ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เริ่มโดย น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14, Aug 26 2006 07:16 PM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 26 August 2006 - 07:16 PM
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"
น้ำฝนลูกพระธัมฯ
#2
โพสต์เมื่อ 26 August 2006 - 08:38 PM
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 27 August 2006 - 11:33 PM
สาธุค่ะ ^^
หลักธรรมนี้เรียนกันมาตั้งแต่มัธยมแล้วนะคะ แต่น้อยคนนักที่จะศึกษาให้เข้าแจ่มแจ้ง
#4
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 08:24 PM
สาธุ
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
เพียงพอ
#5
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 01:34 PM
อนุโมทนาบุญครับ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#6
โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 12:07 PM
ดีครับดีเลย
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#7
โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 03:00 PM
อนุโมทนา ค่ะ สำหรับพระธรรม ที่นำมาเผยแพร่
ธรรมะ ต้องศึกษาบ่อยๆ ตรึกระลึกถึงบ่อยๆ จะค่อยๆรู้ ค่อยๆเห็นไปเองค่ะ
ขอให้มีการนำธรรมะ คำสอนของพระบรมศาสดา มาลงให้เราได้เห็น ได้อ่าน ได้สัมผัสกันบ่อยๆนะคะ
ความสว่างในยามเช้าตรู่ของแต่ละวัน จะเริ่มจากแสงสว่างน้อยๆก่อนทุกครั้ง ฉันใด
ปัญญาทางธรรม ก็ฉันนั้น ต้องใจเย็น แล้วก็จะ ค่อยๆรู้ ค่อยๆเห็น ไปเอง
เห็นความไม่เที่ยง ความทนอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ และ ความที่เห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นเรา หรือของเราเลย
เรามีมัน มันอยู่กับเรา แต่ มันไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ของเราเลย ทั้ง คน สัตว์ สิ่งของ.
เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็จะเกิดความคลายจากความยึดมั่น เรายังอยู่กับ คน สัตว์ สิ่งของ เหมือนเดิม แต่เราไม่มีความเห็นว่า นี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา เราอยู่กับมัน เรามีมัน เรามีหน้าที่ คือ ดูแลกายนี้ให้ดี แต่ไม่หลง เพลิดเพลิน ปรุงแต่ง กายอันไม่เที่ยงนี้.
จิตเราก็เห็นความไม่เที่ยง การแปรเปลี่ยนของจิต เห็นการเกิด และ ดับ ของจิต เรียนรู้จิต. มีสติ รู้ตัว ฝึกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เรา เกิดการสำรวม กาย วาจา และใจได้ เมื่อเราสำรวม กาย วาจา และใจให้เป็นไปทางกุศลแล้ว เราก็สามารถ ยังโพช์ฌงค์ 7 ( ธรรมอันเป็นองค์ประกอบให้ได้ตรัสรู้ ) คือ 1. สติ ความระลึกได้ 2. ธัมมวิจยะ การเลือกเฟ้นธรรมะ 3. วิริยะ ความเพียร 4. ปิติ ความอิ่มใจ 5. ปัสสัทธิ ความสงบใจ 6. สมาธิ ความตั่งใจมั่น 7. อุเบกขา ความวางเฉย.
พระธรรมที่พระบรมศาสดา ทรงสั่งสอน เป็นไปเพื่อ ความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความหลุดพ้น ความดับแห่งทุกข์ทั้งมวล.
ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ในรูปธรรมและนามธรรม.
ขอให้เพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย เป็นอยู่ด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา.
ผู้ที่มีศีล สมาธิ และปัญญา ย่อมนิยมในบุญ ย่อมไม่มีความตระหนี่ และย่อมมีปัญญาประกอบในการให้ทั้งปวง การให้นั้นย่อมไม่เป็นที่เดือดร้อนของตนเองและผู้อื่น การให้นั้นย่อมมีศีล 5 เป็นพื้นฐานประกอบ คือ ผู้ให้มีศีล 5 เป็นปกติ สิ่งที่ให้ก็ได้มาโดยสุจริต ไม่ผิดศีล.
พระบรมศาสดาถือการปฎิบัติบูชา เป็นการบูชาอย่างเลิศ คือ การปฎิบัติตนเพื่อดับ ราคะ โทสะ และโมหะ.
อริยสาวก ก็มุ่งปฎิบัติ เพื่อดับ ราคะ โทสะ และโมหะ พร้อมทั้งมุ่งสอนเช่นนั้นด้วย.
เมื่อจิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นใน คน สัตว์ สิ่งของ จิตก็เป็นอิสระ จิตก็ตั่งมั่น ไม่หวั่นไหว มีสติ รู้ตัว ตื่นอยู่เสมอ ไม่ถูก ราคะ โทสะ หรือ โมหะ ลากจูงไปตามความต้องการ. จิตสงบ นิ่ง ไม่เหนื่อย ไม่ร้อนรุ่ม ไม่วุนวาย.
ธรรมะ ต้องศึกษาบ่อยๆ ตรึกระลึกถึงบ่อยๆ จะค่อยๆรู้ ค่อยๆเห็นไปเองค่ะ
ขอให้มีการนำธรรมะ คำสอนของพระบรมศาสดา มาลงให้เราได้เห็น ได้อ่าน ได้สัมผัสกันบ่อยๆนะคะ
ความสว่างในยามเช้าตรู่ของแต่ละวัน จะเริ่มจากแสงสว่างน้อยๆก่อนทุกครั้ง ฉันใด
ปัญญาทางธรรม ก็ฉันนั้น ต้องใจเย็น แล้วก็จะ ค่อยๆรู้ ค่อยๆเห็น ไปเอง
เห็นความไม่เที่ยง ความทนอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ และ ความที่เห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นเรา หรือของเราเลย
เรามีมัน มันอยู่กับเรา แต่ มันไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ของเราเลย ทั้ง คน สัตว์ สิ่งของ.
เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็จะเกิดความคลายจากความยึดมั่น เรายังอยู่กับ คน สัตว์ สิ่งของ เหมือนเดิม แต่เราไม่มีความเห็นว่า นี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา เราอยู่กับมัน เรามีมัน เรามีหน้าที่ คือ ดูแลกายนี้ให้ดี แต่ไม่หลง เพลิดเพลิน ปรุงแต่ง กายอันไม่เที่ยงนี้.
จิตเราก็เห็นความไม่เที่ยง การแปรเปลี่ยนของจิต เห็นการเกิด และ ดับ ของจิต เรียนรู้จิต. มีสติ รู้ตัว ฝึกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เรา เกิดการสำรวม กาย วาจา และใจได้ เมื่อเราสำรวม กาย วาจา และใจให้เป็นไปทางกุศลแล้ว เราก็สามารถ ยังโพช์ฌงค์ 7 ( ธรรมอันเป็นองค์ประกอบให้ได้ตรัสรู้ ) คือ 1. สติ ความระลึกได้ 2. ธัมมวิจยะ การเลือกเฟ้นธรรมะ 3. วิริยะ ความเพียร 4. ปิติ ความอิ่มใจ 5. ปัสสัทธิ ความสงบใจ 6. สมาธิ ความตั่งใจมั่น 7. อุเบกขา ความวางเฉย.
พระธรรมที่พระบรมศาสดา ทรงสั่งสอน เป็นไปเพื่อ ความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความหลุดพ้น ความดับแห่งทุกข์ทั้งมวล.
ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ในรูปธรรมและนามธรรม.
ขอให้เพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย เป็นอยู่ด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา.
ผู้ที่มีศีล สมาธิ และปัญญา ย่อมนิยมในบุญ ย่อมไม่มีความตระหนี่ และย่อมมีปัญญาประกอบในการให้ทั้งปวง การให้นั้นย่อมไม่เป็นที่เดือดร้อนของตนเองและผู้อื่น การให้นั้นย่อมมีศีล 5 เป็นพื้นฐานประกอบ คือ ผู้ให้มีศีล 5 เป็นปกติ สิ่งที่ให้ก็ได้มาโดยสุจริต ไม่ผิดศีล.
พระบรมศาสดาถือการปฎิบัติบูชา เป็นการบูชาอย่างเลิศ คือ การปฎิบัติตนเพื่อดับ ราคะ โทสะ และโมหะ.
อริยสาวก ก็มุ่งปฎิบัติ เพื่อดับ ราคะ โทสะ และโมหะ พร้อมทั้งมุ่งสอนเช่นนั้นด้วย.
เมื่อจิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นใน คน สัตว์ สิ่งของ จิตก็เป็นอิสระ จิตก็ตั่งมั่น ไม่หวั่นไหว มีสติ รู้ตัว ตื่นอยู่เสมอ ไม่ถูก ราคะ โทสะ หรือ โมหะ ลากจูงไปตามความต้องการ. จิตสงบ นิ่ง ไม่เหนื่อย ไม่ร้อนรุ่ม ไม่วุนวาย.
โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่
โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง
โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.
- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้
#8
โพสต์เมื่อ 27 March 2007 - 10:12 AM
สาธุ