ทางสายกลาง
#1
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 11:33 AM
ขอบคุณค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 11:40 AM
ซึ่งก็คือความเป็นสมณะค่ะ
ไม่ใช่ทางโลกครึ่งทางธรรมครึ่ง กลางวันเข้าวัดกลางคืนเข้าบาร์นี่ไม่ใช่ค่ะ
อีกความหมายก็คือการเข้ากลางไปเรื่องๆ กลางของกลาง กลางของกลาง เพื่อไปสู่ "อายตนนิพพาน" ค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#3
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 11:57 AM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#4
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 12:53 PM
ทางสายกลางที่คนทั่วไปใช้พูดกันนั้น โดยมากหมายถึง "ความพอดี"
ซึ่งความพอดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
(เช่น บางคนพอใจที่จะบวช บางคนพอใจที่จะทำงานทางโลก
บางคนกินข้าวจานเดียวก็อิ่มพอดี บางคนต้องกิน 5 จานก็ยังไม่ถึงครึ่งท้อง)
แต่ทางสายกลางของพระพุทธศาสนาก็คือการเข้ากลางไปเรื่องๆ กลางของกลาง กลางของกลาง เพื่อไปสู่ "อายตนนิพพาน" อย่างที่น้องวิวบอกค่ะ
ซึ่งทางสายกลางนี้ของทุกๆคนเป็นทางสายกลางอย่างเดียวกันค่ะ
เพราะฉะนั้น ที่น้องที่ออฟฟิศชอบพูดว่า "เค้าขอเดินทางสายกลางดีกว่า"
จริงๆแล้วน่าจะหมายถึง ขอใช้ชีวิตในแบบที่พอดี ลงตัวสำหรับเขาน่ะค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 12:54 PM
การปฏิบัติ(ธรรม)ที่ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป
-ตึงเกินไปทำแล้วเคร่งเครียด ไม่มีความสุข ไม่เกิดผลดีกับตัวเอง จะทำให้ท้อแท้เสียเปล่า
-หย่อนเกินไป ก็ตามใจ(กิเลส)ไปเรื่อย แรกๆเหมือนจะสบาย แต่ก็ไปพบความทุกข์ในบั้นปลาย
ดังนั้นเดินทางสายกลางย่อมปลอดภัย และพบประโยชน์สุขในภายภาคหน้า
หรือ อีกนัยหนึ่ง
การเข้ากลางของกลาง
อย่างที่คุณ omena บอกนั่นแหละครับ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#6
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 01:04 PM
ทางสายกลายนั้นหมายถึงการ เข้าถึงธรรม เป็นความดีฝ่ายเดียว ต้องลงมือทำแต่ว่า ไม่ตึงไปไม่หย่อนไป
เป็นการปฏิบัติเท่านั้น เคยได้ยินมาครับจำได้แค่นี้
#7
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 01:52 PM
คือศูนย์กลางกาย และการปฏิบัติที่ต้องไม่ให้ตึงไปหรือหย่อนไป
ส่วนบางคนชอบบอกว่า เราต้องชั่วบ้างดีบ้างจึงเรียกทางสายกลาง
อย่างนี้กล่าวตู่พุทธพจน์นะครับ ความดีต้องทำอย่างยิ่งยวดต่างหาก
ดูอย่างพระพุทธเจ้า หากไม่แข็งใจสร้างบารมีอย่างไม่ย่อท้อ มีหรือจะบรรลุได้?
มีตัวอย่างของคุณพ่อผมเอง
ครั้งนึงไม่รู้คุยกันเรื่องอะไรอยู่ แต่วกเข้ามาเรื่องเมาเหล้า (พ่อผมยังดื่มเหล้าอยู่ แต่ไม่มาก)
พ่อบอกว่า "คนเราเวลากินเหล้ามันต้องรู้จักประมาณ อย่ากินมากไปมันไม่ดี"
(จริงๆกินแค่ไหนมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ)
"ดังที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ต้องเดินทางสายกลาง"
(ว่าเข้าไปนั่น ยังอุตส่าห์โยงธรรมะเข้าไปได้ยังไงเนี่ย)
ผมเลยต้องเตือนพ่อด้วยความหวังดีไปเรื่องทางสายกลางเนี่ยแหละครับว่ามันไม่ถูก
ดังนี้แล
ผมว่าคนยังเข้าใจความหมายของคำว่าทางสายกลางไขว้เขวอยู่มากนะครับ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#8
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 03:00 PM
#9
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 03:10 PM
#10
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 04:01 PM
เมื่อพระองค์แน่พระทัยว่า การบำเพ็ญทุกรกิริยานั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์แน่ ประกอบกับท้าวสักกะ ทรงดีดพิณ ๓ สายถวายคือ สายหนึ่งตึงเกินไปมักขาด สายหนึ่งหย่อนเกินไปเสียงไม่เพราะ สายหนึ่งพอดี เสียงไพเราะยิ่ง ทำให้แน่พระทัยยิ่งขึ้นว่า การทำความเพียรเคร่งครัดเกินไป นั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ พระองค์จึงทรงเลิกบำเพ็ญ ทุกรกิริยา
ตั้งแต่นั้นมาจึงเกิดคำว่า ทางสายกลางค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#11
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 05:20 PM
ดังนั้น เมื่อฝันในฝัน จึงพบว่า ปัญจสิกขเทพบุตร ลงมาจริง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่า จะทำยังไง ปรากฏว่า ตอนนั้น ฆฏิการะพรหมที่บรรลุพระอนาคามีในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ (ในอดีตชาติ ท่านเป็นเพื่อนกับพระโพธิสัตว์ ตอนนั้นพระโพธิสัตว์ ชือว่าโชติปาละ) ได้ลงมาซ้อนอยู่ในกลางกาย ปัญจสิกขเทพบุตร แล้วดีดพิณ 3 สายออกไป
เรื่องมันจึงเป็นเช่นนี้แล
#12
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 05:36 PM
#13
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 09:30 PM
สงสัย อ่านหนังสือผิดเล่ม อ้างอิงข้อมูลไม่ถูกต้อง อายๆๆๆๆ อีกแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ รู้สึกเหมือนกับว่า คุณหัดฝัน คุณขุนศึกผู้พิชิตหงสา(โดยเฉพาะท่านนี้ หน้าตาน่าเกรงขามมากค่ะ ) คุณ Omena คุณ Blue...Moon คุณมองอย่างแมว และอีกหลายๆ ท่านที่ คอยตอบ คอยช่วยแก้ไข ความเข้าใจ และความคิดที่ยังไม่ถูกต้อง เป็นเหมือนคุณครูคอยตรวจการบ้านให้เลยค่ะ
ในโรงเรียน โรงเรียนนี้ มีหลวงพ่อเป็นคุณครูไม่ใหญ่ ท่านทั้งหลายในบอร์ด ก็เป็นคุณครู ประจำวิชา พอมีการตั้งโจทย์จากผู้ตั้งกระทู้ เหมือนคุณครูคนที่ทำหน้าที่ออกข้อสอบ เมื่อเราทำข้อสอบ (ด้วยการตอบ) ก็จะมี ท่านทั้งหลาย คอยตรวจข้อสอบ แล้วก็ แก้ไขสิ่งที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง ให้เข้าใจได้ถูกต้อง
อยากให้เข้ามาทำข้อสอบกันเยอะๆจังค่ะ (ชอบอ่านค่ะ กบ กำลังตาโต ได้เห็นโลกภายนอก) จะได้ทราบน่ะค่ะว่าความคิดของใครเป็นอย่างไร ที่สำคัญที่สุด จะได้ทราบว่า เราทำข้อสอบได้รึเปล่าด้วยนะคะ (จริงๆ อยากรู้ อยากเห็นค่ะ จะได้อ่านเยอะๆ )
อย่างนี้ต้องเพิ่มเพลงนี้เข้าไปใน บอร์ดด้วยแล้วค่ะ
" โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน เด็กๆ ก็ไม่ซุกซน พวกเราทุกคนชอบไปโรงเรียน ชอบไป ชอบไปโรงเรียน "
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#14
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 10:07 PM
อธิบายความไว้ว่า
บทว่า มชฺฌิมา สายกลาง ชื่อว่า มชฺฌิมาเพราะเป็นทางสายกลางไม่มีสุขและทุกข์เศร้าหมอง
ชื่อว่า ปฏิปทา เพราะเป็นเหตุถึงนิพพาน.
รวมความได้ว่า มชฺฌิมา ปฏิปทา ทางสายกลางไม่มีสุขและทุกข์เศร้าหมองเป็นเหตุถึงนิพพาน
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ( มก. เล่ม 17 หน้า 209-210)
มัชฌิมาปฏิปทา
[๒๖] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บรรดาธรรมดังกล่าวแล้วนั้น
โลภะ และ โทสะ เป็นธรรมลามก แต่มัชฌิมาปฏิปทา เพื่อละโลภะ
และโทสะ มีอยู่ เป็นธรรมทำให้เกิดดวงตา ทำให้เกิดญาณ ย่อมเป็นไป
เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน ดูก่อน
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มัชฌิมาปฏิปทานั้น ที่เป็นธรรมทำให้มีดวงตา
ทำให้เกิดญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้
เพื่อพระนิพพาน คืออะไร ? คืออริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เอง ได้แก่ความ
เห็นชอบ ความดำริชอบ การเจรจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ
ความพยายามชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ ดูก่อน
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทานี้นั้นแล เป็นธรรมทำให้เกิดดวงตา
ทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้
เพื่อพระนิพพาน
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บรรดาธรรมดังกล่าวแล้วนั้น ความโกรธ
และความผูกโกรธ เป็นธรรมลามก... ความริษยา และความตระหนี่
เป็นธรรมลามก... มายาและความโอ้อวด เป็นธรรมลามก... ความหัวดื้อ
และความแข่งดี เป็นธรรมลามก... ความถือตัวและความดูหมิ่น เป็น
ธรรมลามก... ความเมาและความเลินเล่อ เป็นความลามก แต่มัชฌิมาปฏิปทา
เพื่อละความเมาและความเลินเล่อมีอยู่ เป็นธรรมทำให้เกิดดวงตา
ทำให้เกิดญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้
เพื่อพระนิพพาน ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทานั้น เป็น
ธรรมทำให้เกิดดวงตา ทำให้เกิดญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบระงับ
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน คืออะไร ? คืออริยมรรค
มีองค์ ๘ นี้แล ได้แก่ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การเจรจาชอบ
การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ ความระลึกชอบ
ความตั้งใจชอบ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทานี้แล เป็นธรรม
ทำให้เกิดดวงตา ทำให้เกิดญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อ
ความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน.
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชม
ยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร ฉะนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ( มก. เล่ม 34 หน้า 595)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มัชฌิมาปฏิปทาเป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ เป็นผู้มีความเพียร มี
สัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
อยู่... พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่... พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา
#15
โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 12:40 AM
#16
โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 04:18 PM
ลูกพระธรรม
#17
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 09:00 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี