![unsure.gif](style_emoticons/default/unsure.gif)
เมื่อหมดกิเลสแล้ว
เริ่มโดย บุญโต, Jul 17 2006 02:40 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 02:40 PM
ขอถามค่ะว่า...ว่าเมื่อเราหมดกิเลสแล้ว...ส่งผลให้ความคิดในการทำงานของเรานั้น ขอแค่ทำงานให้เสร็จ ส่งครบถ้วน สมบูรณ์แบบ และได้รับเงินเดือน...ไม่คิดที่จะทุ่มเทหมดพลังตัวหมดพลังใจ ไม่หลับไม่นอนเพื่อหวัง ลาภ ยศ ตำแหน่ง อะไรอีกแล้ว...เป็นอย่างนี้ "ถูกต้องหรือปล่าว" (เข้าใจคำถามมั๊ยน๊า...เรียบเรียงคำพูดไม่ถูก
)
![unsure.gif](style_emoticons/default/unsure.gif)
#2
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 02:46 PM
QUOTE
ขอถามค่ะว่า...ว่าเมื่อเราหมดกิเลสแล้ว...ส่งผลให้ความคิดในการทำงานของเรานั้น ขอแค่ทำงานให้เสร็จ ส่งครบถ้วน สมบูรณ์แบบ และได้รับเงินเดือน...ไม่คิดที่จะทุ่มเทหมดพลังตัวหมดพลังใจ ไม่หลับไม่นอนเพื่อหวัง ลาภ ยศ ตำแหน่ง อะไรอีกแล้ว...เป็นอย่างนี้ "ถูกต้องหรือปล่าว"
ไม่ถูกต้องเลยครับ หมดกิเลสแล้วคุณหนูชื่อสายน้ำทิพย์จะไม่มีความคิดที่จะทำงานอะไรอีกแล้วครับ เพราะกิจทางโลกไม่มีแล้วครับ แล้วก็อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีแต่ความรู้สึกอยู่เป็นสุขในอรหัตผล มีความสุขอยู่ด้วยการเข้านิโรธสมาบัติ อ้อ...แล้วก็ต้องออกบวชด้วยนะครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 03:07 PM
QUOTE
ขอถามค่ะว่า...ว่าเมื่อเราหมดกิเลสแล้ว...ส่งผลให้ความคิดในการทำงานของเรานั้น ขอแค่ทำงานให้เสร็จ ส่งครบถ้วน สมบูรณ์แบบ และได้รับเงินเดือน...ไม่คิดที่จะทุ่มเทหมดพลังตัวหมดพลังใจ ไม่หลับไม่นอนเพื่อหวัง ลาภ ยศ ตำแหน่ง อะไรอีกแล้ว...เป็นอย่างนี้ "ถูกต้องหรือปล่าว"
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี
#4
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 05:15 PM
อยากได้แค่ อย่างที่เขียนมา
ก็ให้นั่งธรรมะให้ใจใส ๆ ทุกวัน ก็ได้ผลแล้วนะครับ
ก็ให้นั่งธรรมะให้ใจใส ๆ ทุกวัน ก็ได้ผลแล้วนะครับ
#5
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 08:35 PM
สร้างบารมีเรื่อยไป ทำงานไป ดีไหมครับ...
#6
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 04:13 PM
QUOTE
ว่าเมื่อเราหมดกิเลสแล้ว...
กิเลสเบาบางลงค่ะ แต่ยังไม่หมดหรอกค่ะ
งานที่เราทำนั้น เป็นงานของเขาหมดค่ะ
ที่ต้องตื่นเช้ามาทำงาน หาเลี้ยงปากท้องอยู่นี่ ก็งานเขาทั้งนั้น
โดยมีกฏแห่งกรรมเป็นผู้คุมเกมส์
จะหมดกิเลสได้ต้องทำงานอย่างแท้จริงอย่างเดียวค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 07:55 PM
กิเลสเบาบาง ก้อจะทำงานตามทางสายกลาง พอดีๆ ตามเหตุสมควร เข้าใจหลักเหตุผล มีอารมณ์สบายๆ ไม่มีทุกข์ร้อนใด ใครได้ดี เราก้อดีใจ
#8
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 08:26 AM
ขอบคุณค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 06:55 PM
หมดกิเลสเป็นใจที่เย็นๆปราศจากความทุกข์ใดเจือป่น อย่างไรตามนิพพานเป็นเลิศ
#10
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 02:36 PM
เมื่อหมดกิเลสแล้ว จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดีแบบปุถุชนไม่เคยได้สัมผัสรับรู้มาก่อน
จะไม่มีอาการแบบที่เคยมีคนพูดถึงว่า "ไม่อยากหมดกิเลส เพราะจะมีชีวิตจืดชืด เงียบเหงา น่าเบื่อ เซ็ง"
นั่นเพราะคนกล่าวคำพูดแบบนี้ ห่างไกลจากความเข้าใจ ไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงพูดไปอย่างนั้นเอง เลยทำให้อีกหลายๆ คนไขว้เขว เข้าใจผิดว่าการหมดกิเลสแล้วไม่ดี
..........................................
จริงๆ แล้ว การมีชีวิตวนซ้ำๆ ในวัฏฏะ เป็นเรื่องเดิมๆ เจอเรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องเก่าที่เคยเจอมาแล้ว...
ตรมระทมยินดีเศร้าเคล้าคละกันเป็นสารพัดแกงรวมอยู่ในหม้อเดียวกัน...
น่าเบื่อจนเบื่อ จนมีผู้ดิ้นรนมุ่งสู่ทางหมดกิเลส
..........................................
ชีวิตจะไร้เข็มทิศ หากไม่มีเป้าหมาย
ชีวิตจะไร้ซึ่งคุณค่า หากไม่ได้สร้างบารมี
จะไม่มีอาการแบบที่เคยมีคนพูดถึงว่า "ไม่อยากหมดกิเลส เพราะจะมีชีวิตจืดชืด เงียบเหงา น่าเบื่อ เซ็ง"
นั่นเพราะคนกล่าวคำพูดแบบนี้ ห่างไกลจากความเข้าใจ ไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงพูดไปอย่างนั้นเอง เลยทำให้อีกหลายๆ คนไขว้เขว เข้าใจผิดว่าการหมดกิเลสแล้วไม่ดี
..........................................
จริงๆ แล้ว การมีชีวิตวนซ้ำๆ ในวัฏฏะ เป็นเรื่องเดิมๆ เจอเรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องเก่าที่เคยเจอมาแล้ว...
ตรมระทมยินดีเศร้าเคล้าคละกันเป็นสารพัดแกงรวมอยู่ในหม้อเดียวกัน...
น่าเบื่อจนเบื่อ จนมีผู้ดิ้นรนมุ่งสู่ทางหมดกิเลส
..........................................
ชีวิตจะไร้เข็มทิศ หากไม่มีเป้าหมาย
ชีวิตจะไร้ซึ่งคุณค่า หากไม่ได้สร้างบารมี
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ
#11
โพสต์เมื่อ 15 March 2007 - 02:11 PM
กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ