สงสัยเรื่องอกุศลกรรมบท 10
#1
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 01:45 PM
เรื่องอกุศลกรรมบท 10 ที่เรียกว่า คนเราจะสามารถทำความชั่วนั้นได้นั้นคือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ทางกาย
1. ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์
2. ลักทรัพย์
3. ประพฤติผิดในกาม
ทางวาจา
4. พูดเท็จ
5. พูดคำหยาบ
6. พูดเพ้อเจ้อ
7. พูดส่อเสียด
ทางใจ
8. คิดพยาบาทปองร้าย
9. คิดโลภอยากได้ของผู้อื่น
10. การเห็นผิดหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ
นี่คือทั้งหมดของการที่เรียกว่า เป็นการทำความชั่ว หรือทำบาป ถ้าทำนอกเหนือจากนี้ อาจจะเป็นบุญ หรือไม่บุญไม่บาป(อย่างเช่นการกินเจนั้นจริงๆแล้วคนเข้าใจผิดว่าเป็นบุญ แต่จริงๆแล้วไม่ได้เป็นบุญและไม่ได้เป็นบาป)
แต่ที่ผมสงสัยคือ เห็นเมื่อก่อนเคยมีเคสสตั๊ดดี้ว่า มีเด็กที่ไปปัสสาวะที่กำแพงวัด และเด็กคนนั้นก็มีวิบากกรรมติดมา คือทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับทางระบบขับถ่าย ทั้งที่ถ้าเรามาคิดจะเห็นได้ว่า นี้คือการกระทำทางกายของเด็กคนนั้น
ซึ่ง อกุศลกรรมบท 10 ได้บอกไว้ว่า การทำความชั่วทางกายนั้นมีได้แค่ 3 ทางคือ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่การที่เด็กคนนั้นได้ฉี่ที่กำแพงวัด นั้น จะเห็นได้ว่า ไม่ได้อยู่ในการกระทำทั้ง 3 อย่างตามที่กล่าวไว้เลย อยู่นอกเหนือจาก อกุศลกรรมบท 10 แล้วทำไมถึงเป็นบาปครับ
อย่างเรื่องของบุญนั้น ถ้าอยู่นอกเหนือจาก กุศลกรรมบท 10 ยังมีบุญกิริยาวัตถุ 10เป็นรายละเอียดปลีกย่อย ที่ไม่ว่ายังไงก็ครอบคลุม สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าอย่างไหนเป็นการทำดีและเป็นทางมาแห่งบุญ
ที่ผมถามก็เพราะว่าบางคนไม่รู้ และตัวผมเองก็สงสัย เดี๋ยวบางคนเห็นว่า นอกจากอกุศลกรรมบท 10 แล้ว ทำได้ไม่บาป อย่างเช่นเรื่องที่เราเป็นคนขี้เกียจนี่ก็ใช่ ก็ไม่อยู่ในอกุศลกรรมบท 10 เว้นแต่ว่า บางคนมีบุญเก่าสั่งสมมาดี สอนตนเองได้ รู้ได้ด้วยสำนึกและความรู้สึกว่าอย่างไหนบาปอย่างไหนไม่บาป ก็คือ ทำดี พูดดี และคิดดี โดยที่ไม่ต้องไปศึกษาหลักธรรม กุศลกรรมบท 10 หรือ อกุศลกรรมบท 10
ขอให้ผู้รู้ช่วยมาตอบให้กระจ่างด้วยนะครับ อนุโมทนาบุญครับ
#2
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:02 PM
อย่างที่พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนพระราหุล ว่า
ทำอะไรที่ร้อนเรา อะไรที่ร้อนเขา อะไรที่ร้อนทั้งเราทั้งเขา อย่าทำ
อะไรที่ทำแล้วเย็นก็จงทำเถิด
พูดอะไรที่ร้อนเรา อะไรที่ร้อนเขา อะไรที่ร้อนทั้งเราทั้งเขา อย่าพูด
อะไรที่ทำแล้วเย็นก็จงพูดเถิด
คิดอะไรที่ร้อนเรา อะไรที่ร้อนเขา อะไรที่ร้อนทั้งเราทั้งเขา อย่าคิด
อะไรที่ทำแล้วเย็นก็จงคิดเถิด
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#3
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:14 PM
แต่ถามว่า ฉี่ที่กำแพงวัดนั้นมันเป็นการทำผิดทางกาย ข้อ 1 หรือไม่ คือที่ว่า ฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์ การเบียดเบียนนั้น คือการทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ผมว่าพระท่านไม่เดือดร้อนนะครับ เพราะคงไม่ได้กลิ่นเหม็นของฉี่เด็กคนนั้น นี่แหละครับ ผมถึงสงสัย บาปได้อย่างไร ช่วยตอบทีครับ
#4
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:24 PM
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าพระท่านไม่เดือดร้อน
ถึงไม่ การทำแบบนี้เป็นการดูหมิ่นพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ท่านก็ไม่เดือนร้อนเวลามีคนไปเบียดเบียนท่าน
โดนตีหัวท่านยังไม่เดือดร้อนเลยค่ะ
แต่ก็เป็นบาป เพราะไม่เคารพ แล้วยังดูหมิ่นอีก
คนอื่นมาเห็นก็จะเข้าใจผิด
ชาวต่างชาติก็จะเข้าใจผิดว่าที่นี่ไม่ดี
ยิ่งมีรอยสกปรก คนยิ่งไม่อยากมาวัด
ระหว่างวัดที่สกปรกกับสะอาดแล้ว วัดไหนคนอยากไปมากกว่าคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:34 PM
จะรู้ หรือไม่รู้ หากพลั้งเผลอไปทำเข้า ก็ต้องได้รับวิบากกรรมนั้น
ดิฉันคิดว่า สิ่งใด ที่สร้างด้วยศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศรัทธาในพระรัตนตรัย สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เป็นที่เคารพบูชาของคนทั่วไป กำแพงวัด ก็เป็นอิฐ เป็นปูน ที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของสาธุชน อย่าว่าแต่การไปฉี่รดกำแพงวัดเลย หากเด็ก ไปฉี่รดกำแพงหน้าบ้านของใครซักคนเข้า เจ้าของบ้านเขาก็ต้องโวยวาย เพราะกลิ่นของปัสสาวะนั้นก็อยู่ทนเหมือนกันนะคะ ต้องเดือดร้อนมาล้าง นี่เป็นการเบียดเบียนเข้าให้แล้ว
แล้วถ้าเป็นกำแพงวัดที่สร้างด้วยศรัทธาล่ะ ?? ถึงจะไม่มีใครมาโวยวาย เพราะเหม็นกลิ่นปัสสาวะนั้น แต่เด็กคนนั้นก็ได้ไปประกอบกายกรรมฉี่รดกำแพงที่สร้างด้วยศรัทธาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้าซะแล้ว กำแพงวัดก็เปรียบเหมือนกับตัวแทนของพระรัตนตรัยแล้วล่ะค่ะ
ก็ลองถามดูว่า ถ้ามีเด็กตัวเล็กๆ ไปฉี่รดพระพุทธรูป โดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะบาปไหม
ถึงจะไม่รู้เรื่อง (ไม่มีมโนกรรม) แต่ก็หนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมค่ะ เพราะกายกรรมได้เกิดขึ้นแล้ว
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#6
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:34 PM
#7
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:37 PM
ความขี้เกียจนี่เป็น "อบายมุข" นะคะ
ถ้าเช่นนั้นการดื่มสุราก็ไม่บาป เพราะไม่มีอยู่ในอกุศลกรรมบท
ใช่ไหมคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#8
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:45 PM
#9
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 02:48 PM
ไม่ได้ตอบคำถามน่าสนใจแบบนี้มานานแล้วค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#10
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 03:17 PM
น้าจี้
#11
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 08:06 PM
หรือ คิดง่าย ทำแล้ว เป็นสิ่งดีหรือไม่ โดยอาศัยหลักว่า ถ้าเราเป็นผู้ที่ถูกกระทำ
เป็นเจ้าของสิ่งนั้น ๆ แล้ว เราอยากให้การกระทำนั้นเกิดขึ้นหรือไม่นะครับ
#12
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 03:35 AM
อธิบายว่า "ความเกียจคร้าน" นั้น เป็นหนึ่งในอบายมุข ๖ ประการที่เรียกว่า "โกสัชชะ" อันเป็นปากทางแห่งความเสื่อมและความฉิบหาย แม้จะมิได้เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดบาปอกุศลโดยตรงก็ตาม แต่ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนให้เกิดบาปอกุศลได้ในทางอ้อม สมดังพุทธดำรัสที่ว่า "พึงรีบทำความดี รีบห้ามจิตจากบาป เมื่อทำความดีช้า (เกียจคร้านในการทำความดี) ใจย่อมน้อมนำไปในบาป" ชัดเจนไหมครับ?
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#13
โพสต์เมื่อ 15 March 2007 - 12:20 PM