สืบเนื่องจากหัวข้อ 7 วันหลังความตาย ครับ
คือส่งสัยว่า ถ้าเมื่อผู้ที่ตายไปแล้วแต่ยังวนเวียนอยู่ในมนุสสภูมิ แล้วญาติอุทิศกุศลผลบุญให้ และการที่ผู้ตายจะรับบุญนั้นได้ก็จะต้องอนุโมทนาบุญเป็น แล้วการอนุโมทนาบุญนั้นมีวิธีการทำเช่นไร กล่าวอย่างไรกันครับ?
อนุโมทนาบุญ
เริ่มโดย พุทธบุตร, Jul 18 2006 11:26 AM
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:26 AM
ด้วยตัวข้าปัญญายังน้อยนิด ใคร่ขอท่านให้ข้อคิดเห็น
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
#2
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 03:35 PM
7 วันหลังความตาย หากกายละเอียดยังวนเวียนอยู่ และญาติอุทิศบุญไปให้ ผู้ตายก็จะรับได้นะค่ะ อยู่ที่จิต ไม่จำเป็นต้องกล่าวออกมาก็ได้ค่ะ บุญที่ได้ก็ ขึ้นอยู่ว่ามากน้อยแค่ไหน แล้วใจใสขึ้นแค่ไหน หากตอนเป็นมนุษย์ผู้ตายเคยทำบุญบ่อย จิตก็ระน้อมคิดถึงบุญได้ จะทำให้ใจใสขึ้นมาก พอใจใสมากขึ้นก็นึกถึงบุญได้ยิ่งๆขึ้นไป บุญก็จะนำไปเกิดในสุคติภูมิค่ะ แต่หากผู้ตายไม่ค่อยได้ทำบุญ กายละเอียดก็จะนึกถึงบุญไม่ออก ประมาณว่าไม่คุ้นเพราะไม่ค่อยได้ทำ บุญที่ได้รับก็นิดๆหน่อยๆ ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิไม่ได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่มารับไปค่ะ
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้
น้าจี้
#3
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 08:59 PM
หมายถึงว่า ถ้าเขาเกิดเป็นมนุษย์ ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า อนุโมทนาบุญเป็นใช่ไหมครับ หรือ เราๆ เอง เป็นมนุษย์อยู่ ต้องกล่าวอย่างไรใช่ไหมครับ
ต้องกล่าวว่า "ขอกราบอนุโมทนาบุญกับบุญนั้นบุญนี้ที่คุณทำด้วยนะครับ" ด้วยใจที่มีจิตยินดีที่เห็นเขาทำความดี
ต้องกล่าวว่า "ขอกราบอนุโมทนาบุญกับบุญนั้นบุญนี้ที่คุณทำด้วยนะครับ" ด้วยใจที่มีจิตยินดีที่เห็นเขาทำความดี
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#4
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 01:17 PM
ขอบคุณครับผม
ด้วยตัวข้าปัญญายังน้อยนิด ใคร่ขอท่านให้ข้อคิดเห็น
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
#5
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 01:57 PM
กระแสบุญที่อุทิศให้เฉพาะเจาะจง
ผู้รับจะได้รับบุญโดยอัตโนมัติ
แต่มันขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับบุญที่อุทิศหรือเปล่า
ถ้าไม่รับบุญนี้ก็ถูกส่งคืนให้กับผู้ที่อุทิศ
กระแสบุญที่อุทิศไม่เฉพาะเจาะจง
แต่ให้ใครก็ได้ ทั้งสรรพสัตว์ เปรต
เทวดาทั้งหลาย กระแสบุญที่อุทิศ
จะแผ่ไปอย่างอัตโนมัติ เหล่าเทวาที่อยู่ละแวก
ได้ยินเข้าก็อนุโมทนา แล้วก็บอกต่อเจตนาของเราไปทั่วสารทิศ
ให้ได้มามีส่วนอนุโมทนาร่วมกัน
ผู้รับจะได้รับบุญโดยอัตโนมัติ
แต่มันขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับบุญที่อุทิศหรือเปล่า
ถ้าไม่รับบุญนี้ก็ถูกส่งคืนให้กับผู้ที่อุทิศ
กระแสบุญที่อุทิศไม่เฉพาะเจาะจง
แต่ให้ใครก็ได้ ทั้งสรรพสัตว์ เปรต
เทวดาทั้งหลาย กระแสบุญที่อุทิศ
จะแผ่ไปอย่างอัตโนมัติ เหล่าเทวาที่อยู่ละแวก
ได้ยินเข้าก็อนุโมทนา แล้วก็บอกต่อเจตนาของเราไปทั่วสารทิศ
ให้ได้มามีส่วนอนุโมทนาร่วมกัน
thamma_072.p
#6
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 05:14 PM
โมทนาบุญ ..
คือการมีจิตคิดยินดี หรือดีใจในสิ่งนั้นๆที่เขาทำค่ะ
ทำได้ 3 ระดับ ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
เมื่อมีจิตคิดยินดี ก็เป็นระดับ มโนกรรม
เมื่อพูดออกมาว่า สาธุ , โมทนาบุญ , ดีแล้ว ...เออ ดีนะคะ ฯลฯ ก็เป็นระดับ วจีกรรม
เมื่อยกมือพนมท่วมหัว หรือยิ้มอย่างยินดี ก็เป็นระดับมโนกรรมค่ะ
(ยกมือสาธุ เป็นการทำที่เคารพยิ่งขึ้นกว่าการยิ้มธรรมดา)
ทำให้ได้ทั้งสามขั้นก็ได้บุญยิ่งขึ้นค่ะ
ยิ่งทำด้วยความเคารพ ด้วยใจใสๆ ที่ยินดีเต็มร้อย ก็ได้บุญยิ่งๆขึ้นค่ะ
คือการมีจิตคิดยินดี หรือดีใจในสิ่งนั้นๆที่เขาทำค่ะ
ทำได้ 3 ระดับ ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
เมื่อมีจิตคิดยินดี ก็เป็นระดับ มโนกรรม
เมื่อพูดออกมาว่า สาธุ , โมทนาบุญ , ดีแล้ว ...เออ ดีนะคะ ฯลฯ ก็เป็นระดับ วจีกรรม
เมื่อยกมือพนมท่วมหัว หรือยิ้มอย่างยินดี ก็เป็นระดับมโนกรรมค่ะ
(ยกมือสาธุ เป็นการทำที่เคารพยิ่งขึ้นกว่าการยิ้มธรรมดา)
ทำให้ได้ทั้งสามขั้นก็ได้บุญยิ่งขึ้นค่ะ
ยิ่งทำด้วยความเคารพ ด้วยใจใสๆ ที่ยินดีเต็มร้อย ก็ได้บุญยิ่งๆขึ้นค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 10:30 AM
QUOTE
กระแสบุญที่อุทิศให้เฉพาะเจาะจง
ผู้รับจะได้รับบุญโดยอัตโนมัติ
แต่มันขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับบุญที่อุทิศหรือเปล่า
ถ้าไม่รับบุญนี้ก็ถูกส่งคืนให้กับผู้ที่อุทิศ
ผู้รับจะได้รับบุญโดยอัตโนมัติ
แต่มันขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับบุญที่อุทิศหรือเปล่า
ถ้าไม่รับบุญนี้ก็ถูกส่งคืนให้กับผู้ที่อุทิศ
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี
#8
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 12:58 PM
ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ หมั่นฝึกให้เขารู้จักการอนุโมทนาบุญ ว่าทำยังไง
หมั่นเอาไปบุญไปฝากญาติๆ เพื่อนๆ คนรู้จัก เขาจะได้ฝึกการอนุโมทนาบุญกับเรา
ถ้าเขารักษาศีล5 ได้ รู้จักการอาราธนาศีลได้ จะดี
ถ้ามีโอกาส เราก็เล่าให้คนรู้จักฟัง ว่า ขณะใกล้ตายควรนึกถึงอะไร ทำใจอย่างไร ชีวิตหลังความตายเป็นยังไง
เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว เขาจะได้ตั้งสติได้ รู้เรื่องว่าควรทำยังไง
...................................
ดีที่สุด คือการที่เขาได้ทำบุญด้วยตนเอง
คนอื่นทำบุญให้ ก็ไม่เท่าเจ้าตัวทำเอง
หมั่นเอาไปบุญไปฝากญาติๆ เพื่อนๆ คนรู้จัก เขาจะได้ฝึกการอนุโมทนาบุญกับเรา
ถ้าเขารักษาศีล5 ได้ รู้จักการอาราธนาศีลได้ จะดี
ถ้ามีโอกาส เราก็เล่าให้คนรู้จักฟัง ว่า ขณะใกล้ตายควรนึกถึงอะไร ทำใจอย่างไร ชีวิตหลังความตายเป็นยังไง
เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว เขาจะได้ตั้งสติได้ รู้เรื่องว่าควรทำยังไง
...................................
ดีที่สุด คือการที่เขาได้ทำบุญด้วยตนเอง
คนอื่นทำบุญให้ ก็ไม่เท่าเจ้าตัวทำเอง
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ
#9
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 06:19 PM
อนุโมทนา สาธุค่ะ..........
#10
โพสต์เมื่อ 15 March 2007 - 02:31 PM
กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ