ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

คิดยังไงกับอาชีพที่ขัดกับการนั่งสมาธิ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 27 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่

ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่
  • Members
  • 265 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:11 PM

โลกนี้มีหลายอาชีพสุจริตที่ขัดกับการนั่งสมาธิ ยกตัวอย่างเช่นอาชีพที่ต้องใช้จินตนาการอย่างอาชีพนักเขียนเป็นต้น

ผมเป็นคนที่ชอบเขียนวรรณกรรมแนวแฟนตาซี

มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ขัดกับการนั่งสมาธิเพราะว่า

งานนี้เป็นงานที่จะต้องปล่อยใจปล่อยความคิดตัวเองไปตามจินตนาการ

แต่การนั่งสมาธิเป็นการทำใจให้หยุดนิ่งอยู่กับที่

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองสิ่งนี้มันขัดกัน

อยากจะถามว่า

1.อาชีพนี้ยังควรจะทำอยู่อีกหรือไม่

2.คิดอย่างไรกับอาชีพที่ต้องปล่อยจินตนาการความคิดของตัวเองออกไปซึ่งขัดกับการทำสมาธิ

3.ถ้ารักอาชีพเหล่านี้จนไม่อยากจะเลิก จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้สามารถนั่งสมาธิไปได้ดีพร้อมๆกันไปด้วยได้

#2 JK564

JK564
  • Members
  • 121 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:23 PM

ผมว่ามันไม่น่าเกี่ยวกันน่ะ เพราะว่าการนั่งสมาธิ ไม่เกี่ยวกับจินตนาการ การนั่งสมาธิคือการหยุดคิด แต่งานที่คุณกำลังทำคือการคิด

#3 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:25 PM

1. ช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำสมาธิ ทุกคนก็น่าจะมีอาชีพที่แตกต่างกันไป ใช้ความคิด ใช้จินตนาการต่างกันไป...พนักงานบัญชี ฯลฯ

2. ไม่น่าจะขัดกันนะคะ ถ้าแยกแยะให้ถูก

3. ทำอาชีพที่รักต่อไป(ถ้าไม่ทำงานก็อาจไม่มีกิน ไม่มีเงินทำบุญสร้างบารมี) แต่ถึงเวลาที่ต้องทำสมาธิก็ตั้งใจทำให้ดี...หรือไม่ก็ทำงานไป 1 ชั่วโมงก็ทำสมาธิ 1 นาทีงัยค่ะ...อาจจะช่วยส่งผลให้อาชีพการงานดีขึ้นด้วยนะคะ

#4 arraya

arraya
  • Members
  • 298 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:37 PM

เวลานั่งสมาธิก็ไม่คิด ตัดเรื่องงานออกจากใจเวลาจะนั่งสมาธิ เพราะคนอื่นๆที่ช่างจินตนาการถึงไม่เป็นนักเขียนก็ฟุ้งซ่านอยู่ดีหล่ะ
แต่สงสัยว่าอาชีพนักเขียนถ้าเขียนเรื่องราวทางโลกจะมีวิบากเหมือนนักแสดงที่ทำให้คนดูเกิดโมหะไหมคะ

#5 ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่

ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่
  • Members
  • 265 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:57 PM

ปัญหามันอยู่ตรงที่อาชีพนี้มันทำให้เรามีกำลังที่จะคิดฟุ้งซ่านมากขึ้น และฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆน่ะสิครับ

ซึ่งมันทำให้เวลาที่เรานั่งสมาธิ เราควบคุมจิตใจตนเองได้ยากขึ้นเรื่อยๆเพราะเผลอแค่แวบเดียวเราก็จะนึกถึงเรื่องราวแฟนตาซีที่เราชอบแล้ว

#6 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:02 PM

QUOTE
ซึ่งมันทำให้เวลาที่เรานั่งสมาธิ เราควบคุมจิตใจตนเองได้ยากขึ้นเรื่อยๆเพราะเผลอแค่แวบเดียวเราก็จะนึกถึงเรื่องราวแฟนตาซีที่เราชอบแล้ว
ถ้าปฏิบัติจริงจัง ต่อเนื่องทุกวัน...ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลยน๊า...ลองฟังคนอื่นก่อน มีใครเป็นบ้าง unsure.gif

#7 ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่

ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่
  • Members
  • 265 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:10 PM

ขอปรับปรุงคำถามของคุณ arraya


ถ้าไม่เขียนเรื่องราวทางโลกแต่เขียนเรื่องที่คิดขึ้นจากจินตนาการเองล้วนๆ จะมีวิบากเหมือนนักแสดงไหม???

#8 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:27 PM

ถ้าเขียนทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจ อยากมีคุณธรรมเพิ่มขึ้น อยากละโลภ โกรธ หลง ก็ไม่บาป แต่เป็นบุญครับ แต่ถ้าตรงข้ามก็บาป ส่วนเรื่องอาชีพนั้น อาชีพที่เหมาะกับการนั่งสมาธิมากที่สุด คือ เป็นพระน่ะครับ มีเวลานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ครับ อาชีพอื่นเวลาในการปฏิบัติธรรม ย่อมลดลงไปตามส่วน
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#9 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:36 PM

ไม่ขัดนะคะ ขนาดขับรถอยู่ ยังมีคนตรึกกลางของกลางเรื่อยไป จนเข้าถึงองค์พระขณะขับรถได้เลยค่ะ
เวลานั่งสมาธิต้องทำใจหยุด
แต่ภายหลังจากนั่งสมาธิเสร็จแล้ว สมองคุณจะปลอดโปร่ง จินตนาการจะแล่นฉิวทีเดียว
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#10 นับดาว

นับดาว
  • Members
  • 422 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 05:09 PM

จริงๆแล้วตัวเองก็มีงานเขียนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน (แม้จะไม่เก่งขนาดเขียนวรรณกรรมแฟนตาซี red_smile.gif )

จึงอยากจะนำประสบการณ์มาแชร์ให้ทราบ เผื่อจะนำไปใช้ได้นะคะ

จริงอยู่ที่งานเขียนเป็นงานที่ต้องใช้การคิดอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงที่เริ่มงานเขียนใหม่ๆ ก็มีปัญหานิดหน่อยเหมือนกัน เพราะนั่งธรรมะแล้วฟุ้งแหลก

ยิ่งนั่งยิ่งเหนื่อยจนแทบจะถอดใจไปหลายหน

จนในที่สุด ก็ตัดสินใจเลือกว่า สมาธินี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ช่วงนั้นจึงหยุดงานเขียน (และการอ่านเกือบทุกชนิด ซึ่งก็แทบแย่ เพราะชอบอ่านหนังสือมากๆๆๆๆ)

ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างจริงจัง ให้เวลาจนมีผลการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับหนึ่ง (ซึ่งก็ไม่ถือว่าดีมากนะคะ)

ในที่สุดก็ค้นพบว่า เมื่อใจหยุดในระดับหนึ่งแล้ว จะไม่มีความคิดใดๆมาแผ้วพาน

เรื่องราวในสมอง และในใจจะถูกจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ

เวลานั่งสมาธิ อาจจะมีฟุ้งบ้าง แต่ก็ไม่ฟุ้งแหลกแบบช่วงก่อน

เหมือนมีลิ้นชักเก็บเรื่องต่างๆ เวลาจะใช้เรื่องไหนก็ดึงลิ้นชักเรื่องนั้นๆออกมา

แถมเวลาเขียนหนังสือ การฝึกสมาธิก็ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น

ตอนนี้เลยแนะนำว่า ลองตั้งใจฝึกสมาธิสักหน่อยก่อนมั๊ยคะ..แล้วค่อยๆปรับไป

อีกหน่อยก็จะมีลิ้นชักส่วนตัวใช้ ..ข้อสำคัญต้องอดทนฝึกนะคะ อย่าท้อ..ขอเอาใจช่วยค่ะ



ถ้าใจใส

เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน

#11 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 06:34 PM

QUOTE
1.อาชีพนี้ยังควรจะทำอยู่อีกหรือไม่

ทำต่อไปเถอะค่ะ
หนูก็เป็นเหมือนกัน
แต่กำลังเริ่ม
แต่ควรเขียนให้สร้างสรรค์ สอดแทรกการหยุดหารนิ่งลงไปด้วยนะคะ

การนั่งสมาธิช่วยให้จิตนาการแล่นได้ดีขึ้นค่ะ

QUOTE
2.คิดอย่างไรกับอาชีพที่ต้องปล่อยจินตนาการความคิดของตัวเองออกไปซึ่งขัดกับการทำสมาธิ

ปล่อยจินตนาการเมื่อควรปล่อย

หยุดเมื่อควรหยุด
สมองมนุษย์เป็นเพีงกล้ามเนื้อ ทำงานมากก็ over load เหมือนกันนะคะ
ต้องมีการพักใจด้วย

ลองศึกษาดูค่ะ
ปล. อย่าไปนั่งแบบ hippy แล้วกัน
เพราะพวกนั้นนั่งเพราะเมายา
ไม่ได้ผลอะไร

QUOTE
3.ถ้ารักอาชีพเหล่านี้จนไม่อยากจะเลิก จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้สามารถนั่งสมาธิไปได้ดีพร้อมๆกันไปด้วยได้

ตามที่อธิบายค่ะ

มีอะไรอยากทราบก็คุยกับในฐานะนักเขียนด้วยกันเองได้นะคะ

muralath2@ hotmail.com ค่ะ

QUOTE
1.อาชีพนี้ยังควรจะทำอยู่อีกหรือไม่

ทำต่อไปเถอะค่ะ
หนูก็เป็นเหมือนกัน
แต่กำลังเริ่ม
แต่ควรเขียนให้สร้างสรรค์ สอดแทรกการหยุดหารนิ่งลงไปด้วยนะคะ

การนั่งสมาธิช่วยให้จิตนาการแล่นได้ดีขึ้นค่ะ

QUOTE
2.คิดอย่างไรกับอาชีพที่ต้องปล่อยจินตนาการความคิดของตัวเองออกไปซึ่งขัดกับการทำสมาธิ

ปล่อยจินตนาการเมื่อควรปล่อย

หยุดเมื่อควรหยุด
สมองมนุษย์เป็นเพีงกล้ามเนื้อ ทำงานมากก็ over load เหมือนกันนะคะ
ต้องมีการพักใจด้วย

ลองศึกษาดูค่ะ
ปล. อย่าไปนั่งแบบ hippy แล้วกัน
เพราะพวกนั้นนั่งเพราะเมายา
ไม่ได้ผลอะไร

QUOTE
3.ถ้ารักอาชีพเหล่านี้จนไม่อยากจะเลิก จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้สามารถนั่งสมาธิไปได้ดีพร้อมๆกันไปด้วยได้

ตามที่อธิบายค่ะ

มีอะไรอยากทราบก็คุยกับในฐานะนักเขียนด้วยกันเองได้นะคะ

muralath2@ hotmail.com ค่ะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#12 ครูอุ๋ย

ครูอุ๋ย
  • Members
  • 137 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 07:20 PM

อนุโมทนาด้วยนะคะ ที่นักเขียนใสใจนั่งสมาธิกัน ดีเยี่ยมอย่างนี้ อนาคตจะมีแต่เรื่องราวดีๆ ในสังคมของเรา สาธุ สาธุ สาธุ

#13 ชาร์ป

ชาร์ป
  • Members
  • 985 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ปทุมธานี

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 08:23 PM

ตอบอะไรดีโดนแย่งตอบหมดแล้ว... T-T

นั่งสมาธิไปเถอะครับเพราะ การนั่งสมาธิมันเป็นเหมือนการออกกำลังกาย แต่นี่เป็นการออกกำลังใจแทน ทำให้สภาวะทางด้านจิตใจแข็งแรงขึ้น
ยิ่งเราฝึกซ้อมบ่อยๆ ทำให้เราสามารถดึงความสามารถของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ เป้นสภาวะที่บริสุทธิ์
แล้วถ้าเรานั่งสมาธิไปด้วยกับการเขียนนิยายเนี่ย ไม่แน่นะเนื้อเรื่องที่เราเขียนอาจจะเฉียบไปเลยก็ได้

นอกเรื่อง
สำหรับนักเขียนนิยายทั้งหลายกระผมขอ ทำความรู้จักกันหน่อยสิครับ
[email protected] (ผมไม่ค่อยมีเวลาเล่น msn หรอกนะ)

#14 นักรบทิศตะวันตก

นักรบทิศตะวันตก
  • Members
  • 354 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Bangkok Thailand
  • Interests:...หยุด...

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 09:46 PM

QUOTE
ผมเป็นคนที่ชอบเขียนวรรณกรรมแนวแฟนตาซี
มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ขัดกับการนั่งสมาธิเพราะว่า
งานนี้เป็นงานที่จะต้องปล่อยใจปล่อยความคิดตัวเองไปตามจินตนาการ
แต่การนั่งสมาธิเป็นการทำใจให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองสิ่งนี้มันขัดกัน



ไม่ขัดกันหรอกครับงานที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมก็ไม่ขัดต่อการนั่งมาธิ หน้าที่ทางโลกทำมาหากินก็ต้องทำไป หน้าที่ที่แท้จริงของการมาเกิดคือการทำใจหยุดเฉยๆก็ต้องทำ อย่างขาดไม่ได้
ลองคิดอีกแง่ผมว่างานทั้งสองนี่เกี่ยวข้องกันนะครับ เพราะงานเขียนต้องปล่อยจินตนาการได้อารมณ์สบาย การนั่งสมาธิก็เช่นเดียวกันต้องมีสติ+อารมณ์สบาย
.........................ขึ้นต้นอะไรก็ได้ แต่ลงท้ายจะอยู่ที่ศูนย์กลางกาย........................................



ผู้มีความกล้า....ย่อมมีความหวัง...

.
ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ

#15 light mint

light mint

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

  • Members
  • 1423 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:THAILAND
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 09:51 PM

มีนักเขียนจำนวนมาก ที่นั่งสมาธิ และนั่งได้ดีด้วย ไม่ขัดกับอาชีพค่ะ

ถ้าใจชอบคิดเวลานั่งสมาธิ ก็รักษาสติ แต่ปล่อยอารมณ์สบายๆ อย่าไปเคร่งเครียดกับตัวเอง

ทำการบ้าน 10 ข้อ ของคุณครูไม่ใหญ่ ช่วยได้มากเลยค่ะ

. . . . . . . . . . . . . .

จากคำกล่าวที่ว่า เวลาเรียนก็เรียน เวลาเล่นก็เล่น

เมื่อเป็นเวลาของสิ่งไหน ก็ทำสิ่งนั้นให้ดี
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ


#16 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 11:28 AM

QUOTE
1.อาชีพนี้ยังควรจะทำอยู่อีกหรือไม่

นักเขียนไม่จัดเป็นอาชีพต้องห้าม ยังจัดเป็นสัมมาอาชีวะ

QUOTE
2.คิดอย่างไรกับอาชีพที่ต้องปล่อยจินตนาการความคิดของตัวเองออกไปซึ่งขัดกับการทำสมาธิ

ไม่ได้ขัดกันแต่อย่างใด ขณะปล่อยจินตนาการก็สามารถดำรงสัมมาสติ สัมมาสมาธิได้ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถของสมาธิคู้บัลลังภ์เท่านั้น

QUOTE
3.ถ้ารักอาชีพเหล่านี้จนไม่อยากจะเลิก จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้สามารถนั่งสมาธิไปได้ดีพร้อมๆกันไปด้วยได้

กาลัญญุตา แบ่งเวลางาน-การบ้านของครูไม่ใหญ่ จัดให้ลงตัว นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ แล้ว Creative จะคู่ไปกับความคิดสร้างสรรค์
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#17 Tanay007

Tanay007
  • Members
  • 616 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 12:39 PM

ก็อย่างที่ทุกคนว่ามาครับ ไม่ขัดกันครับ เพียงแต่ว่าควรจะปรับผังการดำเนินชีวิตประจำวันซะบ้าง และสร้างโยนิโส มนสิการ ว่า ช่วงเวลาทำงาน กับช่วงเวลาพักการทำงานยังสามารถอยู่ร่วมกันในวันเดียวกันได้ไม่ขัดแย้งกัน ช่วงเวลาการคิดเขียนงานกับช่วงเวลาหยุดคิดทำสมาธิทำไมจะอยู่ร่วมกันไม่ได้เล่า สงสารใจตัวเองเถิด ให้โอกาสให้ใจตัวเองได้พักบ้างเถิด

#18 จริยคุณกุลภัทร์

จริยคุณกุลภัทร์
  • Members
  • 368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:19 PM

เศรษฐกิจกับจิตใจยังไปด้วยกันได้
แล้วทำไม...........เรื่องนี้จึงทำไม่ได้
...เป็นกำลังใจให้นะคะ.............
คุณทำได้แน่ๆถ้าได้ทำ..........
ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ทำ.............
เพราะฉนั้นทำเถอะค่ะ..สาธุ

#19 lZephirothZl

lZephirothZl
  • Members
  • 50 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 12:35 AM

happy.gif ผมว่าแยกกันได้นะครับ ต้องปรับใจ ที่สำคัญ คือ ยังไงสมาธิก้อขาดไม่ได้นะครับ happy.gif

#20 glouy.

glouy.
  • Members
  • 605 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 03:21 PM

ผมเห็นว่ามันไม่เห็นจะขัดแย้งกันเลยน่ะครับ แยกแยะให้ถูก เราสามารถทำงาน ไปพร้อมกับการทำสมาธิ ไปคู่กัน ครับ


(( ชอบจริงๆเลย)) กับคำพูดของคุณดับดาว "อีกหน่อยก็จะมีลิ้นชักส่วนตัวใช้"

ลูกพระธรรม

#21 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 07:58 PM

nerd_smile.gif เวลาเราทานข้าว เราจะไม่สามารถพูดได้

ถ้าฝืนทำ ..!!!

ข้าวก็จะกระเด็นออกจากปาก nerd_smile.gif

smile.gif เวลาเราพูด เราก็จะไม่สามารถ เคี้ยวข้าวได้ smile.gif

smile.gif กระทู้ที่ท่านได้ตั้งมา ฉันใดก็ฉันนั้น ครับ
smile.gif



ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#22 นับดาว

นับดาว
  • Members
  • 422 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 11:20 AM

QUOTE
(( ชอบจริงๆเลย)) กับคำพูดของคุณดับดาว "อีกหน่อยก็จะมีลิ้นชักส่วนตัวใช้"


ลืมไปค่ะว่าเดี๋ยวนี้เป็นยุค IT คำว่าลิ้นชักอาจจะเชยไปแล้ว... จะเปลี่ยนเป็นคำว่า

"มี Floder ส่วนตัว" ก็ได้นะคะ happy.gif

QUOTE
เวลาเราทานข้าว เราจะไม่สามารถพูดได้


ถ้าฝืนทำ ..!!!


ข้าวก็จะกระเด็นออกจากปาก

เวลาเราพูด เราก็จะไม่สามารถ เคี้ยวข้าวได้

กระทู้ที่ท่านได้ตั้งมา ฉันใดก็ฉันนั้น ครับ


พยายามตีความแล้ว แต่ไม่เข้าใจอ่ะค่ะ รบกวนคุณเถลิงเกียรติช่วยขยายความ

จะเป็นพระคุณกับคนคิดไม่ออกอย่างยิ่งค่ะ

หมายถึง คนเราทำได้ทีละอย่างเหรอคะ ?
ถ้าใจใส

เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน

#23 ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่

ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่
  • Members
  • 265 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 12:38 PM

คุณนับดาวน่าจะเข้าใจถูกแล้วล่ะครับ

#24 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 04:13 PM

เด็กชายคนหนึ่งอายุราว๗-๘ ขวบ มาถามท่านอาจารย์ว่า “หลวงลุง ทำไมทุกอย่างจึงมีชื่อเล่าครับ” บางท่านฟังดูแล้วอาจจะเห็นเป็นคำถามซื่อ ๆ ของเด็ก ๆที่ไร้เดียงสา จึงเป็นคำถามที่ไร้สาระ บางคนอาจจะคิดเลยเถิดไปว่า ถามอะไรโง่ ๆ เช่นนั้น ทุกอย่างมันก็ต้องมีชื่อเรียก ที่จริงแล้วคำถามซื่อ ๆ โง่ ๆ ของเด็กชายคนนี้กลับกลายเป็นคำตอบที่เป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธ พูดให้ตรงจุดคือ เด็กคนนี้สามารถเห็นสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลได้ เขาเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นจริง เมื่อใครสามารถเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงได้แล้ว เขาจะไม่เห็น ”ชื่อ” อันเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาใช้เพื่อการสื่อสาร และนี่คือประสบการณ์ที่เด็กคนนี้ได้พบ คือความที่ทุกอย่างไม่มีชื่อในตัวของมัน เขาจึงแปลกใจว่าทำไมผู้ใหญ่จึงตั้งชื่อให้กับทุกอย่างเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันไม่มีชื่อ เด็กคนนี้เห็นความจริงของธรรมชาติหรือ ธรรมสัจจะ นั่นคือความเป็นอย่างนั้นเอง หรือ ตถตา ความที่ไม่มีอะไรผิดจากความเป็นอย่างนั้นเอง อนัญถตา ความจริงในระดับนี้แหละที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุด แต่มิได้หมายความว่าเขารู้ว่ามันคืออะไร เปรียบเหมือนกับชาวป่าที่ไม่เคยเข้าเมืองและไม่รู้คุณค่าของทอง ถึงแม้เขาจะกินนอนอยู่บนผืนดินที่เต็มไปด้วยทอง ทั้ง ๆ ที่เขาเห็น แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉันใดก็ฉันนั้น การเห็นกับการรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเป็นสองขั้นตอนที่แตกต่างกัน เมื่อเห็นแล้วจะต้องมีญานที่มาบอกให้รู้ว่านี่คือสัจธรรมอันสูงสุด ญานนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีการเดินตามแห่งองค์อริยมรรคอันเริ่มต้นด้วยความเห็นชอบและจบลงด้วยการทำสมาธิ ดังนั้น ถึงแม้เด็กคนนี้เห็นสัจจธรรมอันสูงสุด แต่เป็นการเห็นที่ยังอยู่ในแวดวงของความไม่รู้หรืออวิชชา เมื่อไม่รู้ เขาจึงไม่รู้จักรักษาสิ่งที่เขาเห็น เมื่อโตขึ้น เรียนรู้ทางโลกมากขึ้น ความคิดเริ่มซับซ้อน และสิ่งที่เขาเคยเห็นคือสภาวะที่ทุกอย่างไม่มีชื่อนั้นก็ค่อย ๆ จืดจางและหายไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของเด็กชายผู้นี้คล้ายคลึงหรือจะเรียกว่าเหมือนก็ไม่ผิดนักกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนแก่พาหิยะเมื่อครั้งที่พาหิยะรู้สึกรีบร้อนใคร่อยากรู้แก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่สุดทั้ง ๆ ที่ท่านบอกให้พาหิยะคอยก่อนถึงสองครั้งเพราะท่านกำลังนำสาวกเดินบิณฑบาตรอยู่ แต่ในที่สุด พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พาหิยะว่า

พาหิยะ ขอให้เธอทำอย่างนี้นะ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื้อได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น เมื่อลิ้มรสก็สักแต่ว่ารู้รส เมื่อสัมผัสก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส เมื่อเธอทำสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว พระนิพพานจะอยู่ไม่ไกลจากเธอเลย

พาหิยะเมื่อฟังจบก็ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ทันทีเพราะเกิดญาน ฉะนั้น ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุด แต่เขาก็มิได้เป็นพระอริยบุคคลแต่อย่างใดเพราะความรู้ยังไม่เกิด

ที่เล่าเรื่องนี้เพราะให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า สัจธรรมอันสูงสุดเป็นสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ สามารถเห็นได้เหมือนกับที่เด็กคนนี้ได้เห็นมาแล้ว นี่แหละที่ดิฉันได้อธิบายในบทก่อนว่าเหมือนกับภาพสามมิติที่ซ่อนอยู่ในภาพสองมิติ แต่คนส่วนมากก็มองไม่เห็น เด็กคนนี้สามารถเห็นได้ เพราะความคิดความทรงจำของเด็กมีน้อยและไม่ซับซ้อนมากเท่ากับผู้ใหญ่ เขาจึงสามารถเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่งได้ง่าย คือเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นอยู่เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อเห็นอะไรแล้ว สมองแล่นก่อนและเร็วมากจึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างติดมากับชื่อ และไม่ใช่ชื่ออย่างเดียว สมองยังบอกอีกว่าชื่อนั้นมันมีคุณค่าอะไรติดมาด้วย พอรู้คุณค่าแล้ว ก็จะคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องได้เรื่องเสีย ยิ่งคนเรียนมากรู้มากหัวสมองยิ่งซับซ้อนเต็มไปด้วยความคิดความจำและคุณค่าที่ติดมากับมันด้วยแล้ว จะกลายเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการเห็นอย่างซื่อ ๆ คนที่คิดแต่เรื่องได้เรื่องเสียมากเท่าไร ก็จะยิ่งไม่มีวันเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้เลย อย่างไรก็ตาม สัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานก็คือ การสามารถเข้าถึงสภาวะที่ไม่มีชื่อของจักรวาลหรือของสิ่งต่าง ๆ ที่เรากำลังเห็นอยู่สัมผัสอยู่ในขณะนี้นั่นเอง

ในที่สุดก็ต้องวกมาสู่เรื่องเดียวที่จำเป็นต้องรู้ต้องฝึก คือ จะทำอย่างไรจึงจะเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้ คำตอบคือ เราต้องมานั่งฝึกเรื่องสติปัฏฐานสี่หรือวิปัสสนาภาวนา คำว่า วิ แปลว่า แจ้ง หรือ ทะลุ ปัสนา มาจาก ทัสนา คือ การเห็น รวมแล้ว แปลว่าเห็นแจ้ง เห็นทะลุตามความเป็นจริงของมัน คือเห็นความเป็นอย่างนั้นเอง (ตถตา) ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่ง สติปัฏฐานสี่จึงเป็นขั้นตอนของการพยายามลดความซับซ้อนของการคิดการจำให้น้อยลง การลดความซับซ้อนของจิตคือการเอาขยะออกจากจิตที่ติดมากับความคิดและความรู้สึก เช่นขยะเกี่ยวกับเรื่องได้เรื่องเสีย ความโกรธ อิจฉาริษยา ขยะเหล่านี้จะเอาออกไปได้ก็ด้วยการฝึกสติปัฏฐานสี่ เมื่อเอาขยะออกจากจิตได้พอสมควรแล้ว จิตจะมีความบริสุทธิ์มากขึ้นหรือบางทีเรียกว่าจิตว่างก็ได้ ความบริสุทธิ์หรือความว่างของจิตจะทำให้สามารถเห็นความบริสุทธิ์หรือความว่าง (อนัตตา) ของสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับการเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่งทั้งปวงด้วย ผู้ที่อยากเห็นสัจธรรมอันสูงสุดควรจะเร่งรีบหาผู้รู้สอนให้ การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดก็คือการเห็นพระนิพพานและเห็นการสิ้นทุกข์ของตนเองด้วย.



#25 ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่

ท่านต้นผู้ยิ่งใหญ่
  • Members
  • 265 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 11:37 PM

อืม...น้องน้ำทิพย์อธิบายได้ดีจริงๆ

ไม่ทราบว่าเอาข้อมูลมาจากไหนเหรอครับ

#26 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 03:13 PM

happy.gif ขอบคุณมากค่ะ สำหรับคำชม...
นั่นนะซิค่ะ...ลืมบอกที่มาที่ไปของข้อมูล dont_tell_anyone_smile.gif

#27 light mint

light mint

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

  • Members
  • 1423 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:THAILAND
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 05 August 2006 - 02:38 PM

"เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น
เมื่อลิ้มรสก็สักแต่ว่ารู้รส เมื่อสัมผัสก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส"...

และใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7

..............................................

ขออนุโมทนาบุญกับคุณ "หนูชื่อสายน้ำทิพย์"ค่ะ
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ


#28 chankitt

chankitt
  • Members
  • 49 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 02:46 AM

การตัดสิน
ผมว่าขึ้นอยู่กับเป้าหมายครับ
คือ สิ่งที่เราต้องตัดสินใจทุกอย่าง มีมาตรวัดคือ ความดี กับ ความชั่ว
ถ้าว่าดีเราต้องการดีแค่ไหน?เป็นเพราะระดับความดีที่ต้องการนี่แหละครับ

เครื่องมือวัดก็คือ
-ความถูกต้อง นี่ถูกต้องตาม กฏหมาย ระเบียบ เป็นต้น
-ความควรไม่ควร เป็นต้นว่าสิ่งที่ทำมีผลเนื่องกับอะไร ถ้าส่อไปในทางไม่ดีแล้วละก็ไม่ควร
-ความดีความชั่ว ตามกุศลกรรมบท10เลยครับ

ถ้าถามผมถึงอาชีพที่บริสุทธิ์ผมจะนึกถึง อาชีพนักบวชครับ
ส่วนอื่น ๆ ก็ชื่อว่าครองเรือน

ส่วนเรื่องอาชีพนักเขียนกับการปฏิบัติธรรม เราก็ทำทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กันได้ครับ
แต่การจัดสรรเวลานั้นสำคัญ (มันยากนะครับแต่ว่าสำคัญ)

ที่ท่านหนึ่งชวนให้เขียนเรื่องที่สร้างสรรค์ ผมเห็นด้วย
อะไรที่ดี ๆ เวลาที่อ่าน เวลาที่เขียน เวลาที่ระลึกถึง ใจสบายดีนะครับ
การปฏิบัติธรรมด้วยใจที่หยุดนิ่งหลังจากการงานอย่างนี้ ไม่อยากเดาเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป