรือเกิดเป็นบัณเฑาะก์ หรือผู้ที่มีความบกพร่องทางเพศอื่นๆ อาทิ อุภโตพยัญชนก
๑๓. เกิดเป็นเทวบุตรมาร
๑๔. เกิดในอนารยะมิลักขะประเทศ (แดนคนเถื่อน)
๑๕. เกิดในจักรวาลอื่น
๑๖. เกิดเป็นเปรตสามจำพวกแรก (ยกเว้น ปรทัตตูปชีวิกเปรต (เปรตขอส่วนบุญ) อาจพลาดพลั้งเป็นได้ในบางชาติ ซึ่งกำเนิดแห่งเปตวิสัยนั้น จำแนกเปรตออกได้เป็น ๔ จำพวก ๑๒ ตระกูล)
๑๗. เกิดในอรูปพรหม
๑๘. เกิดเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่านกกระจาบและใหญ่กว่าช้าง
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#6
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 10:56 AM
#7
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 11:04 AM
ไม่ได้เรียงต่อกันค่ะ
และสาเหตุที่เกิดเป็นนาคนั้น เพราะได้อธิษฐานไว้ด้วยความไม่รู้ค่ะ(เท่าที่หนูเคยอ่านมานะคะ)
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#8
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 11:13 AM
หัวใจของ ทศชาติชาดกคือ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว เคยท่องจำมา
และชาติสุดท้ายที่สร้างบารมี นั้นน่าจะเป็นพระเวสสันดร
เพราะมีระบุไว้ว่าเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า
นับว่าได้ความรู้เพิ่มครับ สาธุ
#9
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 12:13 PM
นึกถึงเรื่องนี้ทีไร ก็อดนึกถึงพุทธันดรที่แล้ว ที่พระราชาองค์ที่ออกบวช ท่านต้องรบป้องกันประเทศด้วยความจำเป็น ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากมาย ทั้งที่การรบของคนสมัยนั้น เป็นเรื่อง 1 ใน ล้าน แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้ บาปกรรม บาปกรรม จริงๆ
#10
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 03:03 PM
#11
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 04:21 PM
เพราะมีระบุไว้ว่าเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า
พระเวสสันดรไม่ใช่พระชาติสุดท้ายนะครับ เพราะหลังจากท่านเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ภพชาติต่อมาหลังจากที่ท่านละสังขารจากพระเวสสันดรแล้ว ท่านมาอุบัติเป็นสาเกตุเทพบุตรชั้นดุสิต ซึ่งในภพชาติที่ท่านเสวยพระชาติเป็นสาเกตุเทพบุตรนั่นเอง เหล่าทวยเทพทั้งหลายมาอาราธนาให้ท่านลงมาตรัสรู้แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านก็รับอาราธนาแล้วอธิษฐานจิตเพื่อจุติและอุบัติเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#12
โพสต์เมื่อ 26 June 2006 - 09:34 PM
ถูกต้องแล้วครับพระเวสสันดรไม่ใช่ชาติสุดท้าย แต่เป็นชาติสุดท้ายที่สร้างบารมีครับ
#13
โพสต์เมื่อ 27 June 2006 - 09:10 AM
เสตุเกตุเทพบุตร ไม่ใช่เหรอครับ "สาเกต" เป็นชื่อของเมืองท่าที่ขึ้นชื่อเมืองหนึ่งในสมัยพุทธกาลต่างหากล่ะครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#14
โพสต์เมื่อ 27 June 2006 - 12:47 PM
ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ คงต้องรอคนมาคอนเฟิมอีกทีครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#15
โพสต์เมื่อ 28 June 2006 - 01:05 AM
ที่ผมอ่านเจอในเวป
วันประสูติ... หลังจากเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรในเมืองมนุษย์เป็นชาติท้ายแล้ว
เสด็จไปอุบัติเป็นสันดุสิตเทพบุตร ในสวรรค์ชั้นดุสิต และได้รับการทูลเชิญจากเหล่าเทพ
ทุกชั้นฟ้าให้เสด็จมาจุติโปรดสัตว์โลก
ท่านไปเป็น สันดุสิตเทพบุตรไม่ใช่เหรอ หรือชื่อสันดุสิตเป็นชื่อตำแหน่งเฉย ๆ
#16
โพสต์เมื่อ 28 June 2006 - 02:10 AM
ผมตรวจสอบจากหนังสือ "โลกนาถทีปนี" ความว่า ก่อนที่องค์สมเด็จพระสมณโคดมจะมาอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระนามในดุสิตาเทวภูมิว่า "เสตุเกตุเทพบุตร" ครับ
เป็นเพียงตำแหน่งเช่นเดียวกันกับสมเด็จพระอมรินทราเทวาธิราช หรือท้าวโกสีย์อมรินทร์ หรือพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในไตรตรึงษ์สวรรค์นั่นแหละครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#17
โพสต์เมื่อ 29 June 2006 - 09:00 AM
แปลว่าอะไรเหรอคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#18
โพสต์เมื่อ 07 March 2007 - 03:41 PM