เราสามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ได้กี่ครั้ง?
#1
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 11:24 PM
1.ตั้งแต่เราเกิดมาในชาติแรกจนถึงชาติสุดท้ายนับรวมกันได้ประมาณกี่ล้านครั้ง
2.ในครั้งแรกที่มีมนุษย์เกิดขึ้น (ครั้งแรกจริงๆ ไม่ใช่ครั้งที่เป็นพรหมลงมา แต่หมายถึงว่าครั้งแรกก่อนที่จะมีพรหมเกิดขึ้น) มนุษย์เกิดขึ้นจากอะไร
3.การที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นต้องทำบุญอย่างไรบ้าง
4.การที่เราสามารถสร้างบารมีได้มากถึงขนาดที่ว่าเวียนว่ายอยู่แต่ในโลกของมนุษย์และสวรรค์จะทำให้ในชาติต่อๆไปเราจะได้รูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกับกายมหาบุรุษมากขึ้น และมีโภคทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือไม่
5.เมื่อบารมีเราถึงพร้อมแล้วได้เวลาเข้านิพพานของเราแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาของหมู่คณะควรจะทำอย่างไร
เพิ่มอีกข้อ
6.ที่สุดแห่งธรรมนี่หมายถึงนิพพานใช่หรือไม่
#2
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 02:23 AM
#3
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 06:28 AM
3. ก็ต้องรักษาศีล 5 ให้ได้ จะเป็นการการันตีให้ครับ
4. ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานด้วยครับ แต่ก็ไม่แน่อีกถ้าชาติใดชาตินึงเกิดพลาดท่า
5. ก็รอสิครับ
![smile.gif](style_emoticons/default/smile.gif)
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#4
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 07:08 AM
และพระพุทธเจ้าท่านไม่ตอบคำถามเหล่านี้ เพราะไม่เกิดประโยชน์
ทำใมเราไม่เข้าไปดูเอง เครื่องมือต่างๆท่านได้ให้เราหมดแล้ว
เพียงเราทำใจหยุดใจนิ่ง เมื่อเข้าถึงองค์พระภายใน ความรู้ต่าง
ก็จะบังเกิดขึ้นเอง
3. ศีล5 ครับ ทำทานมากๆ เวลาเกิดมาใหม่จะได้มีทรัพย์ จะทำให้เรารักษาสีลได้สะดวกยิ่งขึ้น
4. ทำได้ครับแต่ต้องสร้างบุญบารมีเพิ่มเพราะใช้ย่างเดียวเดี่ยวหมด
5. รอ หรือเข้าก่อนก็ได้
6. คงเป็นเช่นนั้นและครับ
#5
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 07:56 AM
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
#6
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 09:27 AM
ล้านครั้งน้อยไปครับ คนเราเกิดมาหลายชาติ มากมายจนไม่สามารถจะมีตัวเลขหรือหน่วยวัดใดๆมาคำนวนนับได้นอกจากญาณทัศนะของพระอริยะเจ้า
คนเราเกิดมาครั้งแรก เป็นการเริ่มต้นจากที่สุดในเบื้องต้นแห่งการถือกำเนิดธาตุธรรมทั้งมวล โดยแบ่งออกเป็นขาวกับดำ มาเป็นความรู้ ความไม่รู้ ความมีความไม่มี ความชั่วความดี มาเป็นสรรพสิ่งละเอียดปลีกย่อย นับไม่ถ้วน จนมาเป็น มนุษย์ตาดำๆ ข้อนี้อธิบายยากครับ เป็นปัจจัจตัง คือเป็นสิ่งที่ผู้รู้ๆได้เฉพาะตน แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ทรงตอบ ถือเป็นเรื่องอจินไตย คือสิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะเกินสติปัญญาของมนุษย์ เหมือนกับนักดาราศาสตร์ พยามหาจุดเกิดของจักรวาล ซึ่งหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ยิ่งหาจักรวาลก็ยิ่งกว้างไกลออกไป หาทั้งชาติก็ไม่เจอ เพราะเกินสติปัญญา แต่หากพัฒนาปัญญาของตน โดยเริ่มที่กับภาวนาให้เกิดปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาเกินมนุษย์ เป็นปัญญาแห่งพระอริยเจ้า ที่เพียงพอจะสามารถไปรู้ไปเห็นในสิ่งเหล่านี้ได้
คุณธรรมที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์คือ มีศีล5เป็นปรกติครับ ไม่ฆ่า ไม่ขโมย ไม่กาม ไม่เท็จ ไม่เมา
แต่จะเป็นมนุษย์ระดับใหนก็ย่อมขึ้นอยู่กับบุญและบาปในตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรวยจนยาจกวนิพก ล้วนมาจากบุญบาปทั้งสิ้น
ได้ครับ ขอให้มีมโนปณิธานอันแน่วแน่ หรือที่เรียกว่า เป็นนิตยโพธิสัตว์ พ้นจากความอาภัพ18ประการทั้งปวง สามารถสร้างบารมีของตนให้เอกอุขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับข้อนี้ รอให้ถึงเวลานั้นก็ดีกว่าครับ แล้วคุณจะตัดสินใจได้เองว่า จะไปเรือลำใหญ่ หรือจะไปเรือลำเล็ก
ที่สุดแห่งธรรมที่หมู่คณะเราเรียกกัน หมายเอาถึง ทุกสรรพสิ่งเข้านิพพานหมดสิ้น ทุกสภาวะธรรมไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดสิ้น เป็นธรรมฝ่ายขาวล้วนๆ ไม่มีดำเลย ดับสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ หลุดออกจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของสะพกิเลสทุกระตระกูล
#7
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:39 AM
ข้อ ๒. เป็นอจินไตย
ข้อ ๓. รักษาศีล ๕ ให้ได้
ข้อ ๔. ต้องสร้างให้ครบ ๓๐ ทัศน์ด้วยจึงจะได้รูปร่างมหาบุรุษและโภคทรัพย์เพิ่มขึ้น
ข้อ ๕. ตามหลักแล้วต้องไปพักระหว่างทางที่ ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เพื่อสร้างบารมีต่อไปอีก
ข้อ ๖. ที่สุดแห่งธรรม คือไปถึงที่สุดแห่งวัฏฏะสงสาร ดับที่เหตุ
#8
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:52 AM
2.อันนี้ละเอียดเกินถ้าตอบไปกลัวจะผิดเอาเป็นว่า รอฟังจากหลวงพ่อธัมมะ พร้อมกันละกัน
3.หลักก็ศีล 5 อ่ะ
4.ถ้าเป็นบารมีแบบ 30 ทัศน์ก็ได้ครับ
5.เอาของหมู่คณะภาคโปรดนะ
5.1 อืมมันต้องได้พยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธก่อนนะสิ
5.2 ที่เข้านิพพานได้ก็มี พระอรหัน พระปัจเจก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
6.ละเอียดเกินกลับไปดูที่ข้อ 2 ครับ
พี่ครับถ้าพี่อยากรู้เรื่องที่ละเอียดดดด+ มาบวชสิครับละเอียดถึงใจ
![laugh.gif](style_emoticons/default/laugh.gif)
#9
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 11:06 AM
ตอบได้แต่เพียง คำตอบอยู่ภายในตัว เมื่อท่านได้เข้าถึงธรรม เป็นเนื้อเป็นหนัง ก็จะทั้งรู้ทั้งเห็น หากได้ศึกษาจากปรมาจารย์แล้ว ก็จักยิ่งหยั่งรู้
#10
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 12:39 PM
ขอเข้ามาอ่านอย่างเดียวเหมือนกันดีกว่าค่ะ
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#11
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 01:52 PM
ยังไม่รุ้ถึงขั้นนั้นข้าน้อยขอความรู้ติดขาติดแข้งไปก่อนนะคะ
#12
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 03:10 PM
นับไม่ถ้วนค่ะ อย่านับเลย เพราะถามตอนนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ เอาคำถามไว้เป็นกำลังใจในการนั้งธรรมะ เพื่อที่จะไปดูเองนะค่ะ
ส่วนคำถามนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองยังตรัสไว้ว่า อย่าถามถึงการบังเกิดขึ้นของทุกอย่างเพราะ กำลังสติปัญญาของมนุษย์นั้นไม่อาจจะเข้าใจได้ ถึงรู้ไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี พอรู้อันนี้ก็มีคำถามขึ้นมาอีกเพราะไม่ใช่ความรู้แจ้ง เอาเป็นว่า ต้องใช่ความรู้แจ้งเท่านั้นค่ะ
นั้น แหละค่ะ ศีล 5
สวรรค์มีหลายชั้นนะค่ะ ต้องศึกษาให้ดี จะรวยมากรวยน้อยก็ขึ้นอยู่กับทานบารมีของคุณ จะมีสมบัติมากขึ้นเรื่อยๆคุณก็ต้องสร้างบุญอย่างต่อเนื่อง และอธิษฐานกำกับด้วย กายมหาบุรุษก็เช่นเดียวกันค่ะ
ควรจะทำอย่างไร อืมมมม อันนี้ไว้ถึงเวลาแล้วคุณจะทราบว่าจะทำอย่างไร แต่สิ่งที่ต้องห่วงยิ่งกว่านั้นก็คือเราจะเป็นหนึ่งในทีมนั้นไหมต่างหากละค่ะ จะวิ่งตามคนอื่นทันไหม เพราะฉะนั้นต้องทำความเพียรมากๆ
ใช่ส่วนนึงค่ะ
ต้องขออภัยที่ตอบได้แค่นี้ คำถามพวกนี้ คุณอย่าเพิ่งไปใส่ใจเลยนะค่ะ สำหรับตอนนี้ เพราะรู้ไปตอนนี้ก็ยังไม่เกิดประโยชน์ ศาสนาพุทธไม่มีความลับก็จริงแต่บางสิ่งบางอย่างจะมีเวลาของมันเองค่ะ เหมือนกับมะม่วงที่ดิบๆ เด็ดเอามากิน มันก็ไม่อร่อย
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
น้าจี้
#13
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 08:50 PM
1.ตั้งแต่เราเกิดมาในชาติแรกจนถึงชาติสุดท้ายนับรวมกันได้ประมาณกี่ล้านครั้ง
๑. ติณกัฏฐสูตร
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ
[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้กิ่งไม้ ใบไม้
ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า
นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น
ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้น
เพราะเหตุไรเพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน
เหมือนฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
แม้จะนำหญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ ในโลกนี้ทั้งหมดมาวางเรียงสมมติว่าเป็นมารดาในแต่ละชาติของเรา จนหญ้า ใบไม้ กิ่งไม้นั้นหมดโลกแล้วก็ยังไม่พอจะนับจำนวนมารดาของเรา
2.ในครั้งแรกที่มีมนุษย์เกิดขึ้น (ครั้งแรกจริงๆ ไม่ใช่ครั้งที่เป็นพรหมลงมา แต่หมายถึงว่าครั้งแรกก่อนที่จะมีพรหมเกิดขึ้น) มนุษย์เกิดขึ้นจากอะไร
คำถามนี้ตอบได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ถามด้วย ในเรื่องนี้สำหรับผู้ต้องการหลุดพ้น รู้แค่นี้ก็เป็นประโยชน์แล้วครับ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะ สังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็น
ปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมี
ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็น
ปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติ
เป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสอย่างนี้เป็นความเกิด
ขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับด้วยวิราคะไม่มีส่วนเหลือจึงดับสังขารได้
เพราะสังขารดับจึงดับวิญญาณได้ เพราะวิญญาณดับจึงดับนามรูปได้ เพราะนามรูปดับจึงดับ
สฬายตนะได้ เพราะสฬายตนะดับจึงดับผัสสะได้ เพราะผัสสะดับจึงดับเวทนาได้ เพราะ
เวทนาดับจึงดับตัณหาได้เพราะตัณหาดับจึงดับอุปาทานได้ เพราะอุปาทานดับจึงดับภพได้
เพราะภพดับจึงดับชาติได้ เพราะชาติดับจึงดับชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
อุปายาสได้ อย่างนี้เป็นความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
3.การที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นต้องทำบุญอย่างไรบ้าง
ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมนุษย์แบบไหนด้วยครับ เพราะมนุษย์มีตั้งแต่พระเจ้าจักรพรรดิ์ ไปจนถึงคนบางคนที่ดูไม่เหมือนมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นมนุษย์ และแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชาติสุดท้ายพระองค์ก็ประสูติในกำเนิดมนุษย์เช่นกัน (แต่ได้กายมหาบุรุษที่ไม่ได้มาด้วยการรักษาศีล 5 แต่เพียงอย่างเดียว) โดยทั่วไปแล้ว ธรรมของความเป็นมนุษย์คือศีล 5 ครับ แต่มันก็มีอ่อนมีแก่ แล้วยังต้องอาศัยบุญอื่น ๆ เป็นตัวตัดสินด้วยครับ
4.การที่เราสามารถสร้างบารมีได้มากถึงขนาดที่ว่าเวียนว่ายอยู่แต่ในโลกของมนุษย์และสวรรค์จะทำให้ในชาติต่อๆไปเราจะได้รูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกับกายมหาบุรุษมากขึ้น และมีโภคทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือไม่
การจะทำได้แบบนั้น เราก็ต้องสร้างบุญบารมีเรื่อยไปไม่รู้จบครับ ซึ่งถ้าเราทำแบบนั้น ก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องเจริญขึ้นในทุก ๆ ด้านครับ เหมือนกับว่าวที่ยังไม่ติดลมบน เราก็ต้องกระตุกถี่ ๆ ถ้าเรากระตุกแค่ทีสองทีมันก็แพ้แรงดึงดูดตกลงมาเหมือนเดิมครับ แต่พอติดลมบนแล้วทีนี้มันก็ตกลงมายากครับ แต่ก็ต้องคอยประคับประคองอยู่เสมอครับ เพราะแรงดึงดูดของโลกนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา และถ้าต้องการให้มันสูงขึ้น เราก็ต้องออกแรงอีกเพิ่มครับ
5.เมื่อบารมีเราถึงพร้อมแล้วได้เวลาเข้านิพพานของเราแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาของหมู่คณะควรจะทำอย่างไร
ไม่มีอย่างนั้นหรอกครับ เราตั้งความปรารถนาอะไรไว้ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น นิพพานไม่ได้บรรลุง่ายแบบว่าสร้างบารมีไปเรื่อย ๆ แล้วจะบรรลุได้นะครับ ถ้าความปรารถนาไม่ชัดเจนเราอาจจะตามหมู่คณะไปได้เรื่อย ๆ ก็จริง แต่จะบรรลุก่อนโดยคิดเผื่อ ๆ แบบนี้ท่าทางจะยากครับ เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ หรือวิริยาธิกะ ก็ตั้งเป้าหมายมาตั้งแต่คิดอธิษฐานในใจแล้วครับ แค่เวลาคิดในใจก็ต่างกันแล้ว คือ 7 อสงไขย 14 อสงไขย และ 28 อสงไขย ตามลำดับ
พอไปถึงจุดหนึ่ง คุณก็จะต้องเลือก ไม่ใช่เลือกเข้านิพพานนะครับ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น แต่ต้องเลือกว่าจะตามหมู่คณะต่อไป หรือจะแยกไปสร้างบารมีเองต่างหากล่ะครับ ซึ่งก็ต้องสั่งสมบารมีเพิ่มเติมเพื่อการนั้นอีกมากครับ ยังไงก็ต้องทำเพิ่มครับ ไม่มีหรอกที่จะเข้านิพพานก่อน เว้นแต่ว่าคุณตั้งความปรารถนาไว้มากแล้วและทำตามความปรารถนามาเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องตอบตัวเองแล้วครับ เพราะเป็นความปรารถนาของตัวเอง และการไปกับหมู่คณะ ก็จำเป็นที่จะต้องมีเป้าหมายชัดเจนในระดับหนึ่งเช่นกัน ที่เราเคยได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ว่า พอประคองเอาตัวรอดกลับดุสิตบุรีได้
ขอให้อย่าดูเบาในเรื่องนี้นะครับ มรรคผลนิพพานไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ จะมาคาดคะเนเอาง่าย ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะนำมาบอกเราได้ พระองค์ต้องสละชีวิตจนเลือดที่ไหลมากกว่าจำนวนน้ำในมหาสมุทรอีกครับ ถ้าไม่เคยตั้งความปรารถนาไว้แต่เก่าก่อนว่าขอบรรลุธรรมในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ที่จะไปเจอพระพุทธองค์และบรรลุธรรมเข้านิพพานได้ง่าย ๆ เป็นไม่มีครับ ยิ่งให้บรรลุธรรมเองยิ่งไม่ต้องพูดถึง
6.ที่สุดแห่งธรรมนี่หมายถึงนิพพานใช่หรือไม่
ที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งกุศล ที่สุดแห่งกรรม ที่สุดแห่งภพชาติ ที่สุดแห่งธรรมทั้งปวง เหล่านี้ล้วนหมายถึงการหมดกิเลสบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ที่สุดเหล่านี้คือที่สุดเฉพาะตน เฉพาะบุคคลผู้บรรลุนั้น
ส่วนที่สุดแห่งธรรมในอีกความหมายหนึ่ง คือ ที่สุดแห่งธรรมของสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุที่สุดแห่งธรรมเฉพาะพระองค์ ย่อมนำพาสรรพสัตว์ให้บรรลุที่สุดแห่งธรรมตามไปด้วยได้ ไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ก็ตาม การบรรลุที่สุดแห่งธรรมที่เป็นที่สุดของที่สุด ก็คือ สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้นหลุดพ้นจากอำนาจกิเลส ไม่ต้องคอยรับใช้กิเลสอีกต่อไป
#14
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 09:06 PM
ถ้าให้อุปมาคือ ตอนนี้เรากำลังถูกศรพิษปักอกอยู่ อาการก็ร่อแร่ แทนที่คุณจะรีบถอนลูกศรนั้นออกแล้วใส่ยา แต่คุณกับรำพึงกับตนเองว่า ใครเป็นคนยิงผม คนยิงเป็นผู้ชายผู้หญิง ผมไปมีเรื่องบาดหมางกับเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่ และอีก ฯลฯ อย่างนี้คุณก็ตายเสียก่อน ถ้าคุณรักษาแผลคุณให้หายดีแล้ว คุณก็สามารถไปสืบเรื่องในรายละเอียดได้ แต่ถ้าคุณไม่รีบรักษาแผล คุณก็จะตายและก็จะไม่รู้อะไรเลย เช่นเดียวกัน เวลาในโลกมนุษย์นั้นมีจำกัดและเหลือน้อยเต็มที เพราะฉะนั้นเราน่าจะเอาเวลาที่อยากรู้เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่ ไปทำหยุดทำนิ่งให้ได้เสียก่อน เพราะความรู้เหล่านี้มันไม่มีขีดจำกัด ยิ่งถามก็ยิ่งอยากรู้ แล้วมันก็มีคำถามอื่นๆอีกไม่รู้จักจบ ความรู้ที่ไม่มีจำกัดนี้จะเอาปัญญาหยาบๆที่มีจำกัดไปตรองตามไม่ได้หรอก เมื่อใดที่เราทำหยุดทำนิ่งได้จนได้เขาถึงพระธรรมกายในที่สุด คราวนี้เราอยากจะรู้อะไรเราก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยที่เป็นความรู้ที่เป็นไปตามความเป็นจริงด้วย เราอาจจะคิดว่า โห ยากจะตาย ใครจะไปเข้าถึง ถ้าเราขยันนั่งธรรมะทุกวันโดยต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ รับรองซักวันต้องได้แน่นอนครับ
#15
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 09:40 PM
#16
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 09:42 PM
#17
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 08:25 AM
30 ทัศน์ หมายถึงอะไร และอย่างไรคะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#18
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 10:22 AM
บารมี ๓๐ ทัศน์ ก็คือ บารมี ๑๐ ทัศน์ มี ๓ ระดับ คือ บารมีขั้นต้น ๑ อุปบารมี ๑ ปรมัตถบารมี ๑
บารมี ๑๐ ทัศน์ คือ
๑. ทานบารมี
๒. สีลบารมี
๓. เนกขัมมบารมี
๔. ปัญญาบารมี
๕. วิริยะบารมี
๖. ขันติบารมี
๗. สัจจบารมี
๘. อธิษฐานบารมี
๙. เมตตาบารมี
๑๐. อุเบกขาบารมี
แบ่งตามความเข้มข้นอีก ๓ ระดับ
บารมี ขั้นต้น
อุปบารมี คือ ยอมสละอวัยวะ เข้าแลก
ปรมัตถบารมี คือ ยอมสละชีพ เข้าแลก
เท่ากับ บารมี ๑๐ ทัศน์ คูณด้วย ๓ ระดับ จะเท่ากับ ๓๐ ทัศน์
ที่กล่าวว่าต้องทำให้ครบ ๓๐ ทัศน์นั้นเพราะการจะได้กายมหาบุรุษ จะต้อง เอาเลือดเนื้อ อวัยวะ และ ชีวิต เข้าแลก
จึงจะได้กายมหาบุรุษ เช่น บริจาคเลือด บริจาคดวงตา หรือ ยอมสละชีวิต เช่น ยอมสละชีวิตเพื่อเป็นอาหารของแม่เสือที่หิวจัด
และต้องสร้างบารมีให้ครบด้วยเพราะแต่ละข้อจะทำให้มีคุณสมบัติต่าง ๆ กันและสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันขาดกันไม่ได้
#19
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 03:17 PM
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดนางปฏาจาราผู้สูญเสียญาติพี่น้อง และคนในครอบครัวทั้งหมดในชั่วคืนเดียว ทรงแสดงใจความว่า "แค่น้ำตาที่ร้องไห้เพราะสูญเสียบุคคลที่รักไปในวัฏฏสงสาร รวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 เสียอีก" และก็ยังทรงแสดงธรรมในลักษณะนี้อีกในหลายกรณีเลยครับ
#20
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 05:58 PM
คำตอบ คือ เพราะมนุษย์ยังมีกิเลสอยู่น่ะครับ จึงทำให้ระดับจิตใจยังไม่พัฒนาถึงขั้น จึงจะยังคงมีความสงสัยไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะได้ยินคำตอบว่าอะไร เช่น ถามว่า มนุษย์คนแรกสุด เกิดขึ้นมาได้อย่างไร สมมุติมีผู้ตอบว่า มีผู้มีอานุภาพสร้างขึ้นมา คิดว่า ได้รับคำตอบแล้ว มนุษย์เราจะหายสงสัยมั้ยครับ เปล่าเลย มนุษย์เราจะยิ่งสงสัยต่อไปอีกว่า แล้วใครสร้างผู้มีอานุภาพคนนั้น ดังที่ พวกเราคงเคยได้ยินในศาสนาเทวนิยม ที่ว่า เทพเจ้าสร้างโลก มนุษย์ก็สงสัยต่ออยู่ดีว่า ใครสร้างเทพเจ้า มันก็ไม่จบใช่มั้ยครับ
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ พัฒนาระดับจิตใจแล้วสติปัญญาของตน จึงถึงขั้นสูงสุด ขจัดกิเลสได้ทั้งปวง เห็นการเกิดดับของสรรพสัตว์ทั้งปวงด้วยตัวเอง เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะหมดความสงสัย(ซึ่งเป็นหนึ่งในกิเลส ชื่อ วิจิกิจฉา) ทั้งปวง สมดังพุทธวาจาว่า
"เมื่อใดก็ตาม ที่ธรรม(อันเป็นเครื่องรู้) ปรากฏขึ้นในใจของพราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงก็จะมลายหายไป จากใจของพราหมณ์นั้น"
#21
โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 12:27 AM
ที่ถูกคือเขียนว่า ทัศ