ทำไมพรหมทราบความในใจพระพุทธเจ้าได้
#1
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 09:21 AM
อ่านแล้วสงสัยว่า ทำไมพรหมถึงทราบความในใจพระพุทธเจ้าได้ครับ
#2
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 10:44 AM
เปรียบเทียบกับพรหม ท่านมีปัญญาญาณยิ่งใหญ่กว่าคุณมาก เป็นปรกติที่ท่านอาจมองเห็นพระทัยของบรมศาสดาได้ แต่บางครั้ง ปัญญาญาณของพรหม ก็ไม่อาจจะหยั่งรู้เข้าไปในสัพพรรณยุตญาณได้ เพราะความละเอียดไปไม่ถึง หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาติ
#3
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 05:36 PM
#4
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 07:50 PM
#5
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 08:37 PM
#6
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 08:40 PM
ใครจำที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านเปรยไว้บ้าง
ขอคนยืนยันด้วยครับ
![dont_tell_anyone_smile.gif](style_emoticons/default/dont_tell_anyone_smile.gif)
![dont_tell_anyone_smile.gif](style_emoticons/default/dont_tell_anyone_smile.gif)
สำหรับนักเรียนอนุบาลพันธุ์แท้ สามารถหาฟังย้อนหลังได้จาก
โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันที่ 21 กรกฏาคม 2548
อนุโมทนาบุญครับ
![smile.gif](style_emoticons/default/smile.gif)
#7
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 10:59 PM
#8
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 03:05 AM
![smile.gif](style_emoticons/default/smile.gif)
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#9
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 08:31 AM
"เราได้กล่าวคำใดว่า ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้
ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ อย่าได้
ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน
อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิ
ของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือ
ว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็น
อกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใคร
ประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้
ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น ดังนี้ คำนั้นเราได้อาศัยความข้อนี้แล
กล่าวแล้ว."
มก เล่ม 34 หน้า 341
#10
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 08:40 AM
แต่โดยส่วนตัวขอตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เนื้อความในพุทธประวัติช่วงนี้ จะอยู่ในส่วนคัมภีร์พระวินัย ช่วงท้ายๆ หลายๆ ประเด็นในส่วนนี้ยังมีข้อชวนสงสัยว่า เป็นของเดิม หรือของสอดแทรก แม้แต่คำว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ" ที่ถกเถียงกันนักกันหนานี่แหละ เนื้อหาเป็นธรรมะ ควรจะหาได้ในส่วนของพระสูตร แต่หาไม่พบในส่วนของพระสูตรไหน กลับมาเจออยู่ส่วนท้ายๆ ของพระวินัยนี่แหละ น่าแปลกไหมล่ะ
คุณ nemo ที่อื่นทำได้ครับ แต่ถ้าที่นี่ทำและมีประเด็นให้โจมตีละก้อ ดังทุกที เวลาพาดหัวข่าวยุให้คนทะเลาะกัน เขาไม่เอากาลมสูตรมาวางไว้ให้เห็นหรอกครับ
ไม่ต้องดูอะไรมาก เอาแค่คำว่า "กาลมสูตร" ไปหาดูในพระไตรปิฎก (เถรวาท)นี่แหละ คุณจะไม่เจอคำนี้นะครับ ยกเว้นยกเว้นฉบับของไทยนี่แหละ ส่วนสาเหตุ ก็ไปอ่านดูที่เชิงอรรถของเขาดู ก็จะรู้ความใน
#11
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 09:38 AM
การรู้ความในของพระพุทธเจ้าได้ ก็ถือว่ามีฤทธิ์มากเหมือนกัน
แต่ตรงนั้นใช่ประเด็นสำคัญ
ที่สำคัญอยู่ตรงที่ ..
การที่เราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จะงานไหน ก็ต้องมีคนเชิญ
และคนที่มาเชิญก็ต้องเป็นบุคคลสำคัญหน่อย ให้เด็กๆ มาเชิญก็เหมาะ
พรหมถือว่าเป็นผู้ที่มีอานุภาพที่สุด เป็นที่ยอมรับที่สุดของพวกพราหมณ์
และมีอานุภาพมากที่สุดในภพสามก็ว่าได้
ตรงนี้รู้สึกหลวงพ่อท่านเคยพูดไว้นะครับ
ถ้าพรหมมาเชิญ (อาราธนา) เขาเรียกว่า ได้เครดิต
ความคิดของพระพุทธองค์ไม่ใช่ว่าจะไม่อนุญาตให้ใครรู้นะ
อันที่จริงองค์อยู่ในสายตาของชาวสวรรค์ (เทวดา,พรหม)ตลอดเลย
พระองค์ต้องการให้คนที่อยู่รอบกายรู้ว่า พระองค์กำลังคิดอะไร"
ดังนั้นถ้าเราจะมองอีกที (ตามที่หลวงพ่อได้เคยเทศน์เอาไว้ บวกกับที่พระอาจารย์ท่านแสดงความเห็นมา) ก็คือ พระพุทธเจ้าท่านดำริให้ พรหมที่ว่าสุดยอดของพวกพราหมณ์ มาอัญเชิญพระองค์ได้แล้ว ตรงนี้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าเราครับ
#12
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 10:24 AM
ดวงปัญญาที่แหลมคม
วาทะที่ไร้เทียมทาน
อีกไม่นาน....
พระศาสนาจะเรืองรอง...
Tamavara.
#13
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 11:23 AM
"เราได้กล่าวคำใดว่า ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้
ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ อย่าได้
ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน
อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิ
ของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือ
ว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็น
อกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใคร
ประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้
ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น ดังนี้ คำนั้นเราได้อาศัยความข้อนี้แล
กล่าวแล้ว."
Iti kho, kālāmā, yaṃ taṃ avocumhā [avocumha (sī. syā. kaṃ. pī.) a. ni. 4.193] etha tumhe, kālāmā! Mā anussavena, mā paramparāya, mā itikirāya, mā piṭakasampadānena, mā takkahetu, mā nayahetu, mā ākāraparivitakkena, mā diṭṭhinijjhānakkhantiyā, mā bhabbarūpatāya, mā samaṇo no garūti. Yadā tumhe kālāmā attanāva jāneyyātha ime dhammā akusalā, ime dhammā sāvajjā, ime dhammā viññugarahitā, ime dhammā samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattantīti, atha tumhe, kālāmā, pajaheyyāthāti, iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
ชื่อพระสูตรนี้คือ Kesamuttisutta เกสมุตติสูตร ค่ะ (เนื่องจากเวบนี้ไม่รองรับ ฟอนท์บาลีโรมัน จึงมีบางตัวอ่านไม่ออกนะคะ)
ดังนั้น เนื้อหาในกาลามสูตร ในพระไตรปิฎกเถรวาท ในหลาย ๆ ประเทศมีนะคะ เพียงแต่ว่า ชื่อพระสูตรไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
#14
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 11:32 AM
ประมาณนี้เลยครับ ที่เคยได้ยินมา อนุโมทนาบุญกับคุณ Nemo ด้วยนะครับ ที่มีความเพียรพยายามหาคำตอบมาจนได้[size=3]
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
#15
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 02:07 PM
เพราะมีพุทธประสงค์จะทรงแสดงธรรม. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ
ว่า เมื่อเราน้อมจิตไปเพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ท้าวมหาพรหมก็
จักอาราธนาเราแสดงธรรม ด้วยว่า สัตว์เหล่านี้เคารพพรหม สัตว์เหล่านั้น
สำคัญอยู่ว่า พระศาสดาไม่ประสงค์จะทรงแสดงธรรม แต่ท้าวมหาพรหม
อาราธนาให้เราแสดงธรรม ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมนี้สงบประณีตหนอ
จักตั้งใจฟังด้วยดี อาศัยเหตุนี้พึงทราบว่า พระองค์น้อมจิตไปเพื่อความเป็น
ผู้ขวนขวายน้อยมิได้น้อมไปเพื่อแสดงธรรม"
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
พวกเราอ่านพระไตรปิฎก อย่าเพิ่งพยายามตีความเทียบเคียงกับเหตุปัจจุบันเอง ลองดูความเห็นของพระอรรถกถาจารย์บ้าง ก็จะได้เค้าได้ประเด็นสำหรับคลายข้อสงสัยได้
#16
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 03:55 PM
#17
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 09:21 PM
#18
โพสต์เมื่อ 04 August 2006 - 09:24 AM
ต่องหมั่นศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฎิเวธ ครับ
#19
โพสต์เมื่อ 04 August 2006 - 10:19 AM
คือประเด็นเชิงอรรถที่ผมยกมานั้นมันค่อนข้างจะพาดพิงไปถึงพระเถระผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์ ก็จะไม่กล่าวถึงในประเด็นนั้นอีกครับ เนื่องจากอาจจะถูกเข้าใจว่าจาบจ้วง หรือจับผิดหรือทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ขอยกไว้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งก็คือ การอ้างอิงพระไตรปิฎกฉบับภาษาต่างๆ ในปัจจุบัน อยากจะตั้งข้อสังเกตไว้ครับ คือ
1. ถ้าข้อมูลที่คุณยกขึ้นมาสนับสนุนเหตุผลนั้น มาจากตำราพระไตรปิฎกภาษาต่างๆ ที่เป็นเล่ม วางอยู่ข้างหน้าเลยนะครับ แล้วบอกว่า ภาษานี้ว่าไว้อย่างนี้ ภาษานี้ ว่าไว้อย่าง OK ผมขอน้อมรับข้อผิดพลาดในการแสดงความเห็นของตัวเอง และจะรอบคอบในการตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนกว่านี้
2. แต่ถ้าข้อมูลนั้นมาจาก แผ่น CD หรือโปรแกรมพระไตรปิฎกที่ทำมาเพื่อเผยแพร่ ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่า ต้นฉบับภาษาพระไตรปิฎก(ของเขา)นั้น มีเพียง 1 ภาษาเท่านั้น ส่วนภาษาอื่นที่เหลือเป็นการใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ทำการแปลงฟอนท์ออกไปเป็นภาษาต่างๆ เช่น สมมติว่า ต้นฉบับเป็นภาษาสิงหล โปรแกรมเมอร์ก็จะใช้ซอฟท์แวร์จัดการแปลงเป็น ภาษาโรมันบ้าง พม่าบ้าง ขอมบ้าง ไทยบ้าง เพื่ออำนวยความสะดวกในการศึกษาครับ เพราะฉะนั้น เมื่อคลิกเลือกเป็นฟอนท์พม่า ก็ไม่ได้หมายความว่ามาจากพระไตรปิฎกพม่า เมื่อคลิกเป็นฟอนท์ขอม ก็ไม่ได้หมายความว่ามาจากพระไตรปิฎกฉบับภาษาขอมครับ
ที่เป็นอย่างนี้เพราะ ชื่อพระสูตร (อีกแล้ว) "เกสมุตติสุตร" ก็หาไม่เจอในฉบับ PTS ครับ เจอแต่ "เกสปุตตสูตร"
#20
โพสต์เมื่อ 04 August 2006 - 08:43 PM
จากเชิงอรรค ของ ซอฟแวร์อันนี้ได้บอกว่าฉบับอื่นไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา หรือ ไทย หรือ ศรีลังกานั้น ใช้คำว่า เกสปุตตมฺ ซึ่งก็สามารถให้ตอบได้แล้วว่าในพระไตรปิฏกบาลีฉบับอื่นมี ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะเปลี่ยนฟอนท์ตัวอักษรได้เท่านั้น
และพีทีเอสเองก็มีคุณลักษณะประโยชน์เช่นนี้เหมือนกันคือมาเทียบเคียงจากหลายฉบับ หากดูในภาพก็จะเห็นว่า เชิงอรรถที่ ๔ ได้บอกว่า ฉบับอื่นๆนั้น ใช้คำว่า เกสปุตตมฺ แต่ฉบับพม่านั้นใช้ เกสมุ ดังภาพ
นอกจากนี้หากสังเกตดูใน ฉบับพีทีเอสนั้นไม่มีชื่อพระสูตรเกสปุตตสูตรนะคะ มีแต่หมายเลข แต่เนื้อหานั้นเหมือนกันกับกาลามสูตรของไทย
ปล. จากการศึกษาบาลีเทียบเคียงหลายฉบับ ไม่เคยเจอความผิดพลาดถึงขั้นหายไปทั้งพระสูตรนะคะ อย่างมากก็หายไปบรรทัดสองบรรทัด หรือผิดบางอักขระ เท่านั้นค่ะ