การมีความรัก
#1
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 10:13 PM
ว่าการมีความรักแบบชายหญิงที่ถูกต้องตามหลักวิชชาเป็นอย่างไร
(ห้ามตอบว่าทางที่ดีไม่ควรจะมี)
#2
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 10:26 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 10:27 PM
ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน
ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง คู่บุญ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่
๑) มี ศรัทธา ไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน
๒) มี ศีล อันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ
๓) มี จาคะ อันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน
๔) มี ปัญญา เสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน
หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง
และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้
แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้
http://dungtrin.com/.../prepare064.htm
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๑ ธ.ค. ๒๕๔๘
#4
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 10:58 PM
#5
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 11:30 PM
น้าจี้
#6
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 08:39 AM
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องมงคลสมรสไว้สั้น ๆ เพียงคำเดียวว่า "สังคหะ แปลว่า การสงเคราะห์กัน" และให้ปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุ ๔ เพื่อเป็นการยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน (1. ทาน, 2. ปิยวาจา, 3. อัตถจริยา, 4. สมานัตตตา)
....จากหนังสือมงคลชีวิต ฉบับ "ทางก้าวหน้า"
#7
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 09:33 AM
แต่เชื่อใหม คู่สร้างบารมีนั้น เมื่อสร้างไปมากๆเข้า บารมีแก่กล้า ก็จะเริ่มอธิษฐานสร้างเนกขัมบารมี ออกจากชีวิตครองเรือนอยู่นั่นเอง
ประสาสายลมแสงแดด คิดเองเออเองว่า ก็เมื่อท้ายที่สุดต้องอธิษฐานออกจากเรือนแล้ว จะครองคู่ไปทำไมให้เนิ่นช้า บางคนรักกันมาก ถึงกับอธิษฐาน เพี้ยง ชาติหน้า และชาติไหนๆ ขอให้เราได้ครองคู่ไปอีกจนชั่วฟ้าดินสลาย ว่าไปโน่น
ทีนี้เอาละซี เกิดมีคนหนึ่งตกต่ำ สามีจะไปดุสิต ไปไม่ได้ เพราะห่วงภรรยายังติดอยู่จาตุ ค่าที่ว่าแม้เธอจะดีแสนดี แต่ขี้โมโหไปหน่อย เลยไปเกิดเป็นยักษ์ชั้นสูง
ครูไม่ใหญ่เคยให้คติเรื่องอย่างนี้ไว้หลายครั้งแล้ว
นี่ถือว่ายังดี ความจริงมันจะไม่ใช่อย่างนั้น รู้ได้อย่างไรว่าสักวันหนึ่งจะไม่มีใครพลาดไปลงนรก!!
ดังนั้น สายลมแสงแดดจึงเห็นว่า ฟอร์มของชีวิตที่ดีที่สุดของผู้ชาย ก็คือนักบวช ส่วนสำหรับหญิง ก็คือการถือศีล 8 ไม่มีคู่ครอง
แม้ความรักเป็นเครื่องค้ำจุนโลก แต่ความรักก็เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เมื่อความรักแบบชายหญิง เป็นทุกข์ ความรักชนิดนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องของมาร สรุปอย่างนี้ ถูกใหมคะ?
เมื่อจะหนีทุกข์ ก็ต้องพลิกกลับไปหาอีกด้านหนึ่งของเหรียญ คือความสุข
ก็ความสุขที่แท้นั้น จะหาได้ที่ไหน
ตอบได้คำเดียว
ศูนย์กลางกาย
สิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่และหลวงพ่อนำมาสอน จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในสากลจักรวาล
รักคนอื่น รักทำไม เป็นความรักนอกตัว
รักศูนย์กลางกาย นึกถึงทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ยอมพรากจากไปเลย อธิษฐาน เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เข้าถึงศูนย์กลางกาย
นี่คือคำตอบสุดท้าย
#8
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 10:15 AM
พระเจ้าประเสนธิโกศลตรัสว่า จะทุกข์ได้ยังไงในเมื่อคนกำลังมีความรัก พระนางมัลลิกาจึงทูลว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า ความรักคือความทุกข์ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง รักสองก็ทุกข์สอง พระเจ้าประเสนธิโกศลก็ยังโต้แย้งอยู่ดีว่าความรักไม่ใช่ความทุกข์ ความรักคือความสุข พระนางมัลลิกาจึงทูลถามว่า ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอถามหน่อยว่า พระองค์ รัก หม่อมฉันไหมพระเจ้าประเสนธิโกศลตอบว่า รักสิรักมากด้วยรักปานดวงใจ แล้วถ้าหม่อมฉันตายล่ะ พระองค์จะเสียใจไหม พระเจ้าประเสนธิโกศลตอบว่า เสียใจสิเพราะรักมาก พระนางมัลลิกาจึงทูลว่า นี่ยังไงล่ะ ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ความรักคือความทุกข์ พระเจ้าประเสนธิโกศลจึงยอมพระนางมัลลิกาและยอมรับว่าความรักคือความทุกข์ ผมก็ขอให้กำลังใจกับคนที่มีความรักนะครับแต่ขอให้มีสติอย่างมงายจนปิดกั้นทางสว่างแห่งพระสัทธรรมนะครับ
#9
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 10:57 AM
#10
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 11:11 AM
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#11
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 12:11 PM
#12
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 02:01 PM
มีแต่เห็นท่านบอกโทษจากการครองเรือน
แต่สำหรับคนที่มีคู่แล้ว
หรือครองเรือนแล้ว
ก็ต้องมีศีลมีธรรม
คือต้องมีศีลที่เสมอกัน
และมีความเห็นที่เท่ากัน
แต่ยังไงแล้วนะครับท้ายสุดก็ต้องไปคนเดียวอยู่ดี
มาก็มาคนเดียว
ไปก็ไปคนเดียว
ไม่มีใครไปกับเรา
นอกจากบาปกับบุญ
หากทนไม่ไหว
หมายถึงทนต่อแรงกระตุ้นภายในและสิ่งเร้าใจภายนอกไม่ไหว
ก็ต้องมีหิริและโอตัปปะ
รักเดียวใจเดียวไม่นอกใจ
แต่การมีคู่จะบั่นทอนการสร้างบารมีนะครับ
แต่คนกำลังมีความรักอยู่บอกยังไงเขาก็เชื่อยาก
เพราะทุกอย่างกำลังสวยงามหวานชื่น
เหมืนยาพิษเคลือบน้ำผึ้ง
ตอนนี้น้ำผึ้งยังมีอยู่ก็ยังไร้สึกอะไรนอกจากความหวานหอม
เมื่อไรน้ำผึ้งหมดนั่นแหละครับเจอของจริงคือยาพิษ
เมื่อวันนั้นมาถึงก็จะรู้ว่า........ทุกข์ที่เกิดจากความรักระหว่างชาย-หญิงเป็นอย่างไร
หากยังไม่มีอย่าลองเลยครับ
ลองแล้วเลิกยาก
ถอนตัวยากครับ
#13
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 04:36 PM
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#14
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 12:42 AM
สมัยก่อนนี่อย่าคิดเลยว่าจะได้แตะแม้แต่มือ แค่สบตากันก็โดนพ่อแม่ลากเข้าบ้านแล้ว
เรื่องการแต่งงานนั้น คุณครูไม่ใหญ่ท่านบอกว่า
แต่งงาน คือการร่วมกันทำงานการสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป ถ้าแต่งแล้วสร้างบารมีได้น้อยลง ก็ถือว่าผิดหลักวิชชา ไม่ใช่การแต่งงานที่แท้จริง
แต่ขอเสริมนะคะเรื่องการแต่งงาน
เมื่อเราพลัดไปแต่งงานแล้ว ถือว่าเรานี่ตกไปอยู่กองเสบียงทันที ต่อให้ชาติที่แล้วจะเป็นทัพหลวงทำวิชชา ลงมาครบทุกรอบ แต่พอแต่งแล้วก็คือหล่นทันที
ขอเอากระทู้ก่อนที่เคยตั้งไว้มาลงอีกทีนะคะ
http://www.dmc.tv/fo...wtopic=3465&hl=
สร้างบารมีทั้งทีต้องให้เต็มที่ ไม่ใช่ไปแวะข้างทางระหว่างการสร้างบารมี
คนบางคนก็มาบอกหนูว่า "ถ้าไม่แต่งงานมีลูก มนุษย์ก็ศูนย์ก็ต้พันธุ์" หนูก็ไม่ตอบไป
เพราะตอบอะไรไปเขาก็คงไม่เข้าใจ แต่ในใจเรารู้อยู่แล้ว ว่า "ยังไงมันคงมีคนคิดไปมีครอบครัวอยู่แล้วล่ะ"
บางคนก็ที่เป็นลูกหลวงพ่อก็คิดว่า "คนอื่นที่เขาทำบุญ เขายังมีครอบครัวได้เลย เราก็มีได้สิ" อย่างนั้นหนูไม่คิด เพราะมันเป็นการเอาเราไปเทียบกับคนที่ไม่ได้ดีที่สุด ถ้าจะเทียบ ต้องไปเทียบกับหลวงพ่อนู่น ว่าหลวงพ่อ คุณยาย หลวงปู่ยังทำได้เลย แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ คิดอย่างนี้สิดี
ดังนั้นคำตอบสุดท้ายหนูก็คือ โสดค่ะ ต้องประพฤติพรหมจรรย์ให้ได้ตลอดไป ไม่เว้นช่วงเลยจนถึงที่สุดแห่งธรรมค่ะ
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนนะคะ
พระมงคลเทพมุนี
เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร
สิ่งที่อยากก็หลอก สิ่งที่หยอกเขาก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงใย
เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป
เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้
"...ไม่เข้าไปค้นตัวให้ถึงที่สุด เป็นมนุษย์กับเขาทั้งที เพราะเชื่อ กิเลสเหลวไหลเหล่านี้ล่ะ ทำให้เลอะเลือน จะครองเรือนไปซักกี่ร้อยปี ก็ครองไปเถิด งานเรื่องของคนอื่นเขาทั้งนั้น เรื่องของพญามารทั้งนั้น ไม่ใร่องของตัว ไม่ใช่งานของตัว ไปทำงานให้พญามารเค้าทั้งวันทั้งคืน เอาเรื่องอะไรไม่ได้ อะไรล่ะ เพราะไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เกิดมาพบยังไงก็ไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ได้ฝึกใจของพระอรหันต์ ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกใจของสัตบุรุษ ความเห็นก็พิรุษไปอย่างนี้..."
มหาอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
ตอนนี้มีเงิน 100 บาท ทำบุญได้ 50 บาท
ถ้าไปมีครอบครัว อย่างมากก็ได้ 5 บาท
ยิ่งถ้ามีลูกอีกละก็ ได้ทำ 50 สตางค์ก็บุญโขแล้ว
การมีครอบครัวมันตัดรอนการสร้างบารมีอย่างนี้แหละ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#15
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 11:41 AM
ที่คุณ Omena ว่า "เมื่อเราพลัดไปแต่งงานแล้ว ถือว่าเรานี่ตกไปอยู่กองเสบียงทันที ต่อให้ชาติที่แล้วจะเป็นทัพหลวงทำวิชชา ลงมาครบทุกรอบ แต่พอแต่งแล้วก็คือหล่นทันที"
ก็เลยสงสัยค่ะ
จำได้ว่าเคยฟังฝันในฝันสักปีสองปีมาแล้ว ถ้าจำไม่ผิดนะคะ ..........
ท่านพูดถึงสตรีที่ครองคู่ หากหลุดออกมาได้(ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เข้าใจว่าด้วยเหตุที่บารมีนั้นส่งให้ต้องละชีวิตครองเรือน) สู่การรักษาศีล 8
สร้างบารมีแบบคนโสดไปตลอดชีวิต
อธิษฐาน"ให้ได้เกิดเป็นชาย ได้บวชในพุทธศาสนาทุกภพทุกชาติ" จะเป็นอีกกรณีหนึ่งที่พิเศษออกไป
ไม่ทราบว่าจะยังมีใครจำได้หรือเปล่า
ช่วยขยายให้สายลมแสงแดดฟังเอาบุญด้วยค่ะ
อีกประการหนึ่ง หากสตรีนั้น (ในวัดเราเห็นมีหลายท่าน) เมื่อเข้าสู่เส้นทางธรรมแล้ว ได้ถึงธรรมกาย
จะยังต้องเป็นกองเสบียงอยู่หรือไม่คะ????
#16
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 12:10 PM
จะต้องเข้าถึงพระธรรมกายที่แท้จริงแน่นอนเท่านั้นค่ะ
ยกตัวอย่างเช่นคุณยายอาจารย์ทองสุก สำแดงปั้น
ท่านก็เคยมีสามี มีลูก แต่ท่านก็ได้เข้าถึงพระธรรมกายแล้วถือศีล 8 ไม่ยุ่งกับทางโลกอีกเลย
ถ้าทำได้อย่างท่าน ก็กลับขึ้นมาได้ค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#17
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 04:06 PM
เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม
กันเถอะครับ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ...............................สาธุ..............................
ดังพุทธพจน์ที่ว่า
การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น
ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไม่มีความรักเสียแล้ว
โศก ภัย ก็ไม่มี
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#18
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 05:08 PM
และอยากเขียนอะไรเพิ่มเติม
มีสิ่งหนึ่งที่ชอบเกี่ยวกับวัดนี้ คือการที่วัดนี้สามารถตอบข้อข้องใจที่เคยมีมาก่อนหน้าได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ
บางครั้ง คำตอบข้อหนึ่งของครูบาอาจารย์ ยังสามารถเชื่อมโยงไปอธิบายปัญหาอื่น กลายเป็นคำตอบอื่นๆได้ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูด คำตอบของครูไม่ใหญ่ ทุกบททุกตอน ฟังๆดูเถอะ มีคติแทรกอยู่มากมาย
ฟังแล้วคิด ไม่ให้ผ่านเลยไปเหมือนลมเหมือนแล้ง
เวลาท่านพูดแย้มๆ.....และคั่นกลางด้วยประโยคที่ว่า...เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะพากันมาลุยครูไม่ใหญ่
สายลมแสงแดด ต้องวิ่งโลดไปหน้าจอ
รู้สึกเหมือนหูกางออกมาเท่าใบเรือสำเภา
หลวงพ่อเจ้าขา เล่าหน่อยเถอะ เล่าหน่อยเถอะ
ผ่านโลกมานานพอควร วันนี้เหมือนกลายเป็นเด็กน้อย ตามต้อยคอยฟังครูไม่ใหญ่
คำถามของท่านต้นหัวข้อนี้ เป็นคำถามสำคัญ เกี่ยวพันกับการตัดสินใจที่คาบเกี่ยวระหว่างทางโลกและทางธรรม
มีท่านผู้รู้เข้ามาช่วยชี้แจง
เสียดาย กระทู้ใกล้ตกหน้าไปซะแล้ว
#19
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 06:17 PM
#20
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 12:12 AM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#21
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 01:20 AM
บางคนก็ไม่ได้ต้องตัวได้ง่ายๆหรอกนะ
#22
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 06:09 AM
คนเพียงน้อยจะมาแทนคนจำนวนมากไม่ได้หรอกค่ะ
มันไม่ใช่คณิตศาสตร์นะคะ ที่เมื่อมีข้อที่ไม่ตรงเพียงข้อเดียวแล้วถือว่าไม่จริงทั้งหมด
ลองดูดีๆสิคะ อย่ามองแต่คนในวัด
ถามหน่อยค่ะว่าการจับมือกันของหญิงชายมันง่ายแค่ไหนคะ
อยู่ใกล้กันแค่คืบ
ถ้าเป็นคนโบราณสมัยใกล้ยุคศีลธรรม อยู่ใกล้เกินวาแล้วมันทนไม่ได้ เหมือนก้นติดสปริง มันต้องถอยต้องหนีออก
แต่เดี๋ยวนี้อะไรอะไรมันก็เปลี่ยน
สังเกตดูอีกทีค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#23
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 09:32 AM
แต่มันก็อยู่ที่ตัวบุคคลเองด้วยว่าจะเลือกปฏิบัติอย่างไร
ตัวพี่เอง พี่ก็ไม่ทำหรอกนะ
#24
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 10:00 AM
แต่มันก็อยู่ที่ตัวบุคคลเองด้วยว่าจะเลือกปฏิบัติอย่างไร
ตัวพี่เอง พี่ก็ไม่ทำหรอกนะ
แล้วคนเดี๋ยวนี้เลือกปฏิบัติกันแบบไหนล่ะคะ
ลองมองรอบยิ่งในกรุงเทพนี่เห็นชัดเลยค่ะ
โชว์หมด เปิดดูตำราหญิงงามเมือง ตำรามารยาหญิงโบราณ ครบหมดเลยค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#25
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 10:16 AM
แต่รักควรรักอย่างมีสติ
คือ รักตัวเอง รักคนรอบข้าง แต่รักอย่างงามดีที่สุดค่ะ
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#26
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 09:14 PM
การที่สังคมจะดีจะชั่วยังไงไม่ใช่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงสักหน่อย
ถึงสังคมส่วนใหญ่จะไม่ดี
เราก็สามารถเลือกที่จะอยู่กับสังคมส่วนน้อยซึ่งเป็นสังคมที่ดีได้
มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
#27
โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 04:10 AM
การที่สังคมจะดีจะชั่วยังไงไม่ใช่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงสักหน่อย
ถึงสังคมส่วนใหญ่จะไม่ดี
เราก็สามารถเลือกที่จะอยู่กับสังคมส่วนน้อยซึ่งเป็นสังคมที่ดีได้
มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
พี่ต้นแย้งจนออกนอกหัวข้อไปไกลแล้วนะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#28
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 07:15 AM
ถ้าคุณมีความรัก หรือรักใครสักคน จงรักษาความรักไว้ให้ดีนะคะ
รักมีได้ง่าย แต่การรักษาความรักทำได้ยากคะ ยังไงก็รักษาใจกันด้วยนะคะ
และขอให้มีความสุขสมหวังในชีวิต ความรัก ในการสมรส และชีวิตคู่นะคะ
#29
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 09:27 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี