พุทธศาสนาคืออะไร? What is Buddhism?
#1
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 10:08 AM
"การได้พบพระพุทธศาสนานั้น..ยากยิ่งนัก.." จริงไหม๊ค่ะ?
#2
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 11:23 AM
เข้าใจมั้ยครับ
ก็คือ พุทธศานา สอนให้ คน หรือแม้กระทั่งทุกสรรพชีวิต ในภพ3 เข้าใจว่า จุดหมายของชีวิตคืออะไร ที่สุดแห่งชีวิตคืออะไร ใครทำอะไร แล้ว จะเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า จริงๆแล้ว เรา มีความทุกข์ กันอยู่ทุกคน ซึ่ง ทุกข์ กันอย่างไม่รู้ตัวมาก่อน ทุกสรรพชีวิต ต่างเวียนว่ายตายเกิด ดับแดดิ้นกันมาอย่างชอกช้ำระกำทรวงหลายภพชาติมากมายกว่าเมล็ดทรายในทะเล ทรงชี้ให้เห็นว่า ที่เราเป็นอย่างนี้ เพราะเราได้ทำอย่างนั้นมา แล้วชี้ให้เห็นว่า แล้วจะไม่ไห้เป็นอย่างนี้อีก ก็จะต้องทำอย่างไร
คิดว่า คุณบุญโตหรือชาวพุทธหลายๆคนต้องมีความรู้เรื่องพุทธศาสนากันมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
แต่การอธิบายให้ชาวตะวันตกเข้าใจ ต้องอาศัยทักษะมากครับ สุดแล้วแต่การประยุกต์คำพูดของเราให้เข้ากับใจของเขา
รู้เขารู้เรา รบ100ครั้ง ก็ชนะ 100 ครั้ง
#3
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 12:15 PM
เสริมเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดด้วยก็ดีครับ เพราะส่วนใหญ่ฝรั่งจะไม่เข้าใจ
เพราะถ้าฝรั่งเค้า (แม้แต่คนไทยบางคนด้วย) มองกฎแห่งกรรมแค่ระยะสั้น
เช่นสั่งฆ่าคนก็จะโดนคนอื่นมาฆ่ากลับ อย่างนี้จะไม่ถูกนะครับ
แล้วจะกลายเป็นมองว่า ทำไมคนคนนี้ทำความชั่วถึงยังร่ำรวยมีชื่อเสียงได้
และจะพาลเป็นมองว่ากฎแห่งกรรมมันไม่จริงไป (คนไทยบางคนยังเป็นเลย)
จึงมีความจำเป็นต้องอธิบายถึงว่าระยะเวลาการส่งผลมันยาวนานกว่านั้นมาก
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#4
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 12:47 PM
และทำให้คนมีความสุขในชีวิตได้อย่างสูงสุดโดยไม่ต้องพึ่งเงิน ชื่อเสียง อำนาจ อายุ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 01:41 PM
พุทธศาสนา คือ ศาสนาแห่งความจริงของชีวิต ซึ่ง มีกฏแห่งกรรม เป็นหลัก
สาธุ
#6
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 01:45 PM
อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#7
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 02:12 PM
.................................
Answer..
Noble Truth (Ariya-Sacca) is short for "truth of the Noble ones (or of those who have attained a high degree of advancement)", "truth attainable by the noble ones", "truth by which one is ennobled". It should first be understood that it is not simply truth that is agreeable to the world or to oneself, but truth that is directly born of wisdom. The four Noble Truths are :-
1. Dukkha or suffering; which means birth, decay and death which are the normal incidents of life. It also means sorrow, lamentation, pain, grief and despair which are at times experienced by our body and mind. To be separated from the pleasant, to be disappointed, or to be in contact with the unpleasant are also suffering. In short our body and mind are subject to suffering or, in other words, we may say that our existence is bound up with suffering*.
2. Samudaya; which means the cause of suffering, which is desire. It is a compelling urge of the mind, such as the longing to own what we desire, to be what we desire to be, or to avoid those states to which we feel aversion.
3. Nirodha; which means cessation of suffering, which connotes extinction of desire or such longings of the mind.
4.Magga; which means the way to the cessation of suffering, which is the Noble Eight fold Path, namely Right Understanding, Right Intention, Right speech, Right Action, Right Livelihood, Right Effort, Right Mindfulness and Right Concentration.
Some people believe that Buddhism is pessimistic in outlook because its teachings deal only with suffering and are of so high a standard that ordinary people are unable to practise it because it advocates extinction of desire, which is very difficult to accomplish. Since such misunderstanding exists, clarification is necessary before the noble Truths can be dealt with. The Buddhist religion
_____________________________
* Some present-day Buddhists are of the opinion that the word "frustration" is a good translation of Dukkha, as it carries a wider meaning than "suffering"
...
Ref: H.H. SOMDET PHRA NYANASAMVARA
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#8
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 03:03 PM
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พุทธศาสนา ก็คือ ศาสนาของผู้รู้ (รู้ความจริงของชีวิต) ผู้ตื่น(ตื่นจากการมอมเมาของกิเลส) ผู้เบิกบาน(มีจิตใจผ่องใสเป็นปกติเพราะพ้นแล้วจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง)
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 03:52 PM
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี คราวนั้น
นิครนถ์คนหนึ่ง ชื่อ สัจจกะ อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ( ชาวเมืองเวสาลี )
เป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของประชาชนว่า เป็นผู้มีความรู้ดี ยกตนเองว่าเป็นปราชญ์
และประกาศในเมืองเวสาลีนั่นว่า เขาไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ใดๆที่จะโต้วาทะกับเขาได้
แม้ผู้ที่ปฏิญาณตนว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ถ้าคิดจะโต้วาทะกับตนแล้วก็ต้องหวั่นไหว
ประหม่า เหงื่อตก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้เสาก็ต้องสั่นคลอน หวั่นไหว ถ้าคิดจะโต้วาทะกับตน
เช้าวันหนึ่ง พระอัสสชิเถระ ( รูปหนึ่งในพวกปัญญจวัคคีย์ ) เข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลี
สัจจกนิครนถ์ออกมาเดินเล่น พบพระอัสสชิ จึงเข้าไปหาและถามท่านว่า
พระคุณเจ้าอัสสชิ ท่านเป็นสาวกของพระสมณโคดมข้าพเจ้าอยากทราบว่า
พระสมณโคดมสอนสาวกอย่างไร แนะนำสาวกอย่างไร
อัคคิเวสสนะ พระอัสสชิตอบ พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นศาสดาของพวกเราสอนว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ( รวมเป็นขันธ์ 5 ) ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน( อนัตตา )
ท่านอัสสชิ ท่านอาจฟังมาผิดกระมัง ถ้าพระสมณโคดมตรัสสอนเช่นนี้จริง
ข้าพเจ้าจะช่วยสอนพระสมณโคดมให้มีความเห็นเสียใหม่ ให้มีความคิดที่ถูกต้องดีกว่านี้
สัจจกนิครนถ์เข้าไปยังลิจฉวีสภา ซึ่งพวกเจ้าลิจฉวีกำลังประชุมกันอยู่
เล่าเรื่องที่สนทนากับพระอัสสชิให้เจ้าลิจฉวีฟัง และ
ว่าจะไปโต้วาทะกับพระสมณโคดม จะหมุนพระสมณโคดมเสีย ให้เหมือนหมุนหม้อเปล่า
ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงไปด้วยกันเถิด
เจ้าลิจฉวีได้ตามสัจจกนิครนถ์เข้าไปในป่ามหาวัน ถามพวกภิกษุว่า พระศาสดาประทับอยู่ที่ใด
พวกภิกษุตอบว่าประทับพักกลางวันอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง สัจจกนิครนถ์เข้าไปหา แล้วทูลถามว่า
ทรงสั่งสอนสาวกอย่างไร พระศาสดาตรัสตอบอย่างเดียวกับที่พระอัสสชิตอบแล้ว สัจจกะจึงว่า
พระโคดม ต้นไม้และพืชพันธุ์ทั้งหลายจะเจริญงอกงามต้องอาศัยพื้นดิน
การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทำก็ต้องอาศัยพื้นดินฉันใด
บุคคลอาศัยรูปเป็นตัวตน มีเวทนา มีสัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นตัวตน
จึงมีบุญ มีบาปได้ ถ้ารูปเป็นต้นไม่เป็นตัวตนแล้ว บุญบาปจะมีได้อย่างไร
อัคคิเวสสนะ ท่านยืนยันหรือว่า รูปเป็นตัวตนของเรา พระศาสดาตรัสถาม
ข้าพเจ้ายืนยันอย่างนั้น, พระโคดม ประชาชนทั้งหลายก็ยืนยันเช่นนี้เหมือนกัน
คนอื่นช่างเขาเถิด อัคคิเวสสนะ ขอเพียงแต่ท่านยืนยันคำของท่านอย่างนั้นหรือ
ข้าพเจ้ายืนยันอย่างนั้น
อัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้นเราขอถามท่านสักข้อหนึ่ง คือ
กษัตริย์ที่ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล และพระเจ้าอชาตศัตรู
ย่อมสามารถฆ่าคนที่ควรฆ่า เนรเทสคนที่ควรเนรเทศได้มิใช่หรือ
เป็นอย่างนั้น พระโคดม
ก็ท่านบอกว่า รูป เป็นต้น เป็นตัวตนของเรา ท่านมีอำนาจเหนือรูป เป็นต้นนั้นหรือ
ท่านปรารถนาได้หรือว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย
เมื่อพระศาสดาตรัสถามดังนี้ถึง 2 ครั้ง สัจจกนิครนถ์ก็คงนิ่งอึ้งอยู่ จึงตรัสเตือนว่า
เวลานี้ไม่ใช่เวลานิ่ง แต่เป็นเวลาที่จะต้องพูด
ในที่สุด สัจจกนิครนถ์ก็ทูลรับว่า ไม่อาจบังคับรูปเป็นต้นได้
พระศาสดาจึงตรัสว่า เปรียบเหมือนคนถือขวานเข้าไปในป่าด้วยต้องการแก่นไม้
พบต้นกล้วย จึงตัดที่โคนแล้วตัดใบออก เขาไม่พบแม้แต่กระพี้ จะพบแก่นได้อย่างไร
วาจาของท่านก็หาแก่นสารอะไรไม่ได้ พอซักไซ้ไล่เลียงเข้าก็ว่างเปล่า แพ้ไปเอง
ที่ท่านเคยพูดในเมืองเวสาลีไว้อย่างไร
จงพิสูจน์คำพูดของท่านเถิดเหงื่อของท่านหยดลงจากหน้าผากแล้ว แต่ของเราไม่มีเลย
สัจจกนิครนถ์นิ่งอึ้ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ
และในที่สุดก็กล่าวขอโทษพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อจากนั้นได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า
ด้วยเหตุเพียงเท่าใด สาวกของพระสมณโคดมชื่อว่า ได้ทำตามคำสั่งสอน
ทำถูกต้องตามโอวาทของพระสมณโคดม ข้ามความสงสัยเสียได้ ถึงความแกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนแห่งศาสนาตน ?
พระศาสดาตรัสตอบว่า
สาวกของเราย่อมพิจารณาเห็น
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณว่ามิใช่ตัวตนของเรา
เพียงเท่านี้ก็ชื่อว่า ได้ทำตามคำสั่งสอนของเรา ..
ด้วยเหตุเพียงเท่าใด ภิกษุชื่อว่าเป็นอรหันต์ สัจจกนิครนถ์ทูลถาม ?
สาวกของเราพิจารณาเห็น เบญจขันธ์ตามเป็นจริง คือ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
หลุดพ้นแล้วเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แหละชื่อว่าเป็นอรหันต์
สิ้นอาสวะแล้ว ประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยม ๓ ประการ
คือ ความเห็นอันยอดเยี่ยม( ทัสสนานุตตริยะ )๑
การปฏิบัติอันยอดเยี่ยม ( ปฏิปทานุตตริยะ ) ๑
ความหลุดพ้นอันยอดเยี่ยม ( วิมุตตานุตตริยะ ) ๑
สัจจกนิครนถ์ทูลรับสารภาพและสรรเสริญว่า
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีนิสัยคอยกำจัดคุณของผู้อื่น
คะนองวาจาคิดว่าจะรุกรานพระสมณโคดมด้วยถ้อยคำของตน พระสมณโคดมผู้เจริญ
บุคคลเจอช้างซับมันก็ดี เจอกองไฟที่ลุกโพลงก็ดี เจออสรพิษก็ดี ยังพอเอาตัวรอดได้บ้าง
แต่มาเจอพระสมณโคดมเข้าแล้ว ไม่มีทางรอดตัวไปได้เลย ( คือต้องยอมแพ้)
สัจจกนิครนถ์อาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น
พระศาสดาทรงรับนิมนต์โดยดุษณี วันรุ่งขึ้น พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
เสด็จไปเสวยที่อารามของสัจจกนิครนถ์ เมื่อเสวยเสร็จแล้ว สัจจกนิครนถ์ทูลว่า
ขอผลบุญในทานนี้จงเป็นความสุขแก่ผู้ให้เถิด พระศาสดาตรัสว่า ผลบุญในทานที่ให้
แก่ผู้มีราคะ โทสะ โมหะ เช่นท่าน จงมีแก่ทายก ส่วนผลบุญในทานที่ให้แก่ผู้ปราศจาก
ราคะ โทสะ โมหะเช่นเรา ขอจงมีแก่ท่าน
หลวงพ่อปัญญานันทะ เคยเทศน์ว่า อะไรๆมันเป็นของประกอบกันมาเช่น รถยนต์ เ
เราชี้ไปสิว่ารถอยู่ที่ไหน มันไม่มีรถ มีแต่ตัวถัง หลังคา ประตู ล้อ กระจก ฯลฯ ต่างๆมารวมกัน
เมื่อไล่ไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่า ที่ปลายทางคือความว่าง มองแบบนี้ ตามภาพอาจจะเห็น
ของจริงอาจจะไม่เห็น เพราะมองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้ แต่เราพอจะเข้าใจได้
เมื่อเรามองดูสวน สวนก็จะหายไป กลายเป็นส่วนประกอบของต้นไม้ กระถาง สระน้ำ ตุ๊กตาหิน หญ้า
เมื่อมองต้นไม้ ต้นไม้ก็จะหายไป กลายเป็นส่วนประกอบของลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ราก ผล ดอก
เมื่อมองต้น ก็กลายเป็น เปลือก กระพี้ สะเก็ด แก่น
จับมาไล่ไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างก็จะไปสุดที่การจับตัวของพลังงานคือ ความว่าง เราเหมือนกับ
จะมองทะลุอะไรไปได้หมด โลกจะใสเหมือนแก้ว
เมื่อทุกอย่างเป็นของว่าง ไม่ใช่ตัวตน จึงไม่มีอะไรน่าผูกผัน เมื่อมองอย่างโลก ๆ
เราก็ดูแลรักษาอย่างโลก ๆ ไปตามเหตุตามปัจจัยที่สมควรตามหน้าที่ของเรา เมื่อมองอย่างธรรม
ก็ให้ใจปล่อยวางลงจากความยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ ทั้งมวล เรียกว่ามี 2 โลก ซ้อนกันอยู่
คือ โลกที่เป็นไปอยู่ทุกวัน ซึ่งสร้างทุกข์ให้เรา กับโลกแบบธรรม ซึ่งปลดทุกข์ให้เรา
ผมคิดว่าจะเรื่องที่กล่าวนี้
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ( รวมเป็นขันธ์ 5 ) ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน( อนัตตา )
ก็คือทางแห่ง อริยสัจจะ 4
#10
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 06:23 PM
(เผื่อเจอฝรั่งถาม)
#11
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 06:28 PM
1 พระพุทธเจ้าเป็นครูผู้รู้ ไม่ใช่ผู้สร้างโลก เพราะยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่เข้าใจว่า เรากราบไหว้พระพุทธเจ้าเพราะท่านสร้างเราขึ้นมา
2 กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
3 ทำอย่างไรบ้างเรียกว่าทำดี ละชั่ว จากคำสอนพระพุทธเจ้า
4 จุดหมายอันใกล้คือมาผูกโยงกับชีวิตประจำวัน อะไรที่เขาเห็นและเข้าใจได้ และเป้าหมายสูงสุด คือนิพาน
น้าจี้
#12
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 07:18 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#13
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 08:51 PM
#14
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 10:28 PM
#15
โพสต์เมื่อ 26 August 2006 - 02:19 AM
สำหรับเด็กน้อยแล้ว พระพุทธศาสนา คือ คำตอบของชีวิตค่ะ
#16
โพสต์เมื่อ 26 August 2006 - 06:25 PM
พระพุทธศาสนา คือ ศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสงบสุขของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก และเพื่ออนุเคราะห์โลก บุคคลจากทุกสาขาความเป็นอยู่ อาจนำคำสอนไปประพฤติปฏิบัติได้ตามความสามารถ และความพอใจของตน
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการพิจารณาเหตุผลและการปฏิบัติเพื่อช่วยตนเอง พึ่งตนเอง และขยายความช่วยเหลือไปสู่ผู้อื่นด้วยความปรารถนาดี (เมตตา) และความคิดช่วยให้พ้นทุกข์ (กรุณา)
พระพุทธศาสนา เป็นทั้งปรัชญาและการปฏิบัติ แม้จะยอมรับความมีอยู่ของเทพ แต่ก็มิได้สอนให้เชื่อในเทพผู้ยิ่งใหญ่ว่าเป็นส่วนสำคัญของศาสนา แต่กลับสอนผู้นับถือให้มีคุณธรรม เช่น ความละอายใจที่จะทำความชั่ว (หิริ) และความเกรงกลัวที่จะทำความชั่ว (โอตตัปปะ) อันเป็นคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นเทพแทน พระพุทธศาสนาสอนให้พุทธศาสนิกชนมีคุณสมบัติ คือ ศรัทธา ความเชื่อที่ถูก ศีล ความประพฤติดีงาม สุตตะ การหาความรู้ จาคะ การเอื้อเฟื้อให้ปัน และปัญญา ความรู้แจ้งเห็นจริง (โปรดสังเกตว่า ทุกแห่งที่สอนให้มีศรัทธา จะสอนปัญญาไว้กำกับเป็นข้อสุดท้ายเสมอ) คุณธรรมเหล่านี้ทำให้คนเป็นเทพในชีวิตนี้ (โดยไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน) พระพุทธศาสนาสอนว่า เทพโดยความบริสุทธิ์ เป็นอิสระจากกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง นับว่าเป็นผู้ประเสริฐ
#17
โพสต์เมื่อ 26 August 2006 - 06:30 PM
#18
โพสต์เมื่อ 27 August 2006 - 02:20 AM
พระพุทธศาสนา คือ ศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสงบสุขของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก และเพื่ออนุเคราะห์โลก บุคคลจากทุกสาขาความเป็นอยู่ อาจนำคำสอนไปประพฤติปฏิบัติได้ตามความสามารถ และความพอใจของตน
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการพิจารณาเหตุผลและการปฏิบัติเพื่อช่วยตนเอง พึ่งตนเอง และขยายความช่วยเหลือไปสู่ผู้อื่นด้วยความปรารถนาดี (เมตตา) และความคิดช่วยให้พ้นทุกข์ (กรุณา)
พระพุทธศาสนา เป็นทั้งปรัชญาและการปฏิบัติ แม้จะยอมรับความมีอยู่ของเทพ แต่ก็มิได้สอนให้เชื่อในเทพผู้ยิ่งใหญ่ว่าเป็นส่วนสำคัญของศาสนา แต่กลับสอนผู้นับถือให้มีคุณธรรม เช่น ความละอายใจที่จะทำความชั่ว (หิริ) และความเกรงกลัวที่จะทำความชั่ว (โอตตัปปะ) อันเป็นคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นเทพแทน พระพุทธศาสนาสอนให้พุทธศาสนิกชนมีคุณสมบัติ คือ ศรัทธา ความเชื่อที่ถูก ศีล ความประพฤติดีงาม สุตตะ การหาความรู้ จาคะ การเอื้อเฟื้อให้ปัน และปัญญา ความรู้แจ้งเห็นจริง (โปรดสังเกตว่า ทุกแห่งที่สอนให้มีศรัทธา จะสอนปัญญาไว้กำกับเป็นข้อสุดท้ายเสมอ) คุณธรรมเหล่านี้ทำให้คนเป็นเทพในชีวิตนี้ (โดยไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน) พระพุทธศาสนาสอนว่า เทพโดยความบริสุทธิ์ เป็นอิสระจากกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง นับว่าเป็นผู้ประเสริฐ
สาธุครับ น้องน้ำฝนกล่าวชอบแล้ว
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#19
โพสต์เมื่อ 27 August 2006 - 09:22 PM
แต่จะมีอย่างนึงที่ศาสนาอื่นไม่มี นั้นก็คือ การสอนให้รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุของการเกิดทุกข์ สอนให้รู้จักความดับทุกข์ แล้วก็สอนให้รู้จักวิธีดับทุกข์
----------------------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#20
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 12:24 PM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#21
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 04:59 PM
And then if you stay for long... long time....,the truth of your life appear !! with happiness.
Let start ?...
ถ้าเป็นผมจะตอบแบบนี้น่ะครับ ภาษา Eng. ไม่ค่อยดีตอบตามความเข้าใจ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#22
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 08:39 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี