คิดยังไงกับอาชีพที่ขัดกับการนั่งสมาธิ
#1
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:11 PM
ผมเป็นคนที่ชอบเขียนวรรณกรรมแนวแฟนตาซี
มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ขัดกับการนั่งสมาธิเพราะว่า
งานนี้เป็นงานที่จะต้องปล่อยใจปล่อยความคิดตัวเองไปตามจินตนาการ
แต่การนั่งสมาธิเป็นการทำใจให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองสิ่งนี้มันขัดกัน
อยากจะถามว่า
1.อาชีพนี้ยังควรจะทำอยู่อีกหรือไม่
2.คิดอย่างไรกับอาชีพที่ต้องปล่อยจินตนาการความคิดของตัวเองออกไปซึ่งขัดกับการทำสมาธิ
3.ถ้ารักอาชีพเหล่านี้จนไม่อยากจะเลิก จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้สามารถนั่งสมาธิไปได้ดีพร้อมๆกันไปด้วยได้
#2
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:23 PM
#3
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:25 PM
2. ไม่น่าจะขัดกันนะคะ ถ้าแยกแยะให้ถูก
3. ทำอาชีพที่รักต่อไป(ถ้าไม่ทำงานก็อาจไม่มีกิน ไม่มีเงินทำบุญสร้างบารมี) แต่ถึงเวลาที่ต้องทำสมาธิก็ตั้งใจทำให้ดี...หรือไม่ก็ทำงานไป 1 ชั่วโมงก็ทำสมาธิ 1 นาทีงัยค่ะ...อาจจะช่วยส่งผลให้อาชีพการงานดีขึ้นด้วยนะคะ
#4
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:37 PM
แต่สงสัยว่าอาชีพนักเขียนถ้าเขียนเรื่องราวทางโลกจะมีวิบากเหมือนนักแสดงที่ทำให้คนดูเกิดโมหะไหมคะ
#5
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 03:57 PM
ซึ่งมันทำให้เวลาที่เรานั่งสมาธิ เราควบคุมจิตใจตนเองได้ยากขึ้นเรื่อยๆเพราะเผลอแค่แวบเดียวเราก็จะนึกถึงเรื่องราวแฟนตาซีที่เราชอบแล้ว
#6
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:02 PM
#7
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:10 PM
ถ้าไม่เขียนเรื่องราวทางโลกแต่เขียนเรื่องที่คิดขึ้นจากจินตนาการเองล้วนๆ จะมีวิบากเหมือนนักแสดงไหม???
#8
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:27 PM
#9
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:36 PM
เวลานั่งสมาธิต้องทำใจหยุด
แต่ภายหลังจากนั่งสมาธิเสร็จแล้ว สมองคุณจะปลอดโปร่ง จินตนาการจะแล่นฉิวทีเดียว
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#10
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 05:09 PM
จึงอยากจะนำประสบการณ์มาแชร์ให้ทราบ เผื่อจะนำไปใช้ได้นะคะ
จริงอยู่ที่งานเขียนเป็นงานที่ต้องใช้การคิดอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงที่เริ่มงานเขียนใหม่ๆ ก็มีปัญหานิดหน่อยเหมือนกัน เพราะนั่งธรรมะแล้วฟุ้งแหลก
ยิ่งนั่งยิ่งเหนื่อยจนแทบจะถอดใจไปหลายหน
จนในที่สุด ก็ตัดสินใจเลือกว่า สมาธินี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ช่วงนั้นจึงหยุดงานเขียน (และการอ่านเกือบทุกชนิด ซึ่งก็แทบแย่ เพราะชอบอ่านหนังสือมากๆๆๆๆ)
ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างจริงจัง ให้เวลาจนมีผลการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับหนึ่ง (ซึ่งก็ไม่ถือว่าดีมากนะคะ)
ในที่สุดก็ค้นพบว่า เมื่อใจหยุดในระดับหนึ่งแล้ว จะไม่มีความคิดใดๆมาแผ้วพาน
เรื่องราวในสมอง และในใจจะถูกจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ
เวลานั่งสมาธิ อาจจะมีฟุ้งบ้าง แต่ก็ไม่ฟุ้งแหลกแบบช่วงก่อน
เหมือนมีลิ้นชักเก็บเรื่องต่างๆ เวลาจะใช้เรื่องไหนก็ดึงลิ้นชักเรื่องนั้นๆออกมา
แถมเวลาเขียนหนังสือ การฝึกสมาธิก็ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
ตอนนี้เลยแนะนำว่า ลองตั้งใจฝึกสมาธิสักหน่อยก่อนมั๊ยคะ..แล้วค่อยๆปรับไป
อีกหน่อยก็จะมีลิ้นชักส่วนตัวใช้ ..ข้อสำคัญต้องอดทนฝึกนะคะ อย่าท้อ..ขอเอาใจช่วยค่ะ
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#11
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 06:34 PM
ทำต่อไปเถอะค่ะ
หนูก็เป็นเหมือนกัน
แต่กำลังเริ่ม
แต่ควรเขียนให้สร้างสรรค์ สอดแทรกการหยุดหารนิ่งลงไปด้วยนะคะ
การนั่งสมาธิช่วยให้จิตนาการแล่นได้ดีขึ้นค่ะ
ปล่อยจินตนาการเมื่อควรปล่อย
หยุดเมื่อควรหยุด
สมองมนุษย์เป็นเพีงกล้ามเนื้อ ทำงานมากก็ over load เหมือนกันนะคะ
ต้องมีการพักใจด้วย
ลองศึกษาดูค่ะ
ปล. อย่าไปนั่งแบบ hippy แล้วกัน
เพราะพวกนั้นนั่งเพราะเมายา
ไม่ได้ผลอะไร
ตามที่อธิบายค่ะ
มีอะไรอยากทราบก็คุยกับในฐานะนักเขียนด้วยกันเองได้นะคะ
muralath2@ hotmail.com ค่ะ
ทำต่อไปเถอะค่ะ
หนูก็เป็นเหมือนกัน
แต่กำลังเริ่ม
แต่ควรเขียนให้สร้างสรรค์ สอดแทรกการหยุดหารนิ่งลงไปด้วยนะคะ
การนั่งสมาธิช่วยให้จิตนาการแล่นได้ดีขึ้นค่ะ
ปล่อยจินตนาการเมื่อควรปล่อย
หยุดเมื่อควรหยุด
สมองมนุษย์เป็นเพีงกล้ามเนื้อ ทำงานมากก็ over load เหมือนกันนะคะ
ต้องมีการพักใจด้วย
ลองศึกษาดูค่ะ
ปล. อย่าไปนั่งแบบ hippy แล้วกัน
เพราะพวกนั้นนั่งเพราะเมายา
ไม่ได้ผลอะไร
ตามที่อธิบายค่ะ
มีอะไรอยากทราบก็คุยกับในฐานะนักเขียนด้วยกันเองได้นะคะ
muralath2@ hotmail.com ค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#12
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 07:20 PM
#13
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 08:23 PM
นั่งสมาธิไปเถอะครับเพราะ การนั่งสมาธิมันเป็นเหมือนการออกกำลังกาย แต่นี่เป็นการออกกำลังใจแทน ทำให้สภาวะทางด้านจิตใจแข็งแรงขึ้น
ยิ่งเราฝึกซ้อมบ่อยๆ ทำให้เราสามารถดึงความสามารถของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ เป้นสภาวะที่บริสุทธิ์
แล้วถ้าเรานั่งสมาธิไปด้วยกับการเขียนนิยายเนี่ย ไม่แน่นะเนื้อเรื่องที่เราเขียนอาจจะเฉียบไปเลยก็ได้
นอกเรื่อง
สำหรับนักเขียนนิยายทั้งหลายกระผมขอ ทำความรู้จักกันหน่อยสิครับ
[email protected] (ผมไม่ค่อยมีเวลาเล่น msn หรอกนะ)
#14
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 09:46 PM
มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ขัดกับการนั่งสมาธิเพราะว่า
งานนี้เป็นงานที่จะต้องปล่อยใจปล่อยความคิดตัวเองไปตามจินตนาการ
แต่การนั่งสมาธิเป็นการทำใจให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองสิ่งนี้มันขัดกัน
ไม่ขัดกันหรอกครับงานที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมก็ไม่ขัดต่อการนั่งมาธิ หน้าที่ทางโลกทำมาหากินก็ต้องทำไป หน้าที่ที่แท้จริงของการมาเกิดคือการทำใจหยุดเฉยๆก็ต้องทำ อย่างขาดไม่ได้
ลองคิดอีกแง่ผมว่างานทั้งสองนี่เกี่ยวข้องกันนะครับ เพราะงานเขียนต้องปล่อยจินตนาการได้อารมณ์สบาย การนั่งสมาธิก็เช่นเดียวกันต้องมีสติ+อารมณ์สบาย
.........................ขึ้นต้นอะไรก็ได้ แต่ลงท้ายจะอยู่ที่ศูนย์กลางกาย........................................
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#15
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 09:51 PM
ถ้าใจชอบคิดเวลานั่งสมาธิ ก็รักษาสติ แต่ปล่อยอารมณ์สบายๆ อย่าไปเคร่งเครียดกับตัวเอง
ทำการบ้าน 10 ข้อ ของคุณครูไม่ใหญ่ ช่วยได้มากเลยค่ะ
. . . . . . . . . . . . . .
จากคำกล่าวที่ว่า เวลาเรียนก็เรียน เวลาเล่นก็เล่น
เมื่อเป็นเวลาของสิ่งไหน ก็ทำสิ่งนั้นให้ดี
#16
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 11:28 AM
นักเขียนไม่จัดเป็นอาชีพต้องห้าม ยังจัดเป็นสัมมาอาชีวะ
ไม่ได้ขัดกันแต่อย่างใด ขณะปล่อยจินตนาการก็สามารถดำรงสัมมาสติ สัมมาสมาธิได้ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถของสมาธิคู้บัลลังภ์เท่านั้น
กาลัญญุตา แบ่งเวลางาน-การบ้านของครูไม่ใหญ่ จัดให้ลงตัว นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ แล้ว Creative จะคู่ไปกับความคิดสร้างสรรค์
#17
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 12:39 PM
#18
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:19 PM
แล้วทำไม...........เรื่องนี้จึงทำไม่ได้
...เป็นกำลังใจให้นะคะ.............
คุณทำได้แน่ๆถ้าได้ทำ..........
ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ทำ.............
เพราะฉนั้นทำเถอะค่ะ..สาธุ
#19
โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 12:35 AM
#20
โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 03:21 PM
(( ชอบจริงๆเลย)) กับคำพูดของคุณดับดาว "อีกหน่อยก็จะมีลิ้นชักส่วนตัวใช้"
ลูกพระธรรม
#21
โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 07:58 PM
เวลาเราพูด เราก็จะไม่สามารถ เคี้ยวข้าวได้
กระทู้ที่ท่านได้ตั้งมา ฉันใดก็ฉันนั้น ครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#22
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 11:20 AM
ลืมไปค่ะว่าเดี๋ยวนี้เป็นยุค IT คำว่าลิ้นชักอาจจะเชยไปแล้ว... จะเปลี่ยนเป็นคำว่า
"มี Floder ส่วนตัว" ก็ได้นะคะ
ถ้าฝืนทำ ..!!!
ข้าวก็จะกระเด็นออกจากปาก
เวลาเราพูด เราก็จะไม่สามารถ เคี้ยวข้าวได้
กระทู้ที่ท่านได้ตั้งมา ฉันใดก็ฉันนั้น ครับ
พยายามตีความแล้ว แต่ไม่เข้าใจอ่ะค่ะ รบกวนคุณเถลิงเกียรติช่วยขยายความ
จะเป็นพระคุณกับคนคิดไม่ออกอย่างยิ่งค่ะ
หมายถึง คนเราทำได้ทีละอย่างเหรอคะ ?
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#23
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 12:38 PM
#24
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 04:13 PM
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุด แต่มิได้หมายความว่าเขารู้ว่ามันคืออะไร เปรียบเหมือนกับชาวป่าที่ไม่เคยเข้าเมืองและไม่รู้คุณค่าของทอง ถึงแม้เขาจะกินนอนอยู่บนผืนดินที่เต็มไปด้วยทอง ทั้ง ๆ ที่เขาเห็น แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉันใดก็ฉันนั้น การเห็นกับการรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเป็นสองขั้นตอนที่แตกต่างกัน เมื่อเห็นแล้วจะต้องมีญานที่มาบอกให้รู้ว่านี่คือสัจธรรมอันสูงสุด ญานนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีการเดินตามแห่งองค์อริยมรรคอันเริ่มต้นด้วยความเห็นชอบและจบลงด้วยการทำสมาธิ ดังนั้น ถึงแม้เด็กคนนี้เห็นสัจจธรรมอันสูงสุด แต่เป็นการเห็นที่ยังอยู่ในแวดวงของความไม่รู้หรืออวิชชา เมื่อไม่รู้ เขาจึงไม่รู้จักรักษาสิ่งที่เขาเห็น เมื่อโตขึ้น เรียนรู้ทางโลกมากขึ้น ความคิดเริ่มซับซ้อน และสิ่งที่เขาเคยเห็นคือสภาวะที่ทุกอย่างไม่มีชื่อนั้นก็ค่อย ๆ จืดจางและหายไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของเด็กชายผู้นี้คล้ายคลึงหรือจะเรียกว่าเหมือนก็ไม่ผิดนักกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนแก่พาหิยะเมื่อครั้งที่พาหิยะรู้สึกรีบร้อนใคร่อยากรู้แก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่สุดทั้ง ๆ ที่ท่านบอกให้พาหิยะคอยก่อนถึงสองครั้งเพราะท่านกำลังนำสาวกเดินบิณฑบาตรอยู่ แต่ในที่สุด พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พาหิยะว่า
พาหิยะ ขอให้เธอทำอย่างนี้นะ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื้อได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น เมื่อลิ้มรสก็สักแต่ว่ารู้รส เมื่อสัมผัสก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส เมื่อเธอทำสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว พระนิพพานจะอยู่ไม่ไกลจากเธอเลย
พาหิยะเมื่อฟังจบก็ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ทันทีเพราะเกิดญาน ฉะนั้น ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุด แต่เขาก็มิได้เป็นพระอริยบุคคลแต่อย่างใดเพราะความรู้ยังไม่เกิด
ที่เล่าเรื่องนี้เพราะให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า สัจธรรมอันสูงสุดเป็นสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ สามารถเห็นได้เหมือนกับที่เด็กคนนี้ได้เห็นมาแล้ว นี่แหละที่ดิฉันได้อธิบายในบทก่อนว่าเหมือนกับภาพสามมิติที่ซ่อนอยู่ในภาพสองมิติ แต่คนส่วนมากก็มองไม่เห็น เด็กคนนี้สามารถเห็นได้ เพราะความคิดความทรงจำของเด็กมีน้อยและไม่ซับซ้อนมากเท่ากับผู้ใหญ่ เขาจึงสามารถเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่งได้ง่าย คือเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นอยู่เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อเห็นอะไรแล้ว สมองแล่นก่อนและเร็วมากจึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างติดมากับชื่อ และไม่ใช่ชื่ออย่างเดียว สมองยังบอกอีกว่าชื่อนั้นมันมีคุณค่าอะไรติดมาด้วย พอรู้คุณค่าแล้ว ก็จะคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องได้เรื่องเสีย ยิ่งคนเรียนมากรู้มากหัวสมองยิ่งซับซ้อนเต็มไปด้วยความคิดความจำและคุณค่าที่ติดมากับมันด้วยแล้ว จะกลายเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการเห็นอย่างซื่อ ๆ คนที่คิดแต่เรื่องได้เรื่องเสียมากเท่าไร ก็จะยิ่งไม่มีวันเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้เลย อย่างไรก็ตาม สัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานก็คือ การสามารถเข้าถึงสภาวะที่ไม่มีชื่อของจักรวาลหรือของสิ่งต่าง ๆ ที่เรากำลังเห็นอยู่สัมผัสอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
ในที่สุดก็ต้องวกมาสู่เรื่องเดียวที่จำเป็นต้องรู้ต้องฝึก คือ จะทำอย่างไรจึงจะเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้ คำตอบคือ เราต้องมานั่งฝึกเรื่องสติปัฏฐานสี่หรือวิปัสสนาภาวนา คำว่า วิ แปลว่า แจ้ง หรือ ทะลุ ปัสนา มาจาก ทัสนา คือ การเห็น รวมแล้ว แปลว่าเห็นแจ้ง เห็นทะลุตามความเป็นจริงของมัน คือเห็นความเป็นอย่างนั้นเอง (ตถตา) ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่ง สติปัฏฐานสี่จึงเป็นขั้นตอนของการพยายามลดความซับซ้อนของการคิดการจำให้น้อยลง การลดความซับซ้อนของจิตคือการเอาขยะออกจากจิตที่ติดมากับความคิดและความรู้สึก เช่นขยะเกี่ยวกับเรื่องได้เรื่องเสีย ความโกรธ อิจฉาริษยา ขยะเหล่านี้จะเอาออกไปได้ก็ด้วยการฝึกสติปัฏฐานสี่ เมื่อเอาขยะออกจากจิตได้พอสมควรแล้ว จิตจะมีความบริสุทธิ์มากขึ้นหรือบางทีเรียกว่าจิตว่างก็ได้ ความบริสุทธิ์หรือความว่างของจิตจะทำให้สามารถเห็นความบริสุทธิ์หรือความว่าง (อนัตตา) ของสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับการเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่งทั้งปวงด้วย ผู้ที่อยากเห็นสัจธรรมอันสูงสุดควรจะเร่งรีบหาผู้รู้สอนให้ การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดก็คือการเห็นพระนิพพานและเห็นการสิ้นทุกข์ของตนเองด้วย.
#25
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 11:37 PM
ไม่ทราบว่าเอาข้อมูลมาจากไหนเหรอครับ
#26
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 03:13 PM
นั่นนะซิค่ะ...ลืมบอกที่มาที่ไปของข้อมูล
#27
โพสต์เมื่อ 05 August 2006 - 02:38 PM
เมื่อลิ้มรสก็สักแต่ว่ารู้รส เมื่อสัมผัสก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส"...
และใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7
..............................................
ขออนุโมทนาบุญกับคุณ "หนูชื่อสายน้ำทิพย์"ค่ะ
#28
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 02:46 AM
ผมว่าขึ้นอยู่กับเป้าหมายครับ
คือ สิ่งที่เราต้องตัดสินใจทุกอย่าง มีมาตรวัดคือ ความดี กับ ความชั่ว
ถ้าว่าดีเราต้องการดีแค่ไหน?เป็นเพราะระดับความดีที่ต้องการนี่แหละครับ
เครื่องมือวัดก็คือ
-ความถูกต้อง นี่ถูกต้องตาม กฏหมาย ระเบียบ เป็นต้น
-ความควรไม่ควร เป็นต้นว่าสิ่งที่ทำมีผลเนื่องกับอะไร ถ้าส่อไปในทางไม่ดีแล้วละก็ไม่ควร
-ความดีความชั่ว ตามกุศลกรรมบท10เลยครับ
ถ้าถามผมถึงอาชีพที่บริสุทธิ์ผมจะนึกถึง อาชีพนักบวชครับ
ส่วนอื่น ๆ ก็ชื่อว่าครองเรือน
ส่วนเรื่องอาชีพนักเขียนกับการปฏิบัติธรรม เราก็ทำทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กันได้ครับ
แต่การจัดสรรเวลานั้นสำคัญ (มันยากนะครับแต่ว่าสำคัญ)
ที่ท่านหนึ่งชวนให้เขียนเรื่องที่สร้างสรรค์ ผมเห็นด้วย
อะไรที่ดี ๆ เวลาที่อ่าน เวลาที่เขียน เวลาที่ระลึกถึง ใจสบายดีนะครับ
การปฏิบัติธรรมด้วยใจที่หยุดนิ่งหลังจากการงานอย่างนี้ ไม่อยากเดาเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป