ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

อจินไตย


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 3 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 25 July 2006 - 04:12 PM

อจินไตย

พวกเราทุกคนนั้นถือว่าเป็นผู้มีวาสนา มีความดี มีโชคที่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา แล้วก็มีจิตศรัทธา มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสอน และในพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย การที่เราได้มีคนอย่างพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทาง ชี้ทางให้นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เพราะคนอย่างพระพุทธเจ้าเป็นคนแบบหนึ่งไม่มีสอง เป็นคนที่ไม่มีใครสามารถจะเทียบเท่าได้ ในเรื่องสติปัญญา ความรู้ ความฉลาดทั้งหลาย การที่เราได้พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทาง ก็เปรียบเหมือนคนตาบอดที่มีคนตาดีนำทางให้ ถ้าไม่มีคนนำทาง เวลาจะเดินไปไหนมาไหน ก็จะเป็นความลำบากยากเย็น ไม่รู้ว่าจะเดินไปชนกับอะไรหรือเปล่า จะเดินตกหลุมตกบ่อที่ไหนบ้าง ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เวลาเดินก็ต้องคลำไป ค่อยๆไป ไม่สามารถจะไปไหนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เหมือนกับที่มีคนตาดีนำทาง

ชีวิตจิตใจของเราก็เปรียบเหมือนคนตาบอด เพราะจิตใจเรานั้นยังมีอวิชชาความหลงความมืดบอดครอบงำจิตใจอยู่ ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้ จึงต้องอาศัยคนที่ตาดีอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม สามารถที่จะรู้สิ่งต่างๆ ที่ปุถุชนคนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราที่ยังมีความมืดบอด มีกิเลส มีอวิชชา ความหลงครอบงำจิตใจอยู่ ไม่สามารถที่จะรู้จะเห็นได้อย่างที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหลายทรงรู้ ทรงเห็นได้ เราจึงต้องพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผู้นำทางพาเราไปสู่ทิศทางที่ดี ที่งาม คือนำไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขนั่นเอง

สิ่งต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงรู้ทรงเห็นนั้น หรือพระอริยสงฆ์สาวกทรงรู้ทรงเห็นนั้นท่านบอกว่ามีอยู่ ๔ อย่างด้วยกัน ที่เหลือวิสัยปุถุชนคนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราจะสามารถเข้าใจได้ คิดได้ด้วยตัวเอง คือคิดแล้วจะเกิดความเข้าใจได้นั้นเป็นไปไม่ได้ พระพุทธองค์ทรงบอกว่าถ้าคิดไปแล้วจะทำให้เราเป็นบ้าไปได้ หรือเสียสติไปได้ เพราะว่าเป็นเรื่องที่เหนือความสามารถของสติปัญญาของปุถุชนคนธรรมดาจะสามารถเข้าใจได้ สิ่งทั้ง ๔ ประการนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า อจินไตย คือเหนือจินตนาการ เหนือความคิดอ่านของปุถุชนคนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราที่จะคิดแล้วเกิดความเข้าอกเข้าใจได้ อจินไตยทั้ง ๔ ประการนี้ประกอบไปด้วย

๑. พุทธวิสัย คือความรู้ความสามารถของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะหยั่งถึง เข้าใจได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงรู้ ทรงเห็น ทรงมีความสามารถมากมายก่ายกอง ผิดจากมนุษย์คนธรรมดาสามัญ

๒. ฌานวิสัย คือเรื่องของฌานสมาบัติ เช่นทำไมคนเราบางคนถึงเข้าฌานนั่งอยู่เฉยๆ ได้เป็นวันๆ โดยที่ไม่ต้องกินข้าวไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน สิ่งนี้เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้ จะเข้าใจได้ ถ้าคนที่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติมานั่งคิด นอนคิดยังไงก็ไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างพวกเรานี้ เพียงแต่นั่งเฉยๆ แค่ ๑๕ นาที หรือครึ่งชั่วโมงก็จะนั่งกันไม่ได้อยู่แล้ว แล้วทำไมคนบางคนจึงนั่งหลับตานิ่งเฉยอยู่เป็นวันๆได้ นี้คือการเข้าฌานสมาบัติ ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้

๓. กรรมวิสัย เรื่องของกรรมนี้เป็นเรื่องที่เหนือวิสัยของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้ว่า เมื่อทำกรรมอันหนึ่งอันใดไว้แล้ว ผลที่จะตามมานั้นจะเป็นอย่างไร หรือการที่มนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ในโลกนี้นั้น ได้กระทำอะไรมาในอดีต เรื่องนี้เราไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ เพราะเป็นเรื่องข้ามภพข้ามชาติ พวกเราเห็นได้แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในชาตินี้เท่านั้นเอง แต่เราไม่รู้ว่าชาติก่อนมีจริงหรือเปล่า ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถจะรู้ได้จากความนึกคิดของเราเอง แต่เป็นสิ่งที่จะรู้ได้จากการประพฤติปฏิบัติธรรมเท่านั้น คือต้องนั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนาเท่านั้น จึงจะเข้าสู่ความจริงอันนี้ได้

๔. โลกวิสัย คือเรื่องของความเป็นมาของโลกนี้ ว่าโลกนี้เป็นมาอย่างไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีใครเป็นคนสร้างมาหรือเปล่า หรือไม่มีคนสร้าง เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่เหนือวิสัยของมนุษย์ที่จะสามารถรู้เห็นได้ เลยกลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไปต่างๆนานา บางคนก็ว่ามีพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา บางคนก็บอกว่าไม่มีพระเจ้า ไม่มีใครสร้างโลก เป็นเรื่องของเหตุ เป็นเรื่องของปัจจัย เป็นเรื่องของธาตุทั้ง ๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ เมื่อเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาก็ทำให้เกิดเป็นโลก เป็นดาว เป็นเดือน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมา

สิ่งเหล่านี้นั้นถ้าพวกเราปุถุชนมานั่งคิดกัน แล้วนำมาสนทนากัน มาถกเถียงกัน มันก็เหมือนกับคนตาบอด ๕ คนที่ไปลูบคลำตัวช้างในส่วนต่างกัน คนตาบอดคนหนึ่งไปคลำงวงช้างแล้วก็บอกว่าช้างนี้เหมือนงู อีกคนหนึ่งไปคลำที่หางช้างก็บอกว่าช้างนี้เหมือนเชือก อีกคนหนึ่งไปคลำท้องช้างก็บอกว่าช้างนี้เหมือนฝาผนัง แต่ละคนนั้นก็ถูก เพราะสิ่งที่ตัวเองไปจับไปคลำมันก็เป็นไปในลักษณะนั้นๆ แต่ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นจริงเพียงบางส่วนเท่านั้นเอง เรื่องของอจินไตยนี้ก็เช่นกัน พวกเราเป็นเหมือนกับคนตาบอดที่ไปลูบคลำตัวช้าง ไปคลำถูกส่วนไหนก็บอกว่าช้างนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เป็นเหมือนกำแพงบ้าง เป็นเหมือนเชือกบ้าง เป็นเหมือนงูบ้าง แต่มันไม่ตรงกับความเป็นจริง จะรู้จะเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้ ก็ต่อเมื่อได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนา นั่งทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าอกเข้าใจได้ เพราะว่าการปฏิบัติจิตตภาวนานั้น เป็นการสร้างแสงสว่างให้เกิดขึ้นมาในจิตใจสร้างดวงตาแห่งธรรมให้เกิดขึ้น ผู้ใดมีดวงตาเห็นธรรมแล้วผู้นั้นย่อมเข้าใจ ย่อมรู้ในสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านได้ทรงรู้ ทรงเห็น เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ เพียงแต่ว่าจะมีตาดูหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ระหว่างคนตาดีกับคนตาบอด คนตาบอดย่อมไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆที่คนตาดีมองเห็นกันได้ แต่ถ้ามีใครบริจาคดวงตาให้เขา แล้วทำให้เขามองเห็นได้ เขาก็จะมองเห็นสิ่งต่างๆเหมือนกับคนตาดี ฉันใดสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ทรงรู้ทรงเห็นนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ แต่เป็นสิ่งที่พวกเราปุถุชนทั้งหลายยังไม่สามารถเห็นได้ ยังไม่สามารถรู้ได้ เพราะว่าพวกเรายังขาดแสงสว่างแห่งธรรม ธัมโม ปทีโป หรือดวงตาแห่งธรรมนั่นเอง แต่สิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่สุดวิสัยของมนุษย์ปุถุชนอย่างพวกเรา เราจะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ถ้ามีศรัทธา คือเชื่อในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่าเป็นสิ่งที่เป็นจริง พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นจริง ไม่ได้ปั้นขึ้นมาหลอกพวกเรา ขอให้เราเชื่อแล้วน้อมเอาไปประพฤติปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน คือทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยการเจริญจิตตภาวนา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา เมื่อได้บำเพ็ญจิตตภาวนา แล้ว จิตใจก็จะค่อยๆสะอาดหมดจดขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งในที่สุดก็จะชำระสิ่งสกปรก กิเลสเครื่องเศร้าหมอง ความมืดบอดที่ครอบงำจิตใจให้หมดไปได้

เมื่อความมืดบอดหมดไปก็จะมีแต่ความสว่าง เพราะความสว่างและความมืดอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้ามีสิ่งหนึ่งต้องไม่มีอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งก็ต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง คือถ้ามีความมืดก็ไม่มีความสว่าง ถ้ามีความสว่างก็ไม่มีความมืด เรื่องของจิตใจก็เช่นเดียวกัน พวกเราปุถุชนนั้นยังมีความมืดบอดอยู่ คือไม่สามารถรู้เห็นตามที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ ทรงเห็นได้ แต่ถ้าน้อมเอาสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนมาประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา กับกาย วาจา ใจของเราแล้ว จิตใจก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นๆ แล้วก็จะค่อยๆเห็นสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้ ทรงเห็น จนในที่สุดก็จะได้รู้ ได้เห็นทั้งหมด เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ประพฤติปฏิบัติพึงรู้พึงเห็นได้

อย่างพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย เริ่มต้นท่านก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาสามัญอย่างเราอย่างท่านนี้เอง แต่หลังจากได้ยินได้ฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เกิดมีศรัทธา มีวิริยะ คือมีความเชื่อ มีความขยันหมั่นเพียรที่จะประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน มีขันติ ความอดทน มีความอดกลั้น เพราะการที่จะประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนได้นั้น ไม่ใช่เป็นของง่าย แต่เป็นเหมือนกับการปีนเขา เหมือนกับการเข็นครกขึ้นภูเขา ไม่ใช่เป็นการลงจากเขา ลงจากเขาเป็นของง่าย แต่การปีนขึ้นเขานี่เป็นของยาก ฉันใดการกระทำความดี การละเว้นความชั่ว การบำเพ็ญจิตตภาวนานี้เป็นของยาก แต่ไม่เหลือวิสัยของปุถุชนอย่างเราอย่างท่าน ซึ่งมีหลายท่านทั้งในอดีตและปัจจุบันที่สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์กันได้ด้วยศรัทธาความเชื่อ ด้วยวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร และด้วยขันติ ความอดทน

ถ้าเราปรารถนาความสุขความเจริญรุ่งเรือง ความฉลาดรู้เห็นอย่างที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้ทรงรู้ ทรงเห็น แล้วละก็ ขอให้พวกเราทั้งหลายจงมีศรัทธา ความเชื่อในพระธรรมคำสอน มีวิริยะ ความอุตสาหะ ความขยันหมั่นเพียรที่จะประพฤติปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และมีขันติ มีความอดทน ต่อสู้กับความยากลำบากทั้งหลาย แล้วในที่สุด ผลอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้พบ ก็จะเป็นสิ่งที่เรา จะได้พบเหมือนกัน การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้


#2 eq072

eq072
  • Members
  • 504 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 July 2006 - 07:13 PM

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” (Imagination is more important than knowledge)

ประโยคคลาสสิกที่สร้างชื่อไปทั่วโลกของอัลเบิร์ต ไอน์ไตน์ เป็นประโยคที่คุ้นหูมาตั้งแต่เด็ก

แต่มาเจอคำ ๆ นี้ครับ อจินไตย เหนือ จินตนาการ


#3 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 10:56 PM

น่าสนใจมากเลยครับ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#4 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 16 March 2007 - 07:15 AM

สาธุ